ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1139 เจ้าไม่ได้เรื่อง
ตอนที่ 1139 เจ้าไม่ได้เรื่อง
อยู่ๆ สถานการณ์ก็ชวนน่าอึดอัดขึ้นมาชั่วขณะ
ผู้อาวุโสเริ่นหรานออกแรงขยี้ตารุนแรง ถึงยืนยันได้ว่าทัณฑ์สวรรค์ได้หายไปจากไข่มุกมนตราศักดิ์สิทธิ์ อย่างไร้ร่องรอย
จากนั้นเขาก็มองไปที่ฉู่หลิวเยว่ด้วยสายตาแปลกๆ ทันควัน
ฉู่หลิวเยว่ชายตาขึ้นมองอย่างไร้เดียงสา ก่อนจะสบตาเขาโดยตรง
“เมื่อครู่เกิดอันใดขึ้น?”
“…ศิษย์เองก็ไม่ทราบ”
“เจ้าไม่รู้? ทัณฑ์สวรรค์นั่นปรากฏออกมาให้เห็นแล้วก็หายไป ไข่มุกมนตราศักดิ์สิทธิ์เองก็อยู่ในมือของเจ้าแท้ๆ เจ้าจะไม่รู้เลยหรือ?”
“…อาวุโสเป็นผู้รอบรู้ คงเข้าใจอันใดๆ มากกว่านี้มิใช่หรือขอรับ?”
“…แต่ข้าไม่เคยพบเจอสถานการณ์เช่นนี้มาก่อน!”
ผู้อาวุโสเริ่นหรานกุมขมับพลางรู้สึกปวดหัวเล็กน้อย
เขาเป็นผู้ที่นำไข่มุกมนตราศักดิ์สิทธิ์ออกมาก็จริง แต่ผู้ที่ทำการทดสอบคือฉู่เยว่ที่อยู่ตรงหน้าต่างหาก!
เมื่อถกกันมาจนท้ายที่สุด ฉู่เยว่ก็ยังเป็นผู้ที่มีปัญหาอยู่ดี!
แต่ครั้นมองไปที่เขา สีหน้าแววตาก็ยังดูว่างเปล่า…นี่เขาไม่รู้จริงๆ หรือว่าเกิดอันใดขึ้น?
“เจ้าลองดูอีกครา!”
ผู้อาวุโสเริ่นหรานกล่าว
ฉู่หลิวเยว่พยักหน้าเล็กน้อย ก่อนจะลองดูอีกครั้ง
คราวนี้นางเปลี่ยนมาใช้พลังแห่งสวรรค์ที่หลงเหลือเมื่อครั้งตอนทำข้อตกลงกับอินทรีสามตา
นางถือไข่มุกมนตราศักดิ์สิทธิ์ไว้ในมือทั้งสองข้าง
ไม่นานนัก การเปลี่ยนแปลงแบบเดิมได้เกิดขึ้นอีกครั้ง!
หัวใจของผู้อาวุโสเริ่นหรานพลันพองโตขึ้นไปตามๆ กัน
ตราบใดที่ทัณฑ์สวรรค์นั่นปรากฏตัวขึ้นได้นานพอ ก็นับได้ว่าสำเร็จ!
เดิมทีเขาไม่ได้สนใจชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าเขาสักเท่าไรนัก แต่ตอนนี้หลังประสบกับเหตุการณ์เมื่อครู่ เขากลับรู้สึกว่าไม่แน่บางทีฉู่เยว่ผู้นี้อาจมีพรสวรรค์จริงๆ
สำหรับช่างหลอมอาวุธนั้น การจะรับศิษย์คนหนึ่งเข้ามาได้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
ดังนั้นความคิดของผู้อาวุโสเริ่นหรานที่เดิมทีไม่ได้ใส่ใจอันใดก็เปลี่ยนไป ความคาดหวังบางอย่างผุดขึ้นภายในก้นบึ้งจิตใจของเขาเงียบๆ หวังว่าเจ้าหนุ่มผู้นี้จะทำสำเร็จ!
หึ่ง!
