ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1147 สู้มัน
ตอนที่ 1147 สู้มัน
ทุกคนที่ได้ยินประโยคนั้นต่างพากันตกตะลึงไปตามกัน
“เพิ่มเดิมพัน?”
หลิ่วอินถงกวาดสายตามองนางด้วยความสนเท่ห์รอบหนึ่ง
“เจ้าคิดจะเพิ่มเดิมพันเช่นไร?”
ฉู่หลิวเยว่ยกมือขึ้นมาชี้ไปทางตาน้ำพุ
“ถ้าหากว่าข้าชนะ นอกจากโลหิตสามหยดของอสูรศักดิ์สิทธิ์แล้ว ข้าขอสิทธิ์ในการปักหลักอยู่ใกล้ตาน้ำพุตรงนั้นได้เป็นเวลาหนึ่งเดือน ข้าเชื่อว่ามันคงไม่ได้เป็นเรื่องยากอันใดสำหรับศิษย์พี่หลิ่วกระมัง?”
จะอย่างใดหลิ่วอินถงก็คาดไม่ถึงว่าเงื่อนไขที่ฉู่หลิวเยว่ว่านั้นจะเป็นข้อนี้
นางย่นหัวคิ้ว หลังจากตอบรับเงื่อนไขข้อนี้ไป ในใจนางพลันบังเกิดความรู้สึกยุ่งยากขึ้นหลายส่วน
เพราะว่าสำหรับนางแล้ว มันค่อนข้างจะน่ารำคาญเลยทีเดียว
ต้องเข้าใจก่อนว่า ต่อให้อันดับจากงานประลองชิงอวิ๋นของนางอยู่ในระดับดี ทว่าคนที่อยู่ระดับเดียวกันนี้ก็มีอยู่ไม่น้อย
พวกนั้นเองก็ชอบมาเขาหมื่นเมรัยเป็นครั้งคราวเพื่อฉกฉวยเอาส่วนแบ่งของตัวเองไปเหมือนกัน
อย่างใดเสียตาน้ำพุก็ใหญ่โตถึงเพียงนั้น พื้นที่รอบข้างเองก็มีอยู่ไม่เท่าไร
เจ้าปักหลักอยู่ตรงจุดที่ดีที่สุดสักวันสองวันย่อมไม่มีปัญหา ผลัดให้ผู้อื่นทำคืนบ้างก็ใช้ได้แล้ว
ทว่าหากเจ้าอยากจะครองพื้นที่ตรงนั้นหนึ่งเดือนเต็ม นั่นก็ออกจะเกินไปมากทีเดียว
ต่อให้เป็นนาง ก็มิกล้ารับประกันได้ว่าตนเองจะสามารถทำเช่นนี้ได้ติดต่อกันหนึ่งเดือนเต็ม
ทว่ามาตอนนี้ ฉู่เยว่กลับคิดใช้เงื่อนไขข้อนี้เป็นเดิมพันอย่างนั้นหรือ!?
มุมปากของฉู่หลิวเยว่ยังคงประดับรอยยิ้มบางๆ ไว้อยู่หลายส่วน พลางมองไปที่นางโดยมิได้แสดงท่าทีหยิ่งผยองหรือรีบร้อน เพียงผ่อนคลายและสงบนิ่ง
ราวกับมิได้รู้สึกว่าเดิมพันที่ตนเสนอออกไปเมื่อสักครู่นั้น ทำผู้คนตกอกตกใจกันมากเพียงใด
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า! ศิษย์น้องฉู่เยว่ตรงไปตรงมาจริงๆ!”
กงเซิ่งที่ได้ยินเช่นนั้นกลับกระตือรือร้นอย่างยิ่ง พลางรีบเอ่ยเร่งเร้าให้หลิ่วอินถงตอบตกลงเสียที
“อาถง ศิษย์น้องเป็นฝ่ายเอ่ยปากขอก่อนเลยนา หรือว่าเจ้าไม่กล้าตอบตกลงหรือ?”
คำพูดเช่นนี้แทงใจดำหลิ่วอินถงอย่างจัง
นางถลึงตาใส่เขาไปครั้งหนึ่ง
“เจ้าน่ะสิไม่กล้า! คิดว่าข้าจะแพ้หรือไง!?”
