ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1141 หึงหวง
ตอนที่ 1141 หึงหวง
ความรู้สึกชาอันเบาบางแล่นปราดจากบริเวณปลายหูลามไปทั่วครึ่งร่าง
ฉู่หลิวเยว่งอนิ้วมือของตน พาให้ร่างของตัวเองหลุดจากอาการชาได้อย่างง่ายดาย นางปรายตามองเขาพลางคลี่ยิ้มจางๆ
“นี่ชวนให้เข้าใจผิดดีแท้ ในเมื่อศิษย์พี่หรงซิวไม่ไปพูดคุยเรื่องสำคัญกับท่านผู้อาวุโสทั้งหลายแล้ว เช่นนั้นท่านมาทำอันใดที่นี่กลางดึกป่านนี้กัน?”
หรงซิวมองไปยังดวงตาแลหว่างคิ้วอันสุกสกาวของนาง แม้จะอยู่ท่ามกลางค่ำคืนอันมืดมิดเช่นนี้ ทว่ามันก็ยังคงเปล่งประกายสว่างจ้าดุจดวงดารา เป็นดั่งแสงตกกระทบของคลื่นน้ำที่เลื่อนไหลเข้าปลุกเร้าจิตใจของผู้พบเห็น
เขากระชับฝ่ามือแน่น คอยฟ้อนเฟ้นคลอเคลียฝ่ามืออ่อนนุ่มของนางมิห่าง ในน้ำเสียงเองก็แฝงไว้ด้วยความเงื่องหงอยถึงสามส่วน
“โกรธอยู่หรือ?”
ฉู่หลิวเยว่มองเขาอย่างไม่ละสายตาพลางส่ายศีรษะ
“ข้าเพียงแค่สงสัย เหตุใดเจ้าถึงไม่ยอมให้ข้าเข้าสำนัก”
“มิใช่ว่าข้าอยากขัดขวาง เพียงแต่ว่า…”
หรงซิวชะงักไป หวนนึกไปถึงเหตุการณ์ในตอนที่พบปะกับพวกผู้อาวุโสฮวาเฟิงก่อนหน้านี้
จากที่เห็น พวกเขาดูมิได้มีใจเริงร่าสนุกสนานแลผ่อนคลายเช่นนี้มานานแล้วหนา…
วันนี้ที่หอระฆังบูรพกษัตริย์ ผู้อาวุโสเหวินซีถึงกับป่าวประกาศอย่างภาคภูมิใจยิ่งว่า ตนเป็นคนพาฉู่หลิวเยว่มาเข้าร่วมเป็นศิษย์ของสำนักได้เสียด้วยซ้ำ
ถ้าหากว่าพวกเขารู้ถึงสถานะที่แท้จริงของนางแล้วล่ะก็…
“ถึงต่อให้ไม่อยากให้เจ้ามา ตอนนี้ก็มิใช่ว่าเจ้ามาแล้วหรือไร?”
หรงซิวกุมหน้าผากอย่างช่วยไม่ได้ ริมฝีปากบางโปรยยิ้มที่แฝงด้วยการพะเน้าพะนอแลเอาใจนางอยู่หลายส่วน
ฉู่หลิวเยว่พลันเฉลียวใจขึ้นมาทันใด
“เจ้า…รู้มาตั้งแต่แรกแล้วหรือ?”
หรงซิวขยับเข้าไปใกล้อีกหน่อยแล้ววางคางลงบนบ่าของนาง สุ้มเสียงทุ้มต่ำหรือก็เอ่ยหยอกเย้า
“ถ้าหากข้าเดาไม่ถูกแม้กระทั่งความต้องการของชายาตัวเอง นั่นสิถึงจะเรียกว่าแปลก เพียงแต่ว่า…ข้าแค่ไม่คิดว่าเจ้าจะเร็วถึงปานนี้”
วัดจากความฉลาดเฉลียวและรอบรู้ของฉู่หลิวเยว่แล้ว ไม่ช้าก็เร็วนางย่อมต้องรับรู้ได้ถึงสิ่งผิดปกติ
เพียงแต่เขานั้นคาดไม่ถึงว่านางจะตัดสินใจรวดเร็วเช่นนี้ และนั่นหมายถึงการรุดหน้าเข้าสำนักโดยตรง
ฉู่หลิวเยว่ครุ่นคิดกับตัวเอง นี่เองก็เป็นเรื่องจริงเช่นกัน
ถ้าหากวันนั้นมิใช่เพราะได้พูดคุยเรื่องนี้กับหลินจือเฟยโดยบังเอิญ นางเองก็คงไม่ตัดสินใจฉับไวและเลือกที่จะเคลื่อนไหวเช่นนี้
“อย่างใดเสียตอนนี้ข้าก็เป็นศิษย์ของสำนักหลิงเซียวแล้ว เจ้าอยากให้ข้าออก นั่นย่อมเป็นไปไม่ได้”
ฉู่หลิวเยว่เลิกคิ้วขึ้น
ในเมื่อหรงซิวไม่อยู่ การรั้งรออยู่ที่พระราชวังเมฆาสวรรค์ก็ไร้ประโยชน์โดยแท้
อีกทั้งนางยังเริ่มรู้สึกว่าที่นี่นั้นน่าสนใจอยู่บ้างทีเดียว
หรงซิวพลันหัวเราะออกมาคำรบหนึ่งจนฉู่หลิวเยว่รู้สึกได้ชัดเจนถึงแรงกระเพื่อมที่หน้าอกของเขา
“นั่นย่อมไม่มีทางอยู่แล้ว”
หรงซิวเอ่ยแกมหัวเราะ
“เจ้าอยากจะอยู่ที่นี่นานสักเท่าใดก็ตามใจเจ้าเถิด ส่วนพระราชวังเมฆาสวรรค์ฝั่งโน้นน่ะ ข้าจะเป็นคนช่วยเจ้าจัดการเอง”
สิ้นประโยค ฉู่หลิวเยว่รู้สึกประหลาดใจขึ้นมาอยู่บ้างแล้วจริงๆ
นางออกแรงเล็กน้อย ผละตัวเองออกมาจากอ้อมอกของหรงซิว แล้วหันกลับไปมองเขาด้วยสายตาจริงจัง
“จริงหรือ?”