ทันใดนั้นเอง ทัณฑ์สวรรค์ก็ปรากฏขึ้น!
ผู้อาวุโสเริ่นหรานมีสีหน้าดีใจอย่างเห็นได้ชัด
แต่ยังไม่ทันที่เขาจะฉีกยิ้ม ทัณฑ์สวรรค์นั่นก็หายไปอีกครั้ง!
ครั้งนี้รุนแรงกว่าครั้งก่อนนัก มันโผล่ออกมาเพียงแค่หัว แล้วถอยกลับอย่างรวดเร็ว!
แม้แต่รูปร่างสมบูรณ์ของมันก็ล้วนไม่มีผู้ใดได้เห็นมันชัดๆ!
ขณะทอดสายตาไปยังไข่มุกมนตราศักดิ์สิทธิ์ที่ว่างเปล่านั้นอีกครั้ง ฉู่หลิวเยว่และผู้อาวุโสเริ่นหรานก็เงียบไปครู่หนึ่ง
“เจ้า…”
ผู้อาวุโสเริ่นหรานสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะเงยหน้ามองนาง
“ฮ่า ฮ่า! ก็อย่างที่ข้าว่า อย่างใดเสียเจ้าหนุ่มนี่ก็ไม่ได้เรื่องได้ราวหรอก! ช่างหลอมอาวุธเป็นกันได้ง่ายๆ เสียเมื่อไร?”
“เป็นดังเจ้าว่า ต่อให้จะมีพรสวรรค์ด้านการเป็นเซียนหมออยู่บ้าง ก็ไม่จำเป็นต้องป่าวประกาศไปทั่วเช่นนี้? หรือเจ้านั่นจะคิดไปเองว่าตนก็มีความสามารถรอบด้านเหมือนศิษย์พี่หรงซิว?”
“อย่างใดเสียก็เป็นเพียงจอมยุทธ์ระดับเจ็ด การที่เขากล้าท้าทายเช่นนี้ ถือว่า…อาจหาญไม่เบาจริงๆ?”
เสียงของบทสนทนาดังลอยมาจากด้านหลัง
ระยะที่พวกเขายืนอยู่ค่อนข้างห่างไกลออกไป จึงไม่สามารถมองเห็นทัณฑ์สวรรค์ที่แวบผ่านไข่มุกมนตราศักดิ์สิทธิ์ได้ชัดเจน แต่กลับคิดว่าฉู่หลิวเยว่เรียกมันออกมาไม่ได้เลยสักสาย
ในถ้อยคำเหล่านั้น พ่วงมาด้วยเสียงหัวเราะเยาะและการเหน็บแนมอย่างเห็นได้ชัด
ภายในสำนักหลิงเซียว แม้ว่าบรรยากาศโดยรวมจะดี แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าโดยส่วนตัวแล้วทุกคนจะเป็นมิตร
การทดสอบด้านเซียนหมอของฉู่หลิวเยว่ก่อนหน้านี้โดดเด่นเป็นอย่างมาก มีคนชมชอบก็ต้องมีคนอิจฉาเป็นธรรมดา
เวลานี้ในสายตาของคนเหล่านั้น พฤติกรรมของนางไม่มีอันใดมากไปกว่าการโอ้อวดความสามารถอันแสนน่าเบื่อ
“พวกเจ้าว่าอย่างใดนะ!?”