ซึ่งก็ไม่มีผู้ใดคิดว่านางจะพ่ายแพ้หรอก
แม้ว่าผู้คนจะมองออกว่าสายเลือดของอสูรศักดิ์สิทธิ์ที่นางทำพันธะด้วยจะอ่อนด้อยกว่าอีกฝ่ายอยู่เล็กน้อย ทว่าอย่างใดเสียนางก็เป็นถึงผู้แข็งแกร่งจากงานประลองชิงอวิ๋น พลังรบของอสูรศักดิ์สิทธิ์ย่อมมิอาจดูแคลนได้โดยง่าย
อีกทั้งฝ่ายตรงข้ามก็เป็นแค่ศิษย์น้องที่เพิ่งเข้าสำนักมาใหม่ก็เท่านั้น
ยิ่งไปกว่านั้น ความถนัดหลักของเขาคือเคล็ดวิชาของเซียนหมอ ส่วนระดับการฝึกตนของปรมาจารย์เอง…น่าจะอยู่แค่ระดับเจ็ดขั้นต้น?
แบบนี้ยิ่งไม่ต้องกังวลอะไรให้มากความเลยด้วยซ้ำ
“ข้ารับเดิมพันที่เพิ่มมาของเจ้า!”
หลิ่วอินถงจับจ้องไปทางฉู่หลิวเยว่ด้วยสายตาของผู้ที่อยู่เหนือกว่า
“แต่ว่าถ้าเกิดเจ้าแพ้ คงต้องมีบทลงโทษอันใดสักหน่อยกระมัง?”
ฉู่หลิวเยว่ยักไหล่พลางหัวเราะแผ่วเบา
“ตามที่ศิษย์พี่หลิ่วเห็นสมควรขอรับ”
“เจ้าพูดแล้วนะ!”
สายตาของหลิ่วอินถงเบนไปทางกษายะหางวายุที่อยู่ข้างกาย
ฟึ่บ!
มันสยายปีกออกกว้าง เปลวเพลิงอันร้อนร
ะอุลุกโชนขึ้นอีกครา!
บรรยากาศโดยรอบประหนึ่งว่ากำลังถูกแผดเผาอยู่ก็มิปาน!
คนบางส่วนที่ยืนอยู่ใกล้พากันถอยหลังไปครึ่งก้าวโดยไม่รู้ตัว
มีใครไม่รู้บ้างว่า เจ้าตัวนี้นั้นมีพลังต่อสู้ที่น่าหวาดผวา อีกทั้งยังมีอารมณ์ร้อนที่รุนแรงเหมือนเจ้านายมันไม่มีผิดเพี้ยน หากประมาทแม้แต่นิดเดียวก็อาจถูกลากเข้าไปพัวพันด้วย!
บนยอดเขาที่มีฉู่หลิวเยว่และหลิ่วอินถงเป็นจุดศูนย์กลาง พลันปรากฏห้วงมิติขึ้นบนอากาศอย่างรวดเร็ว
คนที่อยู่ข้างล่างเองก็รีบพากันล้อมวงเข้ามา แม้ว่าจะไม่กล้าเข้าไปใกล้นัก แต่สายตากลับจดจ่อมองดูคนทั้งสองที่กำลังประจันหน้ากันอยู่
ฉู่หลิวเยว่เคาะลงบนศีรษะของถวนจื่อเบาๆ พลางเอ่ยเสียงต่ำว่า
“โอกาสลอยมาหาเจ้าถึงที่ จะคว้ามาได้หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับตัวเจ้าแล้ว”
ถวนจื่อผงกศีรษะเต็มกำลัง จากนั้นก็พุ่งทะยานออกไปอย่างว่องไว!
ฟ่าว!
เปลวเพลิงจากทั่วทั้งร่างของมันเริ่มลุกโชนขึ้นมาอย่างรุนแรงเช่นกัน!
สิ่งที่มันกับเจ้าตัวที่อยู่ฝั่งตรงข้ามมีไม่เหมือนกันก็คือ เปลวเพลิงบนร่างของมันเป็นสีชาดที่เข้มกว่ามากอย่างเห็นได้ชัด
อีกทั้งพลังกดดันอันมหาศาลที่มันกักเก็บไว้ก็แข็งแกร่งยิ่งกว่าอย่างเห็นได้ชัดเช่นกัน!
เมื่อมาเทียบกับฝ่ายตรงข้ามแล้วก็รู้ได้เพียงแค่มอง!
ในใจของหลิ่วอินถงยิ่งไม่สบอารมณ์ไปกันใหญ่ ทว่าเมื่อคิดถึงช่วงเวลาหลังจากการแข่งขันครั้งนี้จบลง นางก็จะได้พลังสายเลือดจากอสูรศักดิ์สิทธิ์ของฝั่งตรงข้ามมาครอบครอง สีหน้าของนางก็เปลี่ยนมาแจ่มใส
นางจ้องเขม็งฉู่หลิวเยว่ที่อยู่ไม่ไกลกันนัก เมื่อเห็นว่าสีหน้าของนางยังคงนิ่งสงบไร้แววตระหนกก็ขมวดคิ้ว ก่อนจะเบนสายตาทางอื่น
เจ้าเด็กที่เพิ่งเข้าสำนักนี่คงคิดว่าตัวเองเป็นอัจฉริยะที่เหนือกว่าใครในใต้หล้ากระมัง
หากไม่ได้รับการสั่งสอนเสียบ้าง ก็คงไม่รู้ว่าผืนฟ้าสูงเพียงไหน แผ่นดินลึกเท่าใด
…
“เหตุใดฉู่เยว่ถึงได้ไปรับคำท้าพนันเช่นนั้นเล่า?”
