ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1142 ทำตัวดีๆ อย่าได้ก่อเรื่อง
ตอนที่ 1142 ทำตัวดีๆ อย่าได้ก่อเรื่อง
เสียงนี้มิได้ออกมาจากปากของหรงซิว ทว่ามันกลับลอยเข้าหูของฉู่หลิวเยว่อย่างชัดเจน
ทั้งทุ้มต่ำและแฝงไปด้วยความแหบพร่าที่ซึ่งกระตุ้นจิตใจของผู้คนได้อย่างง่ายดาย
ฉู่หลิวเยว่เหม่อลอยไปชั่วขณะ ทว่าก็รีบตอบโต้กลับไปอย่างรวดเร็ว นางหรี่ตามองเขาอย่างน่ากลัว
นางไม่เชื่อว่าหรงซิวจะไม่รู้เรื่องนี้
“ก็นัดไปเขาหมื่นเมรัยอย่างใดเล่า”
“เขาหมื่นเมรัย?”
คิ้วกระบี่ของหรงซิวเลิกขึ้นเล็กน้อย มิรู้ว่าคิดถึงสิ่งใดอยู่ ภายในแววตาถึงปรากฏรอยยิ้มที่ยากจะเข้าใจอยู่หลายส่วน
“เป็นที่ที่ดีทีเดียว”
เพิ่งจะกลับเข้ามาสำนักได้ ก็จะไปเสียแล้ว…
ฉู่หลิวเยว่กะพริบตาปริบๆ
“เหตุใดหรือ ไปเขาหมื่นเมรัยไม่ได้หรือ?”
ท่าทียามหรงซิวเอ่ยถึงเขาหมื่นเมรัยนั้น ดูอย่างใดก็ไม่เหมือนกับว่ากำลังเอ่ยคำชม
“จะเป็นไปได้อย่างใดกัน”
หรงซิวหัวเราะ จากนั้นก็กดคลึงริมฝีปากของนางอย่างแผ่วเบา
“รีบไปรีบกลับ ถึงแล้วก็ทำตัวดีๆ อย่าได้ก่อเรื่อง”
ฉู่หลิวเยว่ “…”
นางเพียงแค่ออกไปเที่ยวเล่นกับสหายไม่กี่คนเท่านั้น หาได้ไปสร้างเรื่องชวนตีไม่
เหตุใดน้ำเสียงของหรงซิวถึงได้เหมือนว่านางตั้งใจจะสร้างปัญหาทำเรื่องไม่ดีไปได้เล่า
“เหตุใดถึงได้เงียบไม่มีเสียงการเคลื่อนไหวเลย หรือว่าจะไม่อยู่จริงๆ”
เป็นเสียงของจัวเซิงเอ่ยขึ้น
“มิเช่นนั้นเราลองไปหาที่อื่นดูดีหรือไม่?”
“ไม่ดีกระมัง…ในเมื่อเรียกดูก็แล้ว…” หลัวซือซือพึมพำ
“ลองเข้าไปดูก่อนแล้วกัน หากไม่มีคนค่อยว่ากันอีกที”
หลัวเยี่ยนหมิงว่า ก่อนจะก้าวขึ้นไปผลักประตูเข้าไปข้างใน
หว่างคิ้วของฉู่หลิวเยว่ขมวดเข้าหากันเล็กน้อย
พริบตาที่ประตูทางเข้าเปิดออก เงาร่างของหรงซิวก็ลับหายไปจากภายในห้องแล้ว!
“ฉู่เยว่?”
เมื่อมองเห็นว่าฉู่หลิวเยว่กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียง หลัวเยี่ยนหมิงก็ชะงักไปครู่หนึ่ง
“เมื่อครู่ตะโกนเรียกเจ้าอยู่ด้านนอก เหตุใดเจ้าไม่ส่งเสียงตอบเล่า?”
