ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1121 มาสาย
ตอนที่ 1121 มาสาย
จงซวิ๋นส่ายศีรษะ
“ข้าเพิ่งเข้าสำนักมาได้สองปี เลยมิเคยได้พบเจอคนผู้นั้นมาก่อน ได้ยินมาว่านางอยู่ในสำนักได้ประมาณครึ่งปีก็ออก ทว่าจนถึงตอนนี้ในสำนักเองก็ยังมีข่าวลือมากมายเกี่ยวกับคนผู้นั้นแพร่กระจายไปทั่ว”
เขาเดาะลิ้นครั้งหนึ่ง
“ได้ยินมาว่านางเป็นบุคคลที่เก่งกาจรอบด้านชนิดหาตัวจับได้ยากด้วย”
“บุคคลที่เก่งกาจรอบด้านหรือ?”
“ใช่ นอกจากจะเป็นจอมยุทธ์ ปรมาจารย์และเซียนหมอ นางยังชำนาญเรื่องการหลอมอาวุธอีกด้วย! อีกทั้งพรสวรรค์ในทุกด้านก็ล้วนอยู่ในระดับแนวหน้า! ได้ยินว่าตอนนางเพิ่งเข้าสำนักใหม่ๆ ลำพังแค่สู้กันเพื่อคัดเลือกผู้มีคุณสมบัติที่จะได้เป็นอาจารย์ของนาง ผู้อาวุโสที่เข้าร่วมการแข่งขันมีไม่ต่ำกว่าสิบท่าน สุดท้ายแล้วก็ไร้ทางเลือก ท่านเจ้าสำนักจึงออกหน้ารับนางเป็นศิษย์ด้วยตัวเอง”
“นั่นถือเป็นศิษย์คนแรกของเจ้าสำนักในรอบร้อยปีเลยล่ะ”
ฉู่หลิวเยว่เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าชำนาญแม้กระทั่งการหลอมอาวุธ…สมกับที่ได้รับขนานนามว่า ‘ผู้เก่งกาจรอบด้าน’ โดยแท้
อัจฉริยะแบบใดกันที่บรรดาผู้อาวุโสในสำนักหลิงเซียวไม่เคยพบเจอมาก่อน?
สามารถทำให้พวกเขาเป็นเช่นนี้กันได้ ก็พิสูจน์แล้วถึงความโดดเด่นเหนือใครของคนผู้นั้น
“เพียงแต่น่าเสียดายนักที่นางหายตัวไปหลังอยู่ได้ครึ่งปี และไม่ได้กลับมาอีกเลยจนถึงปัจจุบัน นับแต่นั้นเหล่าผู้อาวุโสทั้งหลายเอง ก็ไม่เอ่ยถึงนามของคนผู้นั้นอีกเลย พากันทำประหนึ่งว่านางมิเคยมีตัวตนอยู่ตั้งแต่แรกก็มิปาน ทุกคนเองก็ไม่ค่อยได้เอ่ยถึงนางบ่อยแล้วเช่นกัน”
จงซวิ๋นถอนหายใจแล้วเอ่ย
“ที่ข้าเคยได้ยินเรื่องเหล่านี้มาบ้าง ก็เพราะว่าก่อนหน้านี้เคยเผลอบุกรุกเข้าไปในสวนสมุนไพรของนางเข้า หลังจากนั้นก็ถูกศิษย์พี่หญิงคนหนึ่งบ่นจนหูชาถึงได้รู้มาบ้าง”
“สวนสมุนไพรหรือขอรับ?”
ฉู่หลิวเยว่รู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง
“ไม่ใช่ว่าสมุนไพรที่ทุกคนในสำนักใช้กันล้วนได้มาจากหุบเขาวาโยโอสถหรอกหรือ?”
