ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1149 รนหาที่ตาย
ตอนที่ 1149 รนหาที่ตาย
หลิ่วอินถงโมโหจนแทบบ้า
มาถึงตอนนี้แล้ว เขายังคิดถามคำถามเช่นนี้ออกมาได้อีกหรือ!?
“ข้าบอกให้เจ้าสั่งมันให้หยุดไงเล่า! เจ้าฟังไม่ได้ยินหรือไง!?”
หลิ่วอินถงยิ่งขึ้นเสียงสูงมากกว่าเดิม ฟังแล้วระคายหูนัก
ฉู่หลิวเยว่พลันเผยสีหน้าขอโทษขอโพยออกมา
“ศิษย์พี่หลิ่วขอรับ ว่ากันตามจริงแล้วนี่เป็นการแข่งขันระหว่างพวกมัน คนนอกห้ามสอดมือเข้าไปยุ่ง อีกอย่างแต่ไหนแต่ไรมาถวนจื่อก็มีนิสัยฉุนเฉียวง่าย บ่อยครั้งกระทั่งข้าเองยังกล่อมมันไม่อยู่ ถ้าหากการแข่งครานี้ยังไม่จบ ข้าคิดว่า…มันคงไม่ฟังคำเตือนหรอกขอรับ”
ท้ายที่สุดแล้ว กล่อมไม่อยู่หรือว่าไม่คิดกล่อม ทุกคนล้วนรู้แจ้งชัดในใจดี
นี่เป็นการบังคับกลายๆ ให้หลิ่วอินถงยอมแพ้เสียแต่เนิ่นๆ!
หลิ่วอินถงไฉนเลยจะมองไม่ออก?
เพราะแบบนั้นนางจึงโมโหเสียจนสั่นไปทั้งตัว ดวงตาทั้งสองข้างที่ประหนึ่งว่าลุกโชนไปด้วยเพลิงโทสะก็มิปานจับจ้องไปยังฉู่หลิวเยว่อย่างเอาเป็นเอาตาย
“ฉู่เยว่ เจ้าบังอาจนักนะ!”
ฉู่หลิวเยว่แสร้งทำว่าไม่ได้ยินคำขู่ที่แฝงอยู่ในคำพูดของนาง สีหน้าเรียบเฉยมิได้เอ่ยตอบโต้กลับไป
ส่วนถวนจื่อที่อยู่บนสนามก็กำลังเล่นสนุกอย่างสำราญเบิกบานใจ สายตามิได้ปรายมองมาทางนี้เลยแม้แต่น้อย
กรงเล็บของมันโบกตวัดอย่างบ้