ฉู่หลิวเยว่ค่อยๆ พ่นลมหายใจออกมา จากนั้นก็กระโดดลงมาจากเตียงด้วยท่าทีผ่อนคลาย
“ไม่มีอันใด เมื่อครู่ข้าแค่ใจลอยคิดเรื่องใบสั่งยาอยู่ เลยไม่ได้ยินน่ะ”
ภายใต้ค่ำคืนอันมืดมิด แสงที่ลอดเข้ามาในห้องนั้นสลัวอย่างมาก
คนทั้งหลายจึงมองเห็นไม่ชัดว่าริมฝีปากของฉู่หลิวเยว่นั้นบวมแดงขึ้นมาจากเดิมอยู่บ้าง ไหนจะนัยน์ตาปรือปรอยที่ฉ่ำน้ำจางๆ นั่นอีก
ฉู่หลิวเยว่หัวเราะร่า
“ไปกันเถอะ!”
…
ณ เขาหมื่นเมรัย
ในตอนที่คนทั้งหลายเดินทางมาถึง พระจันทร์ก็ปรากฏอยู่บนผืนฟ้าแล้ว
แสงจันทร์สว่างสุกใสสาดเอียงลงมาท่ามกลางป่าเขา ฉายออกมาเป็นเงาสีเขียวน้ำเงินอ่อนจาง
ลมยามค่ำพัดมาเอื่อยๆ กิ่งก้านแลใบไม้เสียดสีกันส่งเสียงกรอบแกรบ บางครั้งบางคราวจะได้ยินเสียงสวบสาบเล็กน้อยที่แตกต่างกันออกไปดังขึ้นมาอีกด้วย
ฉู่หลิวเยว่เงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ พบว่ามีเสียงที่ฟังแลดูครึกครื้นมีชีวิตชีวาแว่วมาจากบนยอดเขา
“วันนี้คือต้นเดือนแล้วล่ะ บรรดาศิษย์จำนวนมากต่างก็มาที่นี่กัน”
ประหนึ่งว่าอ่านใจของฉู่หลิวเยว่ออก หลัวซือซือที่อยู่ด้านข้างเอ่ยอธิบายขึ้นมา
“พวกเราตอนนี้ก็ถือว่ามาสายแล้ว แต่ว่าก่อนหน้านี้พี่สี่ช่วยจองที่ไว้ให้เรียบร้อย พวกเราตรงไปที่นั่นกันเลยก็ใช้ได้แล้ว”
ฉู่หลิวเยว่จึงได้รู้ว่าที่แท้บนเขาหมื่นเมรัยเองก็มีไว้สำหรับการนี้เช่นกัน
“ไม่ใช่ผู้ใดก็เข้ามาที่นี่ได้หรอกหรือ? เหตุใดถึงต้องลำบากลำบนกันเช่นนี้ด้วยเล่า?”
ฉู่หลิวเยว่เอ่ยถามอย่างไม่ได้ใส่ใจนัก
“นั่นย่อมเป็นเพราะตาน้ำพุอย่างใดเล่า!”
จัวเซิงที่เดินอยู่ด้านหน้าพลันหันศีรษะกลับมาตอบพลางหัวเราะเฮะเฮะ
“ดูท่าเจ้าจะไม่รู้จริงๆ สินะ! เล่ากันว่า น้ำพุที่พวยพุ่งออกมาจากตาน้ำพุนั่นน่ะให้คุณประโยชน์ต่อร่างกายของผู้ฝึกตนอย่างมาก! บางครั้งถึงขั้นช่วยให้บุกทะลวงขอบเขตให้ขึ้นไปยังระดับที่สูงกว่าได้เลย! เพราะฉะนั้น ยิ่งเข้าใกล้ตำแหน่งของตาน้ำพุมากเท่าไร ก็ยิ่งล้ำค่ามากเท่านั้น! วันนี้ต้นเดือนคนมาออกันเยอะที่สุด จุดของตาน้ำพุย่อมชิงมาได้ยากสุดเป็นแน่!”