พื้นที่ของสำนักหลิงเซียวนั้นกว้างใหญ่มาก กินเนื้อที่ของเทือกเขาที่ติดต่อกันเป็นแนวยาว
ท่ามกลางอาณาเขตของเซียนหมอ มีพื้นที่ส่วนหนึ่งที่ใช้สำหรับเพาะสมุนไพรขึ้นมาโดยเฉพาะซึ่งเป็นที่รู้จักกันในชื่อหุบเขาวาโยโอสถ
แก่นแท้ของสวรรค์โลกาที่ได้รับการหล่อเลี้ยงมาเป็นระยะเวลากว่าหมื่นปี ทำให้หุบเขาวาโยโอสถกลายเป็นสถานที่เลอค่าอันแสนวิเศษ ที่ใช้เพาะปลูกสมุนไพรทุกชนิดอันมีค่าดั่งสมบัติที่มีราคาสูง
สมุนไพรส่วนใหญ่ที่ใช้กันในสำนักล้วนมาจากที่แห่งนี้ทั้งสิ้น
“อ้อ แล้วเจ้าสำนักก็ช่วยขุดตระเตรียมพื้นที่ในหุบเขาวาโยโอสถ สำหรับทำสวนสมุนไพรให้นางผู้เดียว เวลานางจะปรุงยาก็จะใช้ได้แค่สมุนไพรที่มาจากการปลูกในสวนของตัวเองเท่านั้น”
“เหตุใดถึงทำเช่นนี้เล่า? ถ้าหากว่านางเป็นบุคคลที่เก่งกาจหาได้ยาก เช่นนั้นสมุนไพรที่จะต้องใช้ยามปรุงยาย่อมมีไม่น้อย การทำเช่นนี้มิใช่เป็นการขัดขวางหนทางสู่การเป็นเซียนหมอของนางหรอกหรือ?”
ต่อให้ขุดที่เตรียมสวนได้ การเพาะสมุนไพรด้วยตัวเองก็เรียกได้ว่าช้ามาก!
ต้องเข้าใจก่อนว่ามีสมุนไพรหลายชนิดที่ต้องการร้อยหรือกระทั่งหลักหมื่นปีในการเติบโต ยาจึงจะได้ประสิทธิภาพเพียงพอ
“ย่อมไม่เป็นเช่นนั้น นางเองก็สามารถใช้สมุนไพรในหุบเขาวาโยโอสถได้เช่นกัน เพียงแต่ต้องเขียนคำร้องล่วงหน้า แล้วรอให้ผู้อาวุโสที่คอยเฝ้าดูหุบเขาวาโยโอสถเห็นชอบเสียก่อน ถ้าหากผู้อาวุโสยินยอม นางก็ใช้ได้ หากว่าไม่ยินยอม เช่นนั้นก็…”
ฉู่หลิวเยว่อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาคราหนึ่ง
“เหตุใดจึงได้มีกฎประหลาดเช่นนี้ออกมาได้กัน”
จงซวิ๋นชะงัก
“เพราะตอนเข้าสำนักมาได้หนึ่งเดือน นางก็เล่นเก็บเอาสมุนไพรชั้นยอดที่มีคุณภาพดีที่สุดกว่าร้อยชนิดไปใช้จนหมดเลยน่ะสิ”
ฉู่หลิวเยว่ “…ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง”
หากพูดเช่นนี้แล้ว คนผู้นั้นก็เรียกได้ว่ามีความสามารถจริงโดยแท้…
ฉู่หลิวเยว่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็หัวเราะเสียงเนือยออกมา
จงซวิ๋นทำสีหน้าพิลึกพิลั่นยามจ้องมองไปยังฉู่หลิวเยว่
“บรรดาผู้อาวุโสต่างก็มีเกียรติและคุณธรรมสูงส่ง จะไปลงไม้ลงมือกับแม่นางที่อ่อนวัยอยู่ได้อย่างใดกัน”
ฉู่หลิวเยว่ “… คนผู้นั้นเป็นสตรีหรอกหรือ!?”
“ข้าก็ไม่เคยพูดเสียหน่อยนี่ว่าเป็นบุรุษ?”
