ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1135 ถูกสาวเชิญ
ตอนที่ 1135 ถูกสาวเชิญ
เว่ยซีผิงสะดุ้งโหยงในคราแรก แต่พอตั้งสติได้ เขาก็รีบปั้นหน้าบึ้งทันที
เขากัดฟันกรอด ไม่พูดไม่พอ ก่อนจะปล่อยลมปราณอันเย็นยะเยือกออกมารอบตัว
อุ้งมือที่ซ่อนอยู่ใต้แขนเสื้อกำแน่น
หรงซิว…
ตลอดสองสามปีที่ผ่านมา เขาไม่ได้ปล่อยให้ช่วงเวลานั้นสูญเปล่า แต่กลับขัดเกลาความแข็งแกร่งได้มากขึ้นขนาดนี้เชียว!?
นี่เขาทำเช่นนั้นได้อย่างใดกัน!?
…
และคำถามนี้ ก็ไม่ได้มีแค่เว่ยซีผิงคนเดียวที่สงสัย
หากแต่ยินชูหลี่เองก็ใคร่รู้เช่นกัน
เขาหรี่ตาเพ่งมองหรงซิวอย่างจับผิด ก่อนจะถามเน้นเสียงทีละคำ
“เจ้าได้…”
“มิใช่อย่างที่เจ้าคิด”
เหมือนหรงซิวจะเดาความคิดของเขาได้ มุมปากของเจ้าตัวยกโค้งขึ้นเล็กน้อย พลันยกมือขึ้นแล้วโยนหอกโชตอัสนีกลับไป
“แต่แค่เอาชนะเจ้าได้ก็พอแล้ว”
ยินชูหลี่ยืนมือไปคว้าหอกโชตอัสนีไว้ พลางเบนสายตาไปมองหรงซิวพร้อมขมวดคิ้วด้วยความสับสนงงงวย
เขาสงสัยว่าหรงซิวได้บำเพ็ญเพียรจนบรรลุร่างศักดิ์สิทธิ์แล้วหรือ แต่หรงซิวกลับปฏิเสธ เช่นนั้นก็คงมิใช่อย่างที่เขาคิด
อย่างใดก็ตาม เมื่อพิจารณาจากสถานการณ์เมื่อครู่แล้ว มันกลับมีความเป็นไปได้อย่างมาก
ครานี้ช่องว่างระหว่างพวกเขาขยายกว้างขึ้นกว่าเดิมอีก!
เดิมทียินชูหลี่คิดว่าเขาสามารถใช้ความแข็งแกร่งที่พากเพียรฝึกฝนอย่างหนักหน่วงมาตลอดหลายปีนี้ ลดช่องว่างระหว่างเขากับหรงซิวและแซงหน้าอีกฝ่ายได้!
แต่คิดไม่ถึงว่าในขณะที่เขากำลังเพิ่มทักษะให้ตัวเองนั้น หรงซิวกลับพัฒนาตัวเองได้เร็วกว่าเขาเสียอีก!
เขากำหอกโชตอัสนีแน่นแล้วหลุบตามองต่ำ
บนแผ่นอกของเขามีรอยเลือดไหลซึมออกมา
หากหรงซิวต้องการ เขาย่อมสามารถสังหารตนได้ในพริบตา!
ยินชูหลี่สูดหายใจเข้าลึกๆ
และพอเขาเงยหน้าขึ้นมองหรงซิวอีกครั้ง ความตื่นตระหนกและความหงุดหงิดในดวงตาของเขาก็มลายหายไป
“วันนี้ข้าสู้เจ้าไม่ได้ เช่นนั้นข้ายอมรับความพ่ายแพ้! แต่…สักวันหนึ่ง ข้าจักเอาชนะเจ้าให้ได้!”
หรงซิวเลิกคิ้วขึ้น
ยินชูหลี่มักจะพูดแบบนี้ทุกครั้งหลังพ่ายแพ้ แต่เขาก็ชินกับมันแล้ว
แต่ทว่า เขาจะไม่ให้โอกาสอีกฝ่ายเช่นนี้อีกแล้ว
…
การต่อสู้ของสองบุรุษที่ลอยอยู่บนท้องฟ้าเสร็จสิ้นลงแล้ว หากแต่ฝูงชนที่เฝ้าดูอยู่ด้านล่าง กลับยังเรียกสติคืนมาไม่ได้สักคน
จะ จบแล้วหรือ!?