ฉู่หลิวเยว่ผงกศีรษะเป็นเชิงเข้าใจ พอจะเดาได้โดยคร่าวแล้วว่าเป็นเหตุการณ์แบบใด
เมื่อตอนกลางวันของวันนี้ ทุกคนต่างก็เหนื่อยล้ากันมาทั้งวันแล้ว ในเมื่อมีโอกาสและสถานที่ที่จะได้ผ่อนคลายอารมณ์อันหาได้ยากพรักพร้อม พวกเขาย่อมไม่พลาดโอกาสนี้
พวกน้องใหม่ที่ผ่านการทดสอบอยากจะเฉลิมฉลอง
บรรดาศิษย์เก่าที่ไต่ขึ้นสู่ระดับที่สูงกว่ามาได้เองก็อยากแสดงความยินดีเช่นกัน
แม้กระทั่งบรรดาคนที่ผิดหวังจากความพ่ายแพ้เอง ก็ยากที่จะเลี่ยงความอยากดื่มสุราเพื่อคลายทุกข์ของตน
ที่นี่ครึกครื้นวุ่นวายเช่นนี้ได้ก็ไม่มีสิ่งใดที่น่าประหลาดใจไปกว่านี้แล้ว
“น้ำพุนั่นมีฤทธิ์วิเศษถึงเพียงนั้นเชียวหรือ?”
เมื่อเทียบกันแล้ว ฉู่หลิวเยว่ก็ยิ่งทวีความรู้สึกสนใจเรื่องนี้มากขึ้นกว่าเก่า
นางเคยเห็นทรัพยากรพิเศษแลของล้ำค่าใดๆ มานับไม่น้อย ทว่ามิเคยได้ยินเกี่ยวกับของเช่นนี้มาก่อน
น้ำพุที่พวยพุ่งออกมาจากตาน้ำพุกลับมีประสิทธิภาพที่น่าตื่นตาตื่นใจเช่นนี้ ย่อมต้องกระตุ้นต่อมสงสัยในใจผู้คนอยู่แล้ว
“เฮะเฮะ! ข้าเองก็เคยได้ยินมาแค่นั้น ประสิทธิภาพของมันจะให้ผลอย่างใด รอพวกเราขึ้นไปถึงก็ได้รู้แล้วไม่ใช่หรือไร?”
จัวเซิงเอ่ยแกมหัวเราะอย่างไม่สนใจเลยแม้แต่น้อย
เห็นได้ชัดเลยว่าเขาไม่ได้ใส่ใจถึงข่าวลือเหล่านั้นเลยแม้แต่น้อย
ที่เขาสนใจอยู่ก็คือคืนวันนี้จะได้เที่ยวเล่นอย่างสนุกสนานสำราญใจหรือไม่!
ฉู่หลิวเยว่เองก็มิได้เอ่ยถามอันใดต่ออีก เพียงมุ่งหน้าเดินขึ้นไปต่อเท่านั้น
…
ยิ่งเข้าใกล้ยอดเขามากเท่าไร เสียงครึกครื้นวุ่นวายก็ชัดเจนขึ้นเท่านั้น
ท่ามกลางเสียงเหล่านั้นราวกับว่ามีเสียงไหลของกระแสน้ำรวมอยู่ด้วย
ฉู่หลิวเยว่หันมองไปตามต้นเสียง
น่าเสียดายที่อยู่ท่ามกลางป่าทึบจึงมองเห็นได้ไม่ชัดนัก ทำได้แค่เห็นเพียงธารน้ำสายหนึ่งที่กำลังไหลรินอยู่รางๆ
ยามแสงจันทร์สาดส่องลงบนผืนน้ำ แสงที่เข้ากระทบคลื่นนั้นเป็นประกายใสดั่งผลึกแก้ว
เมื่อมองไปเช่นนี้ก็ดูเหมือนจะไม่มีอันใดพิเศษเหมือนดั่งว่า…
“จัวเซิง เหตุใดพวกเจ้าถึงเพิ่งมากันเล่า?”
เหนือยอดเขาพลันแว่วเสียงก้องกังวานของเด็กหนุ่มอ่อนวัยคนหนึ่งดังขึ้น
“พวกข้าคิดว่าพวกเจ้าจะไม่มากันแล้วเสียอีก!”
หลังจากนั้นไม่นาน ฉู่หลิวเยว่ก็เห็นคนจำนวนหนึ่งเดินลงมาจากด้านบน
จัวเซิงหัวเราะเสียงดังลั่น
“ฮ่าฮ่า! ถ้าหากพวกข้าไม่มาก็คงน่าเบื่อตายเลยไม่ใช่หรือไรกัน?”
