ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1145 ยั่วยุ
ตอนที่ 1145 ยั่วยุ
ฉู่หลิวเยว่เลื่อนสายตาขึ้นไปมองเขาคราหนึ่ง
ในมือของอิ่นฝานถือจอกสุราจอกหนึ่งไว้อยู่ ใบหน้าของเขาแดงระเรื่อ ภายในช่องปากเองก็มีกลิ่นสุราลอยออกมาหึ่ง
หากมิใช่ว่ารู้อยู่ก่อนแล้วว่าน้ำพุสายนี้มิมีฤทธิ์มอมเมา เกรงว่าพวกเขาจะได้คิดไปว่าเขานั้นดื่มจนเมาเข้าแล้วจริงๆ
มือของเขาไกวไปมาแล้วชี้ไปยังอีกทิศทางหนึ่ง ภายในดวงตาคู่นั้นราวกับว่ากำลังทอแววเร้นลับแลประหลาดชอบกล
“ทุกคนที่มาเขาหมื่นเมรัยล้วนมากันตั้งแต่พลบค่ำจนถึงรุ่งสาง เวลาที่เหลือไร้ซึ่งผู้คน หากเจ้าต้องการจริงๆ…”
“อิ่นฝาน เจ้าคิดจะพูดอันใดกันแน่?”
หลัวซือซือเอ่ยตัดบทเขาอย่างขุ่นเคือง คิ้วโก่งได้รูปขมวดเข้าหากัน
“เจ้ารู้แก่ใจดีว่าห้ามใครเข้าเขาหมื่นเมรัยโดยพละการในช่วงกลางวัน เจ้าพูดเช่นนี้ มิใช่ว่าคิดจงใจชักนำให้ฉู่เยว่ทำผิดกฎอย่างนั้นหรือ?”
“ที่เปิดปากพูดออกมา ก็เพราะว่าข้าเห็นเขาอยากไปยังตาน้ำพุมากถึงเพียงนั้นต่างหากเล่า!”
อิ่นฝานสะอึกออกมาคราหนึ่ง กลิ่นสุราอันเข้มข้นทำให้กลุ่มคนต่างหายใจแทบไม่ออก
เขาจ้องฉู่หลิวเยว่เขม็ง ทำท่าทีประหนึ่งว่ากำลังยิ้ม ทว่าแววตากลับมิได้ยิ้มตาม
“ศิษย์น้องฉู่เยว่ เจ้าคิดเห็นเป็นเช่นไร?”
หางคิ้วของฉู่หลิวเยว่เลิกขึ้นเล็กน้อย
อิ่นฝานมาระบายความโกรธใส่นางเช่นนี้เพราะหลัวซือซือหรือนี่?
นี่นางดันติดร่างแหรับกรรมไปด้วยชัดๆ
เดิมทีฉู่หลิวเยว่ยังคิดจะไว้หน้าเขาอยู่บ้าง ทว่าคนผู้นี้จิตใจคับแคบนัก ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องคบค้าสมาคมต่อ
นางถอยหลังไปครึ่งก้าว มือก็ลูบถวนจื่อเป็นเชิงปลอบโยนพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อยว่า
“ขอบคุณศิษย์พี่อิ่นฝานใน ‘ความหวังดี’ ของท่านนะขอรับ เพียงแต่ว่าข้ามีวิธีของข้าเองแล้ว ไม่รบกวนท่านแล้วล่ะ”
อิ่นฝานแสยะยิ้มเย็นเยียบ
เสแสร้งสิ้นดี!
เขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่าฉู่เยว่ผู้นี้จะกล้าดีถึงเพียงนี้!
เขาหัวเราะออกมาสุ้มเสียงหนึ่ง
“ศิษย์น้องฉู่เยว่ เจ้าเพิ่งเข้าสำนักมา มีเรื่องอีกมากที่ยังไม่เข้าใจ ในฐานะศิษย์พี่ก็ขอชี้แนะเจ้าเพิ่มอีกสักหน่อย มีความคิดน่ะเป็นเรื่องที่ดี แต่ถ้าหากฝันเฟื่องคิดหมายปองสิ่งของที่ไม่ใช่ของตน…ก็รังแต่จะดึงดูดปัญหาให้เข้ามาหาตัวเอง!”