ตั้งแต่ต้นจนจบ พวกเขาใช้เพียงหนึ่งกระบวนท่าเท่านั้น!?
วิธีการทั้งหมดนั้นดูเรียบง่ายและอุกอาจมาก!
ว่าแล้วว่าต้องเป็นเช่นนี้ หรงซิวแข็งแกร่งอย่างที่เดาไว้ไม่ผิด!
ไม่มีใครสบประมาทว่ายินชูหลี่ไม่แข็งแกร่งพอ
เพราะตลอดสองสามปีมานี้ ในบรรดาสามอันดับแรกของตารางจัดอันดับจอมยุทธ์ มีเพียงเขาคนเดียวที่ยังฝึกฝนอยู่ในสำนักวิชา
แต่ถึงกระนั้นก็ไม่มีใครกล้าท้าประลองกับเขา
ผู้แข็งแกร่งเหนือเทพในวัยยี่สิบห้าหนาว จะไปท้าประลองเขาแล้วชนะง่ายๆ เช่นนั้นได้อย่างใด!?
ราวกับเทพเซียนผู้มิอาจล้มได้!
หากแต่คนเช่นนี้ ครั้นตกอยู่ภายใต้เงื้อมมือของหรงซิวแล้ว กลับมิสามารถโต้ตอบได้แม้แต่ครั้งเดียว!
ความแข็งแกร่งของหรงซิว…ช่างยากที่จะจินตนาการได้!
…
“ศิษย์พี่หรงซิวนี่แข็งแกร่งจริงๆ! เขาตอบรับคำท้าจากศิษย์พี่ยินชูหลี่ง่ายๆ เช่นนั้นเลย!”
“ก่อนหน้านี้มีข่าวลือว่า เขาเป็นอัจฉริยะลำดับต้นๆ ของสำนักวิชาในรอบหลายปี หากกล่าวว่าเป็นตำนานที่ยังมีลมหายใจก็ฟังดูไม่เกินจริง! ตอนแรกข้าคิดว่าพวกเขาคุยโวปั้นแต่งเรื่องขี้นมา แต่ใครจะรู้ว่า… หลังจากได้เห็นกับตา ข้าถึงเข้าใจทันทีว่าที่กล่าวมาทั้งหมดนั่นเป็นเรื่องจริง!”
“น่าเสียดายที่ไม่กี่ปีมานี้ศิษย์พี่หรงซิวมิได้อยู่ในสำนัก จะพบกันทีหนึ่งก็ยาก ครั้งนี้เขาเองก็น่าจะพักอยู่ที่นี่ได้ไม่นาน…”
“บุรุษเช่นนี้ เดามิออกเลยว่าแม่นางแบบใด จักครอบครองดวงใจของเขาได้…”
“ยังต้องถามอีกหรือ? แน่นอนว่าต้องเป็นเจียงจื่อหยวนอยู่แล้ว! เผ่าเซียนสุ่ยหลิงเจียงของนางถือเป็นเผ่าในปกครองของพระราชวังเมฆาสวรรค์ที่แข็งแกร่งที่สุด และสองคนนั้นก็รู้จักกันมานานแล้ว แทบจะเรียกได้ว่า เป็นหวานใจในวัยเด็กของกันและกันเลยก็ได้!”
“อ่า พวกเจ้ายังไม่รู้หรือ? ไม่นานมานี้ ศิษย์พี่หรงซิวเพิ่งจะแต่งตั้งพระชายาไปเอง!”
“กระไรนะ!?”
“ได้ยินมาว่าพระชายาผู้นั้นมาจากนอกพรมแดน…สรุปแล้วก็มิใช่เจียงจื่อหยวนผู้นั้นแต่อย่างใด…”
แม่นางหลายคนเริ่มซุบซิบนินทา
และบางคนก็กำลังสอดส่ายสายตาหาเจียงจื่อหยวนอย่างเงียบๆ
สายตาเหล่านั้นจับจ้องไปยังร่างของนาง จนเจียงจื่อหยวนรู้สึกราวมีแสงไฟส่องมาที่แผ่นหลังนาง
นางไม่รู้ว่าต้องใช้ความพยายามมากแค่ไหน ถึงจะหยุดไม่ให้ตัวเองหมุนตัวเดินหนีออกไปได้!