“ข้าเคยหลอกเจ้าด้วยหรือไร?” หรงซิวอมยิ้มอยู่หลายส่วนพลางถามนางกลับไป
ฉู่หลิวเยว่แค่นเสียงแผ่วเบาในลำคอ
“เจ้าหลอกข้ามาน้อยเสียที่ไหนกัน?”
หรงซิว “…”
เขาลืมว่าเรื่องนี้เป็นตัวสร้างความบาดหมางไปเสียสนิท…
เขาเอนหลังเอียงศีรษะพิงหัวเตียง ขายาวเหยียดออก นัยน์ตาอันลึกล้ำราวกับว่าสามารถกลืนกินทุกอย่างมองไปยังฉู่หลิวเยว่อย่างสงบนิ่ง
ความอ่อนโยนแลรักใคร่ภายในนัยน์ตาคู่นั้นล่อลวงผู้คนได้ชะงัด
เขาถอนหายใจแผ่วเบาออกมาคราหนึ่ง เสียงเบาหวิวนัก ทว่ากลับแฝงไปด้วยความเยือกเย็นอย่างไร้ข้อกังขา
“หากว่าหลอกเจ้าแล้วแลกมากับการที่ทำให้ชั่วชีวิตนี้ของเจ้าอยู่ดีมีสุขได้ เช่นนั้นข้าก็ยินยอมพร้อมใจหลอกเจ้าไปชั่วชีวิต”
ในใจของฉู่หลิวเยว่พลันสั่นระริก
เป็นครั้งแรกเลยที่หรงซิวพูดจาเช่นนี้กับนาง
การพูด…อย่างตรงไปตรงมาและจริงใจเช่นนี้น่ะ
พูดตามตรงว่า ปกติแล้วหรงซิวเมื่อก่อนหน้านี้หากไม่เอ่ยปดนางก็มักจะมีเรื่องปิดบังนางเสมอ
ทุกครั้งที่นางนึกถึงเรื่องราวพวกนี้หรือมาพบเจอความจริงเอาภายหลังก็ตาม หรงซิวก็ไม่คิดโต้แย้ง กลับกันเขาเลือกที่จะยอมรับออกมาซึ่งหน้าเสียด้วยซ้ำ
นี่มันเหมือนกับว่า…
ตรงหน้าของนางมีม่านฉากใหญ่ผืนหนึ่งปกคลุมทุกสิ่งอย่างเอาไว้
ส่วนหรงซิวก็ยืนอยู่หลังม่านฉากผืนนั้น
เขาไม่ได้เปิดม่านออก ทว่าหากนางยื่นมือเข้าไป เขาเองก็มิได้ห้ามปราม
ฉู่หลิวเยว่ไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าสุดท้ายแล้วหรงซิวทำเช่นนี้ไปเพื่ออันใด
เขารู้แจ้งถึงเรื่องราวมากมายอย่างมิต้องสงสัย ทว่ากลับไม่ยอมปริปากเล่าทุกอย่างแก่นาง
ฉู่หลิวเยว่เคยคาดเดาอยู่ในใจมาหลายครั้งหลายครานัก กลับคิดไม่ถึงว่าในจังหวะโอกาสเช่นนี้ นางจะได้รับคำตอบที่โพล่งออกมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยเช่นนี้ของ…หรงซิว?
นางเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะจ้องเขม็งไปทางหรงซิว แล้วเอ่ยถามเน้นออกมาทีละคำ
“หรงซิว เจ้าไม่อยากให้ข้าจำเรื่องก่อนหน้านี้ได้อย่างนั้นหรือ?”