จงซวิ๋นเอ่ยย้อนถาม
ฉู่หลิวเยว่หัวเราะพลางค่อนขอด
“เฮอะๆ…ก็ข้าฟังว่านางสามารถก่อ…เก่งกาจปานนี้ เลยเผลอคิดไปแบบนั้น…”
“ได้ยินว่าตอนนั้นน่ะเจ้าสำนักและบรรดาผู้อาวุโสต่างก็ชื่นชอบนางอย่างมาก โดยเฉพาะผู้อาวุโสฮวาเฟิงที่สอนการใช้ค่ายกลให้นางตัวต่อตัว ทว่ามิรู้ว่าด้วยเหตุใด หลังจากที่นางหายตัวไปอย่างไร้สาเหตุ ทุกคนต่างก็มิพูดถึงนางกันอีกเลย”
“ศิษย์น้องฉู่เยว่ วันนี้ที่พูดกับเจ้าไปเยอะถึงเพียงนี้ล้วนเป็นความลับระหว่างเราเท่านั้นนะ เจ้าไม่ต้องใส่ใจมากนัก ส่วนเรื่องของผู้อื่น…”
“ศิษย์พี่จงซวิ๋นโปรดวางใจ ควรพูดอันใดควรทำสิ่งใด ข้าล้วนแจ้งประจักษ์แก่ใจดี” ฉู่หลิวเยว่ยิ้ม
จงซวิ๋นผ่อนลมหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง
ฉู่เยว่เป็นคนฉลาด เอ่ยเพียงเล็กน้อยก็สามารถเข้าใจความนัยได้ เขาไม่จำเป็นต้องห่วงอีกฝ่ายมากเลยโดยแท้
“เช่นนั้นก็ดี ระยะนี้เรื่องอื่นเจ้าก็ไม่ต้องไปคิดมากนัก เตรียมตัวเองให้พร้อมเพื่อรับมือการทดสอบช่วงต้นเดือนในวันพรุ่งเสียก่อน จะได้กราบอาจารย์เข้าสำนักได้ราบรื่น ก่อนหน้านี้ข้าเคยบอกเรื่องผู้อาวุโสบางท่านอย่างคร่าวๆ แก่เจ้าไปแล้ว ตอนนี้เจ้ารู้แล้วนะว่าต้องทำอย่างใด?”
ฉู่หลิวเยว่ผงกศีรษะรับ
จงซวิ๋นโล่งใจลงแล้ว เขาเอ่ยแกมหัวเราะว่า
“เช่นนั้นข้าตั้งตารอดูศิษย์น้องฉู่เยว่ทำคนตะลึงงันในวันพรุ่งเลย!”
…
หลังจากนั้น ฉู่หลิวเยว่ก็ตามจงซวิ๋นกลับไปยังที่พักด้วยกัน
ซึ่งก็เหมือนกับยอดเขาอื่นๆ ที่นี่เองก็มีจวนที่พักที่ตั้งเดี่ยวๆ อยู่หลายหลังด้วยเช่นกัน
จงซวิ๋นก็พักอยู่ในจวนเหล่านี้
ห่างจากจวนที่เขาพักอยู่ไม่ไกลนัก ก็มีจวนหลังหนึ่งที่ว่างอยู่พอดี บัดนี้ฉู่หลิวเยว่จึงได้พักอาศัยอยู่ที่นั่น
หลังจากแยกกับจงซวิ๋นแล้ว ฉู่หลิวเยว่ก็เดินเข้าไปข้างในห้อง
วันพรุ่งนี้จะได้เจอคนอื่นๆ ที่อยู่ในสำนักแล้ว…
ฉู่หลิวเยว่นั่งขัดสมาธิ หลับตาลง และเริ่มบำเพ็ญตนทำจิตใจให้นิ่งสงบ
…
อีกฟากหนึ่ง หลังจากที่ผู้อาวุโสวั่นเจิงจัดการเรื่องทางนี้จบก็มุ่งหน้ากลับไปยังจัตุรัสชิงหมิง
เหนือจัตุรัสอันสะอาดสะอ้าน หินหยกขาวก็สะท้อนเข้ากับแสงที่เรืองจางๆ จนมองเห็นแสงที่เปล่งประกายแวววับจากด้านบนได้ลางๆ
ถ้าหากเป็นปรมาจารย์ที่มีพลังกล้าแกร่ง ก็จะมองออกว่าลำแสงที่อยู่ระหว่างพื้นที่เงียบงันเหล่านี้ได้ก่อตัวเป็นค่ายกลอันซับซ้อนที่วางซ้อนทับกันหลายชั้นจำนวนหนึ่ง
ผู้อาวุโสวั่นเจิงเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าหอระฆังบูรพกษัตริย์
ข้างใต้ของหอระฆังบูรพกษัตริย์นั้นเป็นฐานรากที่หนาหนักและแข็งแรง โดยรวมแล้วจะมีประตูอยู่สี่บาน แต่ละบานหันหน้าไปทางสี่ทิศ เหนือ ใต้ ตะวันออก และตะวันตก
เหนือประตูทางเข้าที่ทำจากสำริดคือภาพนูนที่ทำออกมาเสมือนจริง
ผู้อาวุโสวั่นเจิงเดินไปหยุดอยู่ข้างหน้าหนึ่งในประตูเหล่านั้น แล้วหยิบตราหยกเขียวของตนออกมาวางไว้บนประตูทางเข้า
ประตูทางเข้าเปิดออก ภายในนั้นคือห้องโถงใหญ่อันน่าตื่นตาห้องหนึ่ง!