แม้ว่าตอนที่นางมายังสำนักวิชา จะเป็นช่วงที่หรงซิวออกไปแล้ว และพวกเขาสองคนมิได้ใช้เวลาร่วมกันในสำนักแต่อย่างใด
แต่ความจริงแล้ว น้องจากเหล่าเด็กใหม่ที่เพิ่งเข้ามา คนส่วนใหญ่ในสำนักหลิงเซียวต่างก็รู้ว่านางชอบหรงซิว
ซึ่งในหมู่คนเหล่านี้ ก็มีบางคนที่ทำตัวเป็นเชื้อไฟคอยปล่อยข่าวเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ของนาง แต่แน่นอนว่ามันก็ยังสู้สิ่งที่นางจงใจทำลงไปไม่ได้
เจียงจื่อหยวนนั้นรูปร่างหน้าตาดีและมีพรสวรรค์ที่โดดเด่น ดังนั้นนางจึงเปรียบเสมือนดาราในสำนักวิชาแห่งนี้ไปโดยปริยาย
ศิษย์พี่ศิษย์น้องหลายคนประทับใจในตัวนาง และหลงใหลนางจนถึงขั้นตามตื้อ
แต่พวกเขาทั้งหมดถูกเจียงจื่อหยวนปฏิเสธ
ตอนแรกทุกคนไม่รู้ว่าเหตุใดนางถึงทำเช่นนี้ แต่ต่อมามีข่าวลือว่าแม้นางจะเกิดที่เซียนสุ่ยหลิงเจียง แต่เพราะเป็นที่รักของประมุขแห่งพระราชวังเมฆาสวรรค์ นางจึงได้ไปเติบโตและใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นตั้งแต่ยังเด็ก
ถ้าบอกว่านางเป็นที่รักใคร่ของฝั่งพระราชวังเมฆาสวรรค์ คงมิดูเกินจริงแต่อย่างใด
และพอเป็นเช่นนี้ ทุกคนจึงเชื่อมโยงเรื่องของนางกับหรงซิวไปต่างๆ นาๆ
หากมีคนมาถามนางเป็นการส่วนตัว
เจียงจื่อหยวนก็จะทำทีไม่ยอมรับ แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ
ดังนั้นทุกคนจึงปักใจคิดเช่นนั้นไปแล้ว
หลายคนแอบเห็นด้วยและสนับสนุนให้เจียงจื่อหยวนกับหรงซิวเป็นฝั่งเป็นฝา
แต่ใครจะรู้ว่าสุดท้าย จู่ๆ ก็มีแม่นางอีกคนปรากฏตัวขึ้นและกลายเป็นพระชายาของหรงซิวเสียอย่างนั้น!?
ส่งผลให้ตอนนี้มีทั้งคนที่เห็นอกเห็นใจเจียงจื่อหยวน คนที่รอทับถม และคนที่เห็นนางเป็นตัวตลกอยู่มากมาย
คิดว่าเจียงจื่อหยวนมองไม่ออกหรือ?
ยามนี้สายตาที่เต็มไปด้วยการวิพากษ์วิจารณ์เหล่านั้น ทำให้นางรู้สึกอึดอัดมากกว่าเดิม
นางต้องการออกไปจากที่นี่ แต่อีกใจก็ไม่กล้า และทำได้เพียงอดทนยืนอยู่ตรงนี้อย่างทรมาน
…
ฉู่หลิวเยว่เองก็ได้ยินเสียงซุบซิบนินทาเหล่านี้ พลางเลิกคิ้วขึ้นนิดๆ พร้อมความรู้สึกปั่นป่วนในใจ
ตอนที่หรงซิวอยู่ในสำนักวิชา คงเป็นคนดังน่าดูเลยสินะ…
“ฉู่เยว่? ฉู่เยว่?”
ทันใดนั้นก็มีเสียงอันคุ้นเคยดังขึ้น
ฉู่หลิวเยว่พลันหันกลับไปมอง และแอบรู้สึกประหลาดใจเมื่อพบผู้มาใหม่
“คุณหนูหลัว? เหตุใดเจ้าถึงมาอยู่ตรงนี้ได้?”
