ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1137 อาบน้ำนอนเถอะ
ตอนที่ 1137 อาบน้ำนอนเถอะ
“ปั๋วเหยี่ยน เจ้าก็คิดเช่นนั้นเหมือนกันหรือ?”
ในขณะนี้ จู่ๆ ผู้อาวุโสเหวินซีก็ได้ปรากฏตัวขึ้นมา เขาหัวเราะในลำคอและกล่าวแนะนำด้วยความภาคภูมิใจ
“เจ้าเด็กคนนั้น…ข้าเป็นคนหามาเองแหละ!”
“ข้าเห็นเขาเมื่อไม่กี่วันก่อน แล้วรู้สึกว่าพรสวรรค์ของเขาช่างน่าอัศจรรย์นัก อีกทั้งยังว่านอนสอนง่าย ในอนาคตเขาจะต้องประสบความสำเร็จมากมายแน่นอน! เป็นอย่างใดเล่า? สายตาข้าช่างเฉียบคมล่ะสิ!? เฮ้อ…แต่เสียดายอยู่อย่าง เจ้าเด็กคนนี้ไปฝึกตนด้านเซียนหมอเสียแล้ว! ถ้าหากเป็นจอมยุทธ์ล่ะก็…จิ๊…”
ผู้อาวุโสเหวินซีทั้งดีใจและเสียดาย
ที่เขาดีใจก็เพราะ เขาเป็นคนนำพาศิษย์คนใหม่ที่โดดเด่นเช่นนี้มาด้วยตัวเอง
ส่วนที่น่าเสียดายก็คือ เจ้าเด็กนี่มิได้ฝึกฝนกับเขา แถมไอ้แก่วั่นเจิงนั่นยังได้หน้าไปโดยไม่ลงแรงลงมืออันใดเลย!
“หึ! จากนี้วั่นเจิงได้ติดหนี้บุญคุณข้าครั้งใหญ่แล้ว!”
ผู้อาวุโสเหวินซีกล่าวอย่างมั่นใจ
หรงซิวมองเขาอย่างมีชั้นเชิง
อืม…
เริ่มไม่แน่ใจว่าใครจะติดหนี้ใครกันแน่…
“ฝั่งเจ้าเองก็ได้ศิษย์มาสองสามคนเลยมิใช่หรือ และเหมือนว่าหนึ่งในนั้นจะเป็นทายาทโดยตรงของตระกูลหลัวแห่งทะเลทรายพิลาปด้วย ใช่หรือไม่?”
ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนยิ้มเยาะเบาๆ
“แค่นี้ยังไม่พออีกหรือ?”
ผู้อาวุโสเหวินซีกระแอมเบาๆ
“เรื่องนั้นมัน มิใช่ว่า…ยิ่งมากยิ่งดีหรอกหรือ!”
หรงซิวมองลงไปข้างล่างอีกครั้ง ก่อนจะค่อยๆ กล่าวอำลาทุกคน
“ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยน เรื่องที่ได้คุยกันก่อนหน้านี้ ข้าจะต้องกลับไปเตรียมการก่อน จึงมิอาจอยู่ที่นี่นานได้”
ผู้อาวุโสแต่ละท่านมิได้รู้สึกแปลกใจกับการจากลาของหรงซิว
อันที่จริงแล้ว โอกาสที่เขาจะยอมมาปรากฏตัวที่สนามแห่งนี้นั้นยากมาก
ไหนจะเพิ่งประลองกับยินชูหลี่แล้วด้วย
“ตกลง ข้าจะส่งคนไป…”
“ขอบคุณท่านผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนที่ได้กรุณา แต่สิ่งเหล่านั้นยังไม่จำเป็นขอรับ”
หรงซิวยิ้มเล็กน้อย
“แม้จะไม่ได้กลับมาหลายปีแล้ว แต่ศิษย์ยังคุ้นเคยกับสำนักเป็นอย่างดี”
เป็นเรื่องยากที่ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนจะได้ยินแทนตัวเองเช่นนั้น เขารู้สึกใจหายอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าตอบเบาๆ
“ก็ได้…เช่นนั้น…เจ้าก็ทำในสิ่งที่เจ้าเห็นควรเถอะ”
…
หรงซิวจากไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อฝูงชนเห็นร่างของเขาค่อยๆ เลือนหายไป ก็ต่างแสดงท่าทีผิดหวังออกมา
แต่พวกเขาต่างก็รู้อยู่แล้วว่า ในขณะนี้หรงซิวไม่ได้อาศัยอยู่ในสำนักวิชาแห่งนี้แล้ว การได้พบกันสักครั้งนั้นมิใช่เรื่องง่ายเลย ดังนั้นพวกเขาจึงไม่กล้าเรียกร้องอันใดมากนัก
เมื่อหรงซิวจากไปได้ไม่นานนัก เว่ยซีผิงและคนอื่นๆ ก็ค่อยๆ ทยอยจากไปเช่นกัน
จนในที่สุดบนหอระฆังบูรพกษัตริย์ ก็เหลือเพียงเหล่าบรรดาผู้อาวุโสเท่านั้น
และการแข่งขันในจัตุรัสชิงหมิงนั้นยังคงดำเนินต่อไปอย่างคึกคัก
…
ในขณะที่การแข่งขันดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง การจัดอันดับในงานประลองชิงอวิ๋นนั้นก็ได้มีการเปลี่ยนแปลงอยู่เรื่อยๆ
ยิ่งอันดับในรายการประลองสูงขึ้นเท่าไร การประชันยิ่งดุเดือดมากเท่านั้น
ทุกคนล้วนเป็นยอดฝีมือจากทั่วทุกสารทิศ หากไม่นับยอดฝีมือบางคนที่เก่งกาจดั่งปีศาจล่ะก็ ความจริงแล้วพรสวรรค์ของผู้คนส่วนใหญ่ก็มิได้ต่างกันมากนัก
ในสถานการณ์เช่นนี้ การต่อสู้ระหว่างผู้แข็งแกร่งและผู้อ่อนแอเริ่มดุเดือดมากยิ่งขึ้น
และเมื่อมาถึงตอนนี้ ฉู่หลิวเยว่ก็ได้รู้ว่า ยิ่งอันดับในงานประลองชิงอวิ๋นสูงขึ้นและได้ครองตำแหน่งนั้นนานมากเท่าไร คะแนนสะสมก็จะยิ่งเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น
และพวกที่มีชื่ออยู่ในอันดับต้นๆ ยิ่งไม่ต้องพูดถึง
พลันฉุกคิดว่านางกว่าจะได้คะแนนให้ถึงสองหมื่นแต้มนั้นไม่ง่ายเลย อีกทั้งยังถูกหักไปห้าพันในพริบตา
ฉู่หลิวเยว่รู้สึกเจ็บใจเป็นอย่างมาก
หากต้องการเก็บคะแนนสะสม วิธีที่เร็วที่สุดคือการอยู่ในอันดับการประลองชิงอวิ๋น!
แต่กระนั้น แม้แต่ผู้ที่ได้อันดับหนึ่งร้อยในการปะลองเซียนหมอที่นางมั่นใจมากที่สุด ก็ยังเป็นถึงเซียนหมอระดับเก้าขั้นสูงสุด!
ถ้าหากนางต้องการที่จะเอาชนะ อย่างน้อยนางก็ต้องสามารถปรุงแต่งยาอายุุวัฒนะในระดับเดียวกันให้ได้
ฉู่หลิวเยว่รู้สึกปวดหัวขึ้นมาทันที
“ฉู่เยว่ เจ้ากำลังคิดอันใดอยู่?”
หลัวซือซือถาม
ฉู่หลิวเยว่ลูบคางของตนเบาๆ ด้วยมือข้างเดียว
“ข้ากำลังคิดว่า…ต้องทำอย่างใดข้าถึงจะได้อยู่ในอันดับของการประลองชิงอวิ๋น…”
หลัวซือซือพลันหลุดเสียงหัวเราะ “คิกๆ” ออกมาอย่างอดไม่ได้
“ตอนนี้เจ้าเริ่มคิดเรื่องนี้แล้วหรือ!? หรืออาจจะ…อืม…ยังเร็วไปหน่อยหรือไม่? ข้าคิดว่า ให้เจ้าแข็งแกร่งกว่านี้อีกหน่อย และรอจนชำนาญกว่านี้อีกหน่อย ค่อยไปคว้าชัยชนะแรกมาจะดีกว่า เจ้าคิดว่าอย่างใดล่ะ?”