คำเตือนที่แฝงเป็นนัยในประโยคนั้นชัดเจนอย่างมาก
พวกหลัวเยี่ยนหมิงล้วนรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง สีหน้าพลันเปลี่ยนไปเล็กน้อย
หลัวซือซือขมวดคิ้วเป็นปมแน่นกว่าเดิม
ทว่าฉู่หลิวเยว่เพียงฉีกยิ้มบางเบาเท่านั้น
“ขอบคุณศิษย์พี่มากที่ให้คำชี้แนะ แต่ว่า แต่ไหนแต่ไรมาโชคของข้าก็ดีมากอยู่แล้ว”
สายตาของอิ่นฝานมองมาที่นางอย่างลึกล้ำวาบหนึ่ง
ฉู่หลิวเยว่เองก็เบนสายตากลับไป แล้วหันไปมองทางตาน้ำพุที่อยู่บนยอดเขา
ความจริงแล้ว คำพูดของอิ่นฝานเองก็เตือนสตินางอยู่เหมือนกัน
ช่วงเวลาเปิดให้เข้าของเขาวั่นจิ่วนั้นแปลกพิกลยิ่งนัก ทว่าอาจเป็นเพราะแต่ไหนแต่ไรมาก็เป็นเช่นนี้อยู่แล้ว ดังนั้นทุกคนจึงคุ้นชินกับมันไปแทน
ช่วงกลางวัน…
สรุปแล้วเขาหมื่นเมรัยเก็บซ่อนความลับอันใดเอาไว้กันแน่?
พึ่บพับ!
ในตอนนั้นเอง เสียงกระพือปีกก็ดังแว่วขึ้นมา!
ฉู่หลิวเยว่ได้ยินดังนั้นก็มองตามเสียงไป
ชั่วครู่ถัดจากนั้น นางก็เห็นเพียงเงาร่างสีแดงสายหนึ่งบินมุ่งหน้าไปบนยอดเขาในทันทีทันใด!
ในขณะเดียวกัน เสียงหัวเราะหยอกล้ออันดังกังวานสายหนึ่งดังแว่วมาจากบนยอดเขา
แม่นางอีกนางหนึ่งเอ่ยกลับไปอย่างจู้จี้จุกจิก
“เพ่ย! เจ้าต่างหากที่บ้า! เจ้าตัวนี้ของข้าเป็นถึงอสูรศักดิ์สิทธิ์ที่มีสายเลือดของหงส์ทองคำเชียวนะ! บางทีหลังได้ดื่มน้ำพุนี่ พละกำลังก็จะทวีความแข็งแกร่งขึ้นมาอีกก็ได้!”
ระหว่างที่พูดอยู่นั้น เงาร่างสีแดงสายนั้นก็บินโฉบจากข้างบนลงมา!
ฉู่หลิวเยว่หรี่ตามอง ก็เห็นว่าสัตว์อสูรตัวนั้นมีเปลวเพลิงสีแดงลุกโชนไปทั่วทั้งร่าง
ทุกที่ที่มันบินผ่าน กิ่งก้านใบไม้ต่างก็ลุกไหม้ หินภูเขาดำเป็นตอตะโก ก็เพียงพอที่จะพิสูจน์ถึงพลังของมันแล้ว!
ยามบินผ่านศีรษะของกลุ่มคนที่ส่งเสียงเอะอะมะเทิ่งไป ก็ก่อให้เกิดเสียงอุทานด้วยความตกใจตามกันมา
เพื่อที่จะหลบซ่อนจากสัตว์อสูรตัวนี้ กลุ่มคนต่างถอยหลังหาที่หลบกันจ้าละหวั่น
ยอดเขาที่เดิมทีเปี่ยมด้วยความคึกคักมีชีวิตชีวาพลันเกิดความวุ่นวายโกลาหล
ฉู่หลิวเยว่ที่ไม่อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับความวุ่นวายครั้งนี้ ก็ถอยหลังไปหลายก้าว คิดหาทางหลบเลี่ยง
ใครจะไปรู้ว่าสัตว์อสูรตัวนั้นบินไปได้ครู่หนึ่งก็พลันวกเปลี่ยนทิศทาง ก่อนจะมุ่งมายังฝั่งของฉู่หลิวเยว่ตรงๆ!