หลัวซือซืออดไม่ได้ที่จะพึมพำเสียงต่ำอย่างวิตก
“การแข่งครั้งนี้เขาไม่มีทางจะชนะได้เลยนะ!”
“ไม่รับคำท้าไปก็ไม่มีทางเลือกอื่น ดูจากเหตุการณ์เมื่อครู่แล้ว ไม่ว่าเขาจะพูดอย่างใดไปก็ไม่มีทางเลือกที่สองให้หรอก”
หลัวเยี่ยนหมิงลูบไหล่นางอย่างปลอบประโลม
“พวกเราจับตาดูไปก่อน ถ้าหากว่าเขาเกิดต้องการความช่วยเหลือขึ้นมาจริงๆ ก็ค่อยขอให้พี่สี่ช่วยออกหน้าแทน”
หลัวซือซือทำได้แค่ผงกศีรษะรับ
แม้ว่าพวกเขาจะมาถึงสำนักได้ไม่นานนัก ทว่าก็ได้รับรู้ถึงกฎบางข้อมาก่อนแล้ว
อย่างเช่นว่าการประลองเช่นนี้ คนนอกไม่สามารถยื่นมือเข้าไปแทรกแซงได้โดยง่าย
เมื่ออยู่ในสำนักแล้ว ผู้แข็งแกร่งจะได้รับการยกย่อง
หากว่าทำได้แค่รอพึ่งพาคนรอบข้าง ต้องให้ผู้อื่นมาช่วยเหลือซ้ำแล้วซ้ำเล่า เช่นนั้นก็จะยิ่งถูกผู้คนดูหมิ่นดูแคลนมากขึ้นเท่านั้น
ดังนั้นการแข่งครานี้ ฉู่เยว่จำต้องหาทางรับมือด้วยตัวเองเท่านั้นจึงจะรอด
“วางใจเถอะ พลังสายเลือดของอสูรศักดิ์สิทธิ์ตัวนั้นของเขาดูแข็งแกร่งไม่เบา ไม่แน่ว่าอาจพอมีหวังที่จะคว้าชัยมาได้อยู่!”
จัวเซิงเกาศีรษะแกรกๆ คิดไม่ถึงเสียด้วยซ้ำว่าเรื่องราวมันจะเลยเถิดมาถึงจุดนี้ได้
หลัวซือซือยิ้มอย่างขมขื่น
การที่เขาพูดเช่นนี้ออกมา สู้ไม่พูดเสียยังจะดีกว่า
ในเมื่อเป็นกษายะหางวายุเหมือนกัน ต่อให้พลังของสายเลือดไม่เหมือนกัน แล้วมันจะต่างกันสักกี่มากน้อย?
แต่ว่าแค่ระหว่างฉู่เยว่กับหลิ่วอินถงก็เหมือนมีช่องว่างที่ห่างกันประหนึ่งคูน้ำใหญ่จากฟ้าก็มิปานแล้ว!
ดูเหมือนว่าในการแข่งขันครานี้เขาจะพ่ายแพ้อย่างมิต้องสงสัย!
แล้วยังจะดื้อแพ่งไปเพิ่มของเดิมพันในวินาทีสุดท้ายแบบนั้นอีก!
ไม่เข้าใจเลยจริงๆ ว่าเขาคิดอันใดอยู่กันแน่…
“ไม่รู้จักเจียมตัวเอาเสียเลย ในเมื่อกล้าทำถึงขนาดนี้ ก็ต้องเตรียมตัวรับราคาที่ต้องจ่ายในตอนท้ายไว้ให้ดี”
อิ่นฝานแค่นหัวเราะ
“ในไม่ช้า เขาก็จะได้รู้ว่าสำนักหลิงเซียวแห่งนี้ ไม่ใช่ที่ที่ใครก็ได้จะมาทำตัวอวดดีไปทั่ว!”
…
ท่ามกลางค่ำคืนอันมืดมิด พร่างพราวด้วยแสงจันทร์สว่างสุกใส
ด้านบนยอดเขาขึ้นไป กษายะหางวายุสองตัวกำลังประจันหน้าเข้าหากันจากที่ไกลๆ!