เมื่อได้ยินดังนั้น หลัวซือซือก็ขมวดคิ้ว ก่อนหันกลับมาตำหนิเบาๆ
นางเป็นหญิงสูงศักดิ์ที่ได้รับการปลูกฝังอย่างดีจากตระกูลขุนนางเก่าแก่ แม้นางจะมีนิสัยอ่อนโยน แต่หากโกรธขึ้นมาแล้วล่ะก็ เพียงลมปราณไร้รูปแบบที่อยู่ในร่างกายนาง ก็เพียงพอที่จะทำให้ผู้คนหวาดกลัวได้โดยไม่ต้องเอ่ยอันใดมากความ
เหล่าศิษย์ที่ถูกสายตาของนางกวาดมอง ต่างพากันปิดปากสนิท
ถึงพวกเขาจะรู้สึกไม่พอใจ แต่หลัวซือซือก็มาจากตระกูลหลัว อย่างใดเสียพวกเขาก็ไม่กล้าทำให้นางขุ่นเคืองเป็นอันขาด
ยิ่งไปกว่านั้น ที่นี่ยังมีคนของตระกูลหลัวอีกหลายคน อาทิเช่นหลัวเยี่ยนหลิน ผู้ซึ่งค่อนข้างมีชื่อเสียงในสำนัก
ช่างไม่มีความจำเป็นอันใดที่จะต้องไปยั่วยุพวกเขา
“คุณหนูหลัว อย่าไปขุ่นเคืองกับเรื่องไร้สาระเหล่านั้นเลย”
ฉู่หลิวเยว่ได้ยินก็หันหน้าครึ่งหนึ่งไปมอง ก่อนยิ้มให้นางเล็กน้อย
หลัวซือซือเม้มปาก
“พวกเขาพูดถึงเจ้าเช่นนั้น เจ้า…”
“ความจริงที่พวกเขาว่ามาก็ไม่มีอันใดผิด ดูเหมือนข้าจะไม่มีพรสวรรค์ด้านนี้เลยจริงๆ”
ขณะที่ฉู่หลิวเยว่กล่าว นางก็คืนไข่มุกมนตราศักดิ์สิทธิ์กลับไป
อือ…เหมือนว่านางจะไม่ค่อยเหมาะกับอันใดเช่นนี้
อันที่จริงสถานการณ์เช่นนี้ สำหรับนางแล้วนับว่าไม่ได้ผิดแปลกอันใด
เมื่อครั้งตอนหลอมกระบี่เทพเมฆาสำริดในตอนนั้น ก็ดูเหมือนจะเป็นแบบนี้เช่นเดียวกัน…
เพียงแต่เหตุการณ์ในครั้งนั้นรุนแรงและสมจริงมากกว่าตอนนี้มากนัก
แม้นางคิดว่าตนมีกำลังมากพอที่จะคว้าทัณฑ์สวรรค์กลับมาได้ แต่…เมื่อคำนึงถึงว่าบริเวณโดยรอบยังมีผู้คนอีกจำนวนมากที่กำลังจับตาดูอยู่ นางจึงล้มเลิกไปเสียอย่างนั้น
ผู้อาวุโสเริ่นหรานรับไข่มุกมนตราศักดิ์สิทธิ์มา ก่อนจะสำรวจรอบๆ อย่างละเอียดถี่ถ้วน และในที่สุดก็มองมายังฉู่หลิวเยว่ด้วยสายตาซับซ้อน
“ช่างน่าเสียดาย…อันที่จริงเจ้าเองก็ไม่ได้นับว่าไร้พรสวรรค์ด้านช่างหลอมอาวุธเสียทีเดียว ก็แค่…”
ก็แค่ว่าดูเหมือนมันจะไม่เพียงพอหรือบางทีอาจมีปัญหาอื่น
กล่าวโดยสรุปคือ ฉู่เยว่ไม่สามารถเรียกทัณฑ์สวรรค์ออกมาได้สำเร็จ การทดสอบครั้งนี้จึงถือได้เพียงว่าล้มเหลวเท่านั้น!