ในตอนที่อุณหภูมิอันร้อนระอุม้วนพัดพาเข้ามา หว่างคิ้วของฉู่หลิวเยว่ก็ขมวดเข้าหากันน้อยๆ
เจ้าตัวนี้นี่มัน…
ชึ่บ!
ถวนจื่อพลันเรียกสติกลับคืนมาได้! มันกระพือปีกของตนเตรียมจะพุ่งออกไป!
ฉู่หลิวเยว่หยุดมันด้วยการคว้าตัวมันเอาไว้ จากนั้นก็เพ่งพินิจมองอย่างละเอียดรอบหนึ่งด้วยรู้สึกว่าสัตว์อสูรที่พุ่งมาจากฝั่งตรงข้ามนั้นดูคุ้นตาอย่างยิ่ง
อืม…
นางเอนศีรษะไปมองถวนจื่อของตัวเองรอบหนึ่ง
รูปร่างเหมือนกัน เปลวเพลิงก็ชนิดเดียวกัน…
เหมือนว่าเจ้าตัวนี้ก็เป็นกษายะหางวายุเช่นเดียวกัน!
พรึ่บ!
สายตาของเจ้ากษายะหางวายุฝั่งตรงข้ามจ้องเขม็งมาทางถวนจื่อ เปลวเพลิงบนร่างของมันลุกโชนยิ่งกว่าเก่า!
ทันใดนั้น มันก็เร่งความเร็วของตัวเองในบัดดล ก่อนจะพุ่งเข้ามาหาถวนจื่อกันซึ่งหน้า!
…นี่เป็นการมุ่งเป้าโจมตีชัดๆ!
ฉู่หลิวเยว่พลันเข้าใจถึงอันใดบางอย่าง สีหน้าของนางจึงค่อนข้างเย็นเยียบ
ในแววตาของถวนจื่อเองก็ปรากฏจิตสังหารอันบ้าคลั่งลุกโหมขึ้นมาเช่นกัน!
ทว่าฉู่หลิวเยว่กลับปรามมันไว้ ในขณะเดียวกันก็ก้าวหลบไปทางด้านหลัง
ฉ่า!
มีลูกไฟลูกหนึ่งพุ่งทะยานมา! มันลอยเฉียดข้างหูของฉู่หลิวเยว่ไปอย่างหวุดหวิด!
มีปอยผมอันยุ่งเหยิงบางส่วนถูกเผา กลิ่นควันเจือจางลอยคลุ้งไปทั่ว ทำให้ในใจของฉู่หลิวเยว่เริ่มรู้สึกไม่สบอารมณ์ขึ้นมา
“ฉู่เยว่!”
“เจ้าไม่เป็นไรนะ!?”
พวกหลัวซือซือรีบส่งเสียงเอ่ยถาม
เมื่อครู่นี่น่ะอันตรายเกินไปแล้วจริงๆ!
หากว่าเอนไปมากกว่านี้อีกนิดแล้วละก็ เช่นนั้นคง…
“ข้าไม่เป็นไร”
น้ำเสียงของฉู่หลิวเยว่เฉยชานัก สายตาอันเย็นยะเยือกมองตรงไปยังด้านหน้า
ทางฝั่งตรงข้าม กษายะหางวายุตัวนั้นก็จดจ้องมาที่ถวนจื่อบนไหล่ของนางด้วยสายตายั่วยุ
เป็นกษายะหางวายุเหมือนกัน ตามหลักแล้ว ในเมื่อทั้งสองตัวนี้เป็นเผ่าพันธุ์เดียวกัน เช่นนั้นก็สมควรที่จะสนิทใจกัน
ทว่าในความเป็นจริงแล้ว เผ่าพันธุ์กษายะหางวายุมีนิสัยกระหายในความแข็งแกร่งโดยสัญชาตญาณ จะพูดว่าเป็นพวกกระหายสงครามก็ไม่เกินจริงเท่าไรนัก
ระหว่างพวกมันเอง ทุกครั้งที่ได้ประจันหน้ากันย่อมต้องหาผู้แพ้ผู้ชนะให้ได้อยู่ร่ำไป
ด้วยเหตุนั้น ที่กษายะหางวายุตัวนี้พุ่งลงมาในทันใด จุดมุ่งหมาย…ก็เพื่อวัดกับถวนจื่อว่าใครจะอยู่ใครจะไป!