คำพูดเหล่านี้ค่อนข้างมีชั้นเชิง ราวกับว่าไม่ต้องการให้กระทบต่อความกระตือรือร้นของฉู่หลิวเยว่ ก่อนจะพูดเพิ่มเสริมอีกประโยคว่า
“เมื่อดูจากพรสวรรค์ของเจ้าแล้ว คงจะใช้เวลาไม่นานนักหรอกจริงหรือไม่?”
ดวงตาของฉู่หลิวเยว่เป็นประกายเล็กน้อย แล้วค่อยๆ เผยรอยยิ้มออกมา
“เจ้าพูดถูก เรื่องแบบนี้ไม่ควรรีบร้อน”
การมีชื่อบนตารางอันดับชิงอวิ๋นนั้นเป็นเรื่องยากมาก ไหนจะการแข่งขันอื่นๆ จากอีกสองแขนง ที่ยิ่งจะทวีความดุเดือดมากขึ้น
ในบรรดารายชื่อเหล่านี้ เกรงว่าน่าจะมีแค่รายชื่อฝั่งช่างหลอมอาวุธที่มีไม่ถึงร้อยคนเท่านั้น ที่ไม่ค่อยมีใครท้าแข่ง
จริงด้วย!
ช่างหลอมอาวุธ!
จู่ๆ ดวงตาของฉู่หลิวเยว่ก็สว่างขึ้นอีกครั้ง และมองไปยังทางทิศเหนือ!
ถ้านางสามารถแสดงศักยภาพของนางในฐานะช่างหลอมอาวุธได้ เช่นนั้น ไม่แน่ว่านางก็อาจจะสามารถติดอันดับได้ตอนนี้เลย!?
เมื่อคิดอย่างถี่ถ้วนแล้ว อันที่จริงนางก็เคยหลอมอาวุธโบราณมาก่อน
กระบี่เทพเมฆาสำริดเล่มนั้นที่เชียงหว่านโจวใช้ในตอนแรก ก็เป็นฝีมือของนางที่ฝนมันจนคมกริบ!
แม้ว่าอาวุธที่นางหลอมเหล่านั้นจะมิได้สมบูรณ์แบบมากนัก แต่ว่า…ไม่แน่ครานี้นางอาจจะทำสำเร็จก็ได้!?
เมื่อคิงถึงตรงนี้ ฉู่หลิวเยว่ก็ตัดสินใจมุ่งหน้าไปทางช่างหลอมอาวุธ
…
เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของฉู่หลิวเยว่ ผู้อาวุโสเริ่นหรานที่กำลังสะลึมสะลืออยู่กับรายชื่อการประลองของเหล่าบรรดาช่างหลอมอาวุธนั้น ก็ได้ลืมตาขึ้น
หืม…ศิษย์หน้าใหม่ที่เคยมาเดินเล่นเมื่อคราวก่อนนี่เอง ดูเหมือนว่าจะกลายเป็นศิษย์ของวั่นเจิงแล้วสินะ?
ผู้อาวุโสเริ่นหรานลืมตาข้างหนึ่งขึ้นมองดูเด็กหนุ่มคนนั้นที่กำลังเดินมาทางเขา แล้วหยุดฝีเท้าลงตรงต่อหน้า
“ศิษย์คารวะท่านผู้อาวุโสขอรับ”
ผู้อาวุโสเริ่นหรานลืมตาข้างที่เหลือขึ้นและตอบอย่างเกียจคร้าน
“มีอันใด?”