นางควรจะอยู่ฝั่งจอมยุทธ์มิใช่หรือ ไฉนนางถึงมาอยู่ฝั่งเซียนหมอได้เล่า?
“เจ้า… มาหาข้าหรือ?”
ฉู่หลิวเยว่ถามอย่างลังเล
ปรางแก้มนวลเนียนของหลัวซือซือแดงปรั่ง ดวงตาของนางเปล่งประกายสดใสยามมองมาที่ฉู่หลิวเยว่
“ใช่แล้ว! ข้ามาแสดงความยินดีกับเจ้า! ข้ายินดีด้วยที่เจ้าได้เป็นลูกศิษย์ของผู้อาวุโสวั่นเจิง! ข้าได้ยินว่ามาตราฐานของผู้อาวุโสวั่นเจิงสูงมาก แถมยังมีวิสัยทัศน์ที่สูงส่งอีก แต่ไม่กี่ปีมานี้เจ้ากลับเป็นคนเดียวที่ผ่านการทดสอบแล้วได้เป็นศิษย์ของเขา!”
ที่แท้ก็เรื่องนี้เอง
ฉู่หลิวเยว่ยิ้มตอบ
“ขอบคุณเจ้ามาก ยินดีกับเจ้าด้วยเช่นกัน ส่วนอาจารย์ของเจ้าก็ น่าจะเป็นผู้อาวุโสเหวินซีใช่หรือไม่?”
“อื้อ!”
หลัวซือซือพยักหน้าตอบด้วยความตื่นเต้นดีใจสุดๆ
ผู้อาวุโสเหวินซีเป็นหนึ่งในผู้อาวุโสอันดับต้นๆ ของสำนัก อีกทั้งยังมีนิสัยใจคอดีมากๆ ด้วย
หลัวซือซือรู้สึกโชคดีมากที่ได้เป็นลูกศิษย์ของเขา
“พี่เซิงเองก็ได้เป็นศิษย์ของผู้อาวุโสเหวินซีเช่นเดียวกันกับข้า ส่วนพี่ห้าได้ผู้อาวุโสฮวาเฟิง เดิมทีเขาอยากเป็นศิษย์ของแม่นางเจ็ดเฉกเช่นพี่สี่ แต่ฝั่งแม่นางเจ็ดมีศิษย์ไปขอกราบเข้าสำนักเยอะมาก ดังนั้นพี่ห้าจึงเลือกผู้อาวุโสฮวาเฟิงแทน”
ความจริงแล้ว ความแข็งแกร่งของผู้อาวุโสทั้งสองนี้มิได้แตกต่างกันมากนัก ตราบใดที่พวกเขาตั้งใจฝึก เรียนกับผู้ใดย่อมมิต่าง
ฉู่หลิวเยว่หัวเราะ
“เช่นนั้นก็ดี ยินดีกับพวกเจ้าด้วย”
รอยยิ้มอันอ่อนโยน เรียวคิ้วและดวงตาอันบริสุทธิ์ผุดผ่อง ช่างเป็นรอยยิ้มสดใดที่ทำให้ทุกอย่างรอบตัวดูจืดชืดไปทันตา
หลัวซือซือเหม่อลอยอยู่ครู่หนึ่ง พลันหน้าแดงเถือก
“คืนนี้พวกข้าจะไปฉลองกัน เจ้าอยากไปด้วยกันหรือไม่?”
เมื่อหรงซิวปรายตามองดูภาพเบื้องล่าง เขาก็เห็นฉากนี้เข้าเสียเต็มตา
เด็กหนุ่มผู้หล่อเหลากับแม่นางแสนสวยที่กำลังยืนคุยกัน
ใบหน้าของแม่นางแดงก่ำ ดวงตาของนางเป็นประกาย เผยให้เห็นความเขินอายและความสุขที่เล็ดลอดออกมา
ส่วนเด็กหนุ่มคนนั้นกำลังหรี่ตาลง ราวกับครุ่นคิดอันใดบางอย่าง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นแล้วส่งยิ้มหวานให้แม่นางผู้นั้น
หว่างคิ้วของหรงซิวกระตุกเบาๆ พลางแสยะยิ้มทีละนิด นัยน์ตาคมเริ่มปรากฏอายเย็นยะเยือก
เพิ่งมาถึงก็…มีสาวเข้ามาเกี้ยวพาราสีแล้วหรือ?