ฉู่หลิวเยว่ดูเหมือนจะไม่มีร่องรอยของความเสียใจกับการพ่ายแพ้เลย นางเพียงแค่ยิ้มเบาๆ
“ศิษย์ทราบดี ขออภัยที่ทำให้ท่านลำบากขอรับ”
กล่าวจบนางก็จากไปโดยไม่ลังเล
“นี่”
หลัวซือซือรีบตามไปทันควัน ก่อนสำรวจดูท่าทีของนางอย่างพินิจพิเคราะห์ ราวกับมีคำจะกล่าวแต่ยั้งไว้เสียก่อน
ฉู่หลิวเยว่ยิ้มให้
“คุณหนูหลัวมีสิ่งใดจะพูดก็ว่ามาตามตรงเถิด”
หลัวซือซือประหลาดใจ
“เจ้า…ตอนนี้เราก็นับว่าเป็นสหายกันแล้ว เจ้า…เรียกชื่อข้าเฉยๆ ก็ได้…”
คุณหนูหลัว ฟังดูห่างเหินและออกจะสุภาพไปหน่อย
ฉู่หลิวเยว่ตอบรับความต้องการในทันที
“ซือซือ”
ขนตาของหลัวซือซือสั่นไหวเล็กน้อย ราวกับมีบางอย่างมาถูที่หัวใจเบาๆ
ฉู่หลิวเยว่ไม่ได้เอะใจอันใด แต่ครั้นกลับไปนึกถึงสถานการณ์เมื่อครู่ก็ยิ้มออกมา
“อย่าได้กังวล ข้าไม่เป็นไร สิ่งที่ผู้อาวุโสเริ่นหรานหมายความคือ ช่างหลอมอาวุธมีคุณสมบัติที่ไม่ได้เป็นกันง่ายๆ เดิมทีข้าเพียงแค่อยากลองดูเท่านั้นว่าข้ามีศักยภาพด้านนี้หรือไม่ หากว่ามีก็ดีไป แต่หากไม่มีก็ไม่มีอันใดต้องรู้สึกแย่ เพราะอย่างใดเสีย…”
มุมปากของนางโค้งเล็กน้อย ระหว่างคิ้วและดวงตาดูมุ่งมั่นและมั่นใจ
“พรสวรรค์ด้านเซียนหมอของข้ายังนับว่าไม่เลว”
ขณะที่กล่าวอยู่ สายตาของนางก็กวาดมองผู้คนรอบข้างเหมือนมีนัยยะ แต่ก็เหมือนไม่มีนัยยะ
ผู้คนที่ยังคงเอ่ยถึงนางก่อนหน้านี้เงียบลงยิ่งกว่าเก่า
หรือหากซ้ำร้าย อย่างใดนางก็เป็นศิษย์เพียงผู้เดียวที่ผู้อาวุโสวั่นเจิงสนใจในช่วงสามปีที่ผ่านมา!
ลำพังเพียงเท่านี้ก็กินขาดไปหลายคนแล้ว!
แล้วพวกเขามีสิทธิ์อันใดมาหัวเราะเยาะนาง?
เมื่อเห็นว่านางดูจะไม่ได้รู้สึกแย่กับเรื่องนี้จริงๆ หลัวซือซือก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“จริงดังว่า! สำนักหลิงเซียวเปิดรับศิษย์เข้ามาไม่รู้เท่าไรต่อเท่าไรนานหลายปี แต่มีไม่ถึงร้อยคนด้วยซ้ำที่ติดอันดับได้เป็นช่างหลอมอาวุธ ฉะนั้นการที่เจ้าไม่ผ่านก็ถือเป็นเรื่องปกติ!”
ฉู่หลิวเยว่ไล่สายตาขึ้นไป จับจ้องไปยังรายชื่ออันดับต้นๆ ก่อนจะเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
“อือ นี่ก็เพียงพอแล้วที่จะพิสูจน์ให้เห็นว่าการที่คนๆ หนึ่งจะสามารถติดอันดับได้ ต้องเป็นผู้ที่เก่งกาจไม่น้อย…”
หลัวซือซือมองตามสายตาของนาง ก่อนจะยิ้มออกมา
“ใช่แล้วล่ะ! หากทุกคนเก่งเท่าศิษย์พี่หรงซิวก็แย่แล้ว”
ฉู่หลิวเยว่ไม่ได้เอ่ยอันใดต่อ
ขณะนั้นเอง เสียงของชายที่คุ้นเคยก็ดังลอยมาจากที่ที่ไม่ไกลนัก
“ซือซือ!”
หลัวเยี่ยนหลินมองดูน้องสาวของตนและชายหนุ่มผู้นั้นยืนอยู่ด้วยกัน ท่าทางดูใกล้ชิดสนิทสนมอย่างมาก เขาจึงอดไม่ได้ที่จะขึ้นเสียงแล้วร้องเรียก
“มานี่!”