หากคนธรรมดาทั่วไปพบเจอเขาเป็นเช่นนี้ในครั้งแรก คงจะรู้สึกว่าเขานั้นช่างเย่อหยิ่งพูดจาไม่ค่อยน่าฟังสักเท่าไร
แต่ในความเป็นจริงแล้ว ผู้ที่คุ้นเคยกับผู้อาวุโสเริ่นหราน หรือกล่าวได้ว่าหากคุ้นเคยกับนิสัยใจคอของเหล่าบรรดาช่างหลอมอาวุธแล้ว ก็จะรู้ว่านี่เป็นการกล่าวทักทายที่สุภาพมากที่สุดแล้ว
ก็ยังถือว่าไว้หน้าผู้อาวุโสวั่นเจิงอยู่
ฉู่หลิวเยว่ไม่ได้ถือสาอันใด พลันโค้งคำนับด้วยความเคารพและถามว่า
“ศิษย์อยากมีชื่ออยู่บนตารางอันดับของช่างหลอมอาวุธขอรับ”
“หือ…หื๊อ!?”
ผู้อาวุโสเริ่นหรานชะงักไปนิด ก่อนจะยืนตัวตรงและมองไปที่ฉู่หลิวเยว่ตั้งแต่หัวจรดเท้า พลันหัวเราะขึ้นมาในทันใด
“แทบมองไม่ออกเลยนะ ว่ามีสิ่งล้ำค่าภายในตัวเจ้า…”
อันที่จริงอาวุธโบราณที่บดบังพลังลมปราณไว้ได้หมด จนสามารถหลบหลีกสายตาของเขาได้นั้น หาได้ยากนัก
“เจ้าหนู ตอนนี้เจ้าเป็นจอมยุทธ์ระดับไหนแล้ว?”
ฉู่หลิวเยว่ชะงักไปพักหนึ่ง และกล่าวอย่างตรงไปตรงมา
“ศิษย์อยู่ระดับเจ็ดขั้นต้นขอรับ”
และอีกไม่นาน คงจะทะลวงไประดับเจ็ดขั้นกลางได้อย่างแน่นอน
แต่นางไม่ได้พูดประโยคนั้นออกไป
“ว่าอย่างใดนะ? ระดับเจ็ดขั้นต้นหรือ?”
ผู้อาวุโสเริ่นหรานตาเบิกกว้างด้วยความตกใจ จากนั้นตบต้นขาดังฉาดแล้วหัวเราะเสียงดัง
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า! เจ้าหนูเอ้ย เจ้านี่มันลูกวัวแรกเกิดไม่กลัวเสือเสียจริง! เจ้ารู้หรือไม่ว่าการท้าประลองของช่างหลอมอาวุธนั้น อย่างน้อยเจ้าก็ต้องอยู่ระดับครึ่งเทพ! แต่เจ้าเป็นแค่จอมยุทธ์ระดับเจ็ด ยังอีกไกลโขนัก!”
เสียงหัวเราะของผู้อาวุโสเริ่นหรานดึงดูดความสนใจของผู้คนมากมายในทันที
หลังจากได้ยินคำพูดของเขา สายตาของทุกคนก็จับจ้องไปฉู่หลิวเยว่แล้วกวาดมองขึ้นลงอย่างพินิจ แค่นี้ก็น่าจะเข้าใจแล้วสินะ?
เด็กน้อยที่เพิ่งเข้าเรียนคนนี้ คิดจะใช้ทักษะของจอมยุทธ์ระดับเจ็ดมาปะลองช่างหลอมอาวุธอย่างนั้นหรือ!?
เจ้าฝันอยู่หรือไร!
แม้แต่ข้อกำหนดกฎเกณฑ์ขั้นต่ำในการลงแข่งขันงานประลองเขายังไม่รู้เลย จะไร้เดียงสาเกินไปหน่อยหรือเปล่า!?
“เจ้าหนู การที่เจ้าอยากเข้าร่วมการประลองชิงอวิ๋นนั้นเป็นเรื่องดี หากแต่ต้องดูว่าตัวเจ้ามีความสามารถนั้นหรือไม่! เจ้านี่นะ…สมควรกลับไปอาบน้ำนอนเสีย!”
——————————————-