เมื่อได้ฟังพวกเขาพูดคุยกันสองสามประโยค ฉู่หลิวเยว่ก็รับรู้ได้ถึงสถานะของคนเหล่านี้
พวกเขาเองก็เป็นศิษย์ของปรมาจารย์ที่เพิ่งเข้าสำนักมาวันนี้ มีเพียงคนที่อยู่ด้านหน้าสุดที่กำลังพูดคุยอยู่กับจัวเซิงที่เข้าสำนักมาก่อนพวกเขาหนึ่งปีเท่านั้นที่เป็นศิษย์พี่
เรื่องบังเอิญก็คือ เขากับจัวเซิงรู้จักมักจี่กันนี่ล่ะ
ดังนั้นความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่ายจึงดูสนิทชิดเชื้อกันอย่างมาก
หลังจากนั้น จัวเซิงก็ได้แนะนำตัวให้คนจากทั้งสองฝ่ายได้รู้จักซึ่งกันและกัน
หลังจากได้ยินนาม ‘ฉู่เยว่’ สายตาของคนเหล่านั้นก็หยุดลงบนร่างของฉู่หลิวเยว่ในทันที
ทว่าความสนใจของพวกเขาส่วนใหญ่ ก็ทอดลงบนร่างของหลัวซือซือทั้งสิ้น
โดยเฉพาะเด็กหนุ่มที่พูดคุยทักทายกับจัวเซิงนั้นดูจะกระหายอยากในตัวของหลัวซือซืออย่างมาก
ไม่ว่าใครล้วนมองความคิดของเขาที่มีต่อหลัวซือซือออก
จากคำพูดก็ฟังออกได้ไม่ยากว่าพวกนางเองก็รู้จักกันอยู่ก่อนแล้วเช่นกัน
แต่ว่าหลัวซือซือนั้นดูมิได้สนใจพวกเขาเลยแม้แต่น้อย นางคงไว้ซึ่งท่าทีสุภาพและเงียบขรึม กระทั่งพูดจาเองก็ไม่ชวนจำนรรจาให้มากความ
และแล้วคนกลุ่มนี้ก็พากันขึ้นสู่ยอดเขาด้วยบรรยากาศชวนกระอักกระอ่วนอยู่บ้างด้วยประการฉะนี้
…
เขาหมื่นเมรัยนั้น แท้จริงแล้วเป็นภูเขาที่ซึ่งสูงตระหง่านอย่างยิ่งลูกหนึ่ง ยอดเขากว้างขวางสามารถจุคนได้จำนวนมากในเวลาเดียวกัน
อีกทั้งภายใต้แสงจันทร์ขาวนวล ทิวทัศน์ตระการตาเหมาะเจาะ กอปรด้วยกลิ่นสุราสดชื่นอันเข้มข้นที่แผ่กระจายอวลไปทั่วในอากาศยิ่งทำให้ผู้คนต่างก็เคลิบเคลิ้มลุ่มหลงมากยิ่งกว่าเก่า
ไกลออกไป ฉู่หลิวเยว่ก็ได้กลิ่นหอมรัญจวนอันแปลกประหลาดสายนั้น
นางย่นจมูกเบาๆ จากนั้นก็สูดลมหายใจเข้าลึก พลันรู้สึกว่าทั่วทั้งหน้าอกและช่องท้องล้วนราวกับว่าอวลตลบไปด้วยกลิ่นสุราที่ชวนให้ผู้คนหลงมัวเมาก็มิปาน
ทว่ากลิ่นอายเช่นนี้กลับมิได้ทำให้คนสูญสิ้นสติของตนไปเลยแม้แต่น้อย
เพราะแบบนั้น บรรดาผู้อาวุโสของสำนักเองก็ปิดตาข้างหนึ่งเรื่องที่ศิษย์ทั้งหลายมารวมตัวผ่อนคลายกันที่เขาหมื่นเมรัยในวันนี้
หลังฉู่หลิวเยว่ปีนขึ้นไปถึงยอดเขาแล้ว นางกวาดสายตามองไวๆ ก็มองเห็นตำแหน่งของตาน้ำพุที่อยู่ใจกลางพอดิบพอดี