นี่ถือเป็นกฎเหล็กในเผ่าพันธุ์ของพวกมัน เดิมทีแล้วคนรอบข้างเองก็ไม่มีสิทธิ์มีเสียงแย้งมากนัก
ทว่า…บุ่มบ่ามเข้ามาลอบโจมตีกันเช่นนี้ก็ไม่มีความหมายใดแล้ว
“ฮ่า! ข้าก็ว่าอยู่ว่าเจ้าตัวเล็กนี่มันเป็นอันใดของมัน ที่แท้ที่นี่ยังมีกษายะหางวายุอีกตัวอยู่นี่เอง!”
ฉู่หลิวเยว่หันไปมองตามต้นเสียง
เป็นเด็กหนุ่มที่มีรูปร่างสูงใหญ่ผู้หนึ่งที่กำลังยืนมองดูฉากนี้จากบนยอดเขา
ข้างกายของเขายังมีแม่นางเยาว์วัยที่มีร่างกายสะโอดสะองผู้หนึ่งยืนอยู่ด้วย รูปลักษณ์งามหยดย้อย เรือนผมสีแดงสดนั้นเด่นสะดุดตาอย่างมาก
ในตอนนั้นเอง นางก็มองมาทางฉู่หลิวเยว่ที่ยืนอยู่ข้างล่าง เช่นเดียวกับถวนจื่อบนบ่าของนาง
ดวงหน้าของนางที่เดิมทีปรากฏรอยยิ้มพลันเย็นยะเยือกขึ้นมาอยู่บ้าง นางเลิกคิ้วขึ้น
“ให้ตายสิ…ในสำนักนี่มีคนเก่งที่ปิดบังความสามารถของตัวเองไว้ด้วย อีกอย่าง คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าจะมาเจออสูรศักดิ์สิทธิ์เข้าโดยบังเอิญ น่าสนใจเสียจริง”
ไม่ว่าใครก็ล้วนฟังออกว่าคำพูดของนางแฝงไปด้วยความไม่สบอารมณ์
“อาถง ข้าว่าสีบนตัวกษายะหางวายุของเจ้านั่น เหมือนจะเข้มสดแล้วก็หมดจดกว่าของเจ้านะ!”
เด็กหนุ่มผู้นั้นเอ่ยแกมหัวเราะราวกับว่ากลัวใต้หล้าจะไม่โกลาหล
“นี่ถ้าหากสู้กันจริงจังแล้วล่ะก็ ข้าว่าเจ้าแพ้แน่!”
แม้นางผมแดงผู้นั้นขมวดคิ้ว กวาดตามองสำรวจฉู่หลิวเยว่รอบหนึ่ง
“ศิษย์ใหม่หรือนั่น?”
บุรุษอีกผู้หนึ่งที่อยู่ข้างกายของนางพลันเอ่ยขึ้น
“อือ นั่นไม่ใช่ศิษย์ที่ผู้อาวุโสวั่นเจิงเพิ่งรับเข้ามาวันนี้หรอกหรือ? เหมือนว่า…จะชื่อฉู่เยว่อันใดสักอย่าง?”
ฉู่หลิวเยว่เห็นอย่างชัดเจนว่าหลังจากที่ได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของแม่นางผมแดงก็ยิ่งย่ำแย่ยิ่งกว่าเก่า
“ที่แท้ก็เป็นศิษย์น้องเล็กที่เก่งกาจขนาดนี้นี่เอง! ทำให้ผู้อาวุโสวั่นเจิงมีจิตพิศวาสได้ ก็คงจะโดดเด่นในทุกด้านอย่างนั้นสินะ?”
เด็กหนุ่มที่เป็นผู้เริ่มบทสนทนาหัวเราะออกมาอย่างมีเจตนาร้าย
“อาถง ไม่ใช่ว่าตอนนั้นเจ้าอยากฝากตัวกับผู้อาวุโสวั่นเจิง แต่สุดท้ายก็ถูกคัดออกหรอกหรือ?”
แม่นางผมแดงผู้นั้นถลึงตาใส่เขารอบหนึ่ง จากนั้นก็หันกลับมามองทางฉู่หลิวเยว่ จากนั้นก็เอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงประหนึ่งออกคำสั่งก็มิปาน
“เจ้า…มานี่!”