ถวนจื่อจ้องไปยังร่างที่อยู่ตรงหน้ามันเขม็ง ก่อนจะหรี่ตาลงอย่างดุร้าย
เชื่อฟังเจ้านายตัวเองจนถึงขนาดพยายามจะมาท้าทายมัน…ช่างไม่ห่วงชีวิตตัวเองเลยเสียจริง!
ปีกของมันกระพือไหว ในชั่วพริบตา มันก็หายตัวไปจากพื้นดินเสียแล้ว!
เสียงร้องอย่างตื่นตกใจของบรรดาผู้คนดังแว่วเข้ามา
…เป็นอสูรศักดิ์สิทธิ์ของฉู่เยว่ที่เปิดฉากโจมตีก่อน!
อสูรศักดิ์สิทธิ์ตัวนี้ช่างเหมือนกับเจ้านายของมันไม่มีผิดเพี้ยน อาจหาญยิ่งนัก!
ปัง!
เสียงของการปะทะกันอย่างรุนแรงดังขึ้น!
ลูกไฟสองลูกพุ่งชนเข้าหากันอย่างไร้ปรานี!
ในชั่วพริบตานั้นสะเก็ดไฟก็กระจายออกไปทั่วทุกทิศ
ชั่วขณะนั้นเอง เงาร่างทั้งสองก็เข้าโรมรันพันตูกัน!
ด้วยเพราะเดิมทีแล้วพวกมันเป็นเผ่าพันธุ์เดียวกัน พวกมันจึงเกิดมามีลักษณะคล้ายคลึงกันอย่างมาก
ยิ่งไปกว่านั้น บนร่างของทั้งสองตัวต่างก็มีเปลวเพลิงที่กำลังลุกโหม ยามเข้าต่อสู้กันเลยกลายเป็นลูกไฟลูกใหญ่ไปโดยสิ้นเชิง ทุกคนจึงมองเห็นไม่ชัดยิ่งกว่าเก่า
ยามมองมาจากที่ไกลๆ ก็เห็นเพียงกลุ่มเปลวเพลิงที่ปะทุสะเก็ดออกมาอย่างต่อเนื่องเท่านั้น
มีบางคราที่บังเกิดคลื่นกระทบอันน่าหวาดผวา และร้อนระอุแผ่ขยายไปทั่วทุกสารทิศ!
ปัง!
เปรี๊ยะ!
ชึ่บ!
เสียงของการเข้าปะทะโจมตีทุกรูปแบบแว่วดังขึ้นมิหยุดหย่อน
ผ่านไปครู่ใหญ่ ทั้งสองตัวก็แยกออกจากกันในที่สุด!
ขนบนร่างของถวนจื่อร่วงหายไปหลายเส้น ดูไปแล้วทั่วทั้งร่างมีสภาพเละเทะอย่างมาก
ส่วนตัวที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งนั้นมีเลือดเปรอะอยู่บนกรงเล็บข้างหนึ่ง บนร่างเองก็เปรอะเปื้อนไปด้วยคราบเลือดหลายจุด สภาพของมันตอนนี้นั้นตกที่นั่งลำบากกว่ามาก
ตัวใดแข็งแกร่งหรืออ่อนแอ มองเพียงแวบเดียวก็รู้ได้แน่ชัดแล้ว!
หลิ่วอินถงที่เดิมทีมั่นใจว่าตนชนะแน่แล้วนั้น เมื่อเห็นภาพฉากนี้สีหน้าก็พลันเปลี่ยนไปอย่างคุมไม่อยู่
“เสี่ยวเฟิ่ง!”
นางตะโกนเสียงดังฟังชัด
“เอาชนะมันซะ!”
การแข่งครั้งนี้ นางต้องเป็นผู้ชนะ!
สิ้นเสียงพูด ทุกคนต่างก็เห็นว่าเปลวเพลิงบนร่างของกษายะหางวายุตัวนั้นพลันลุกโหมขึ้นมา!
ตูม!
เงาร่างอันใหญ่โตมหึมาปรากฏขึ้นกลางอากาศ เงามืดอันหนาหนักถูกฉายฉาบลงมา
ทั้งสว่างช่วงโชติ!
กอปรด้วยแรงกดดันมหาศาล!
กษายะหางวายุตัวนั้น…กลับคืนสู่ร่างที่แท้จริงแล้ว!
สายตาของมันปรายมองไปทางถวนจื่ออย่างเย็นเยียบ จากนั้นก็โน้มตัวพุ่งลงไปในบัดดล!
จะงอยปากอันคมกริบของมันดูราวกับพิษร้ายที่ทำให้กระอักเลือดทั้งหมดออกมาได้ในคราเดียว!