หรงซิวหัวเราะร่า ทว่ากลับส่ายศีรษะ นิ้วเรียวยาวของเขาไล้ไปตามฝ่ามือของนางอย่างแผ่วเบาประหนึ่งว่ากำลังเชยชมสมบัติอันล้ำค่า
“เพียงเรื่องราวที่ไม่ดีบางส่วนเท่านั้น”
ต่อให้ภายในนั้นจะยังคงมีเรื่องราวอดีตของพวกเขา
ทว่า เพื่อนางแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนไม่สำคัญทั้งสิ้น
ครั้งหนึ่งหรงซิวเคยคิดว่า ถ้าตอนนี้นางจะฟื้นคืนความทรงจำส่วนนั้นมาไม่ได้อีกเลย ก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอันใด
ทว่า…มีบางเรื่องที่โชคชะตานั้นได้ลิขิตไว้ก่อนแล้ว
“ในเมื่อตอนนี้เจ้ากลับไปยังสำนักแล้ว เช่นนั้นข้าก็จะไม่บังคับให้เจ้าออกจากสำนักอีก”
หรงซิวพลันออกแรงที่แขน ดึงให้นางเข้าสู่อ้อมอก
“ท้ายที่สุดแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างของเจ้าก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเจ้าเอง”
“เช่นนั้นเจ้า…”
“อย่างใดเสียข้าก็จะยืนอยู่เคียงข้างเจ้า คอยช่วยเหลือเจ้า”
สีหน้าของหรงซิวนั้นเรียบเฉยนัก
ท่ามกลางค่ำคืนอันมืดมิด แสงจันทร์ที่สว่างสุกใสสาดส่องลงบนดวงหน้าของเขาที่ซึ่งประหนึ่งเทพแลมาร
ในใจของฉู่หลิวเยว่พลันกระตุก ในอกราวกับว่ามีบางอย่างกำลังพรั่งพรูขึ้นมา ทำเอาทั่วทั้งร่างของนางรู้สึกร้อนผ่าวขึ้นมาโดยพลัน
นางขยับกายเข้าไปแนบชิดในทันใด
ริมฝีปากเย็นเฉียบเล็กน้อย แต่ก็ยังคงอ่อนนุ่ม
ในชั่วพริบตาที่รู้สึกว่าโลกหมุน แผ่นหลังของนางก็แผ่ทาบลงบนเตียง
ทว่าในตอนที่บรรยากาศโดยรอบค่อยๆ ทวีความร้อนระอุขึ้นเรื่อยๆ ก็มีแว่วเสียงเคาะประตูขึ้นมาเสียก่อน
ก๊อก ก๊อก!
ไม่นานหลังจากนั้นก็ตามมาด้วยสุ้มเสียงของแม่นางที่ฟังดูคุ้นเคย
“ฉู่เยว่? เจ้าอยู่หรือไม่?”
เป็นหลัวซือซือนั่นเอง!
ฉู่หลิวเยว่พลันรู้สึกตัว นัยน์ตาที่เดิมทีพร่ามัวแลฉ่ำเยิ้มไปด้วยหยดน้ำตาเอ่อคลอสร่างคืนสติอย่างรวดเร็ว
ใช่แล้ว ก่อนนี้พวกเขานัดกันไว้เสียดิบดีว่าคืนนี้จะไปฉลองกันที่เขาหมื่นเมรัยด้วยกัน!
กลายเป็นว่าพอหรงซิวมาหา นางก็ลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท!
ฉู่หลิวเยว่ดันร่างของบุรุษตรงหน้าให้ลุกออก
เมื่อได้ยินเสียงดังมาจากด้านนอก การเคลื่อนไหวของหรงซิวก็พลันชะงักไปครู่หนึ่ง
แต่ว่าแค่ชั่วครู่เดียวเท่านั้น
หลังจากนั้น เขาก็ทำประหนึ่งว่าไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย พลางกระชับคนในอ้อมกอดแน่นขึ้นไปอีก ก่อนกดจูบนางอย่างเนิบนาบ
“ฉู่เยว่!?”
หลัวซือซือตะโกนเรียกอย่างแปลกใจขึ้นอีกครา
“เหตุใดถึงไม่ตอบกันนะ…”
“หรือว่าไม่มีคนอยู่” เป็นเสียงของหลัวเยี่ยนหมิงเอ่ยขึ้น
“ไม่มีทางน่า ตอนกลางวันเราก็คุยกันดีแล้วนี่”
หลัวซือซือเอ่ยอย่างงุนงง
ฉู่หลิวเยว่เบิกตากว้างเป็นเชิงทัดทานแก่หรงซิวรอบหนึ่ง
หรงซิวลอบหัวเราะไร้เสียง ภายในแววตาอันลึกล้ำทอประกายแสงระยิบ มิได้มีแววใส่ใจ ทว่าแฝงไปด้วยกลิ่นอายอันตรายอันแผ่วจาง
“…มีนัดหรือ?”