เขาก้าวเท้าแล้วเดินเข้าไปข้างในนั้น
…
“หากมิใช่เพราะว่าสถานการณ์คราวนี้มันร้ายแรงถึงเพียงนี้จริงๆ พวกเราก็คงไม่ขอให้พวกท่านรีบเร่งกลับมากันเช่นนี้”
ทันทีที่ผู้อาวุโสวั่นเจิงมุ่งหน้าเข้าไปข้างใน ก็แว่วเสียงอันคุ้นเคยดังขึ้นมาจากด้านหน้า
“บัดนี้ทุกท่านล้วนเป็นบุคคลสำคัญของบรรดาตระกูลและสำนักต่างๆ การที่พวกท่านสละเวลามาได้ เราต้อง…”
“ผู้อาวุโสกล่าวเกินไปแล้ว พวกเราล้วนเป็นศิษย์ของสำนักทั้งนั้น ยามสำนักประสบปัญหา พวกเราย่อมต้องร่วมด้วยช่วยกันอย่างสุดกำลัง”
เสียงอันอ่อนวัยของบุรุษผู้หนึ่งดังขึ้นมา
“เพียงแต่มิรู้ว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่ ถึงทำให้ท่านผู้อาวุโสต่างก็มีท่าทีหนักใจเช่นนี้? หลายวันมานี้ผู้อาวุโสมิยอมบอกกล่าวให้ชัดแจ้ง บัดนี้คนล้วนมาครบแล้ว สมควรจะบอกพวกเราได้แล้วกระมัง?”
ผู้อาวุโสวั่นเจิงเดินออกมาจากเงามืดแล้วก้าวเข้าสู่วงสนทนา
ภายในห้องโถงใหญ่ แสงจากเปลวไฟสาดส่องสว่างทั่ว
ในที่นี้มีคนอยู่ประมาณยี่สิบกว่าคนเห็นจะได้
ในบรรดาคนเหล่านั้น เป็นเหล่าผู้อาวุโสที่ครองตำแหน่งอันทรงเกียรติสูงสุดในสำนักหลิงเซียว ณ ปัจจุบัน
ส่วนอีกสิบกว่าคนที่เหลือนั้น ส่วนใหญ่แล้วดูอ่อนเยาว์กว่ามาก แต่ละคนล้วนมีบุคลิกอันโดดเด่นไม่เหมือนผู้ใด
…พวกเขาคือผู้ที่ทางสำนักร่อนจดหมายเชิญเพื่อขอกำลังหนุนในครั้งนี้ ทุกคนล้วนเคยเป็นศิษย์ในสำนักที่มีภูมิหลังมาจากตระกูลชั้นสูงมาก่อนด้วยกันทั้งสิ้น
ในตอนนี้ ทุกคนต่างก็นั่งแยกออกเป็นสองฝั่ง บรรยากาศกลับดูซับซ้อนอยู่บ้าง
เมื่อได้ยินเสียงการเคลื่อนไหว ทุกคนต่างก็หันศีรษะกลับไปมอง
ผู้อาวุโสวั่นเจิงทำสีหน้าเคร่งขรึม
“เมื่อครู่มีเรื่องที่ต้องจัดการนิดหน่อย ข้าไม่ได้มาช้าไปกระมัง?”
“ย่อมไม่ ท่านมาได้จังหวะพอดีขอรับ”
เด็กหนุ่มที่เพิ่งกล่าวออกไปเมื่อครู่เอ่ยแกมหัวเราะ
“ความจริงแล้วโอรสสวรรค์แห่งพระราชวังเมฆาสวรรค์เองก็เพิ่งมาถึง ทุกคนต่างก็กำลังรอเขาอยู่ จึงยังมิได้เริ่มพูดอันใดน่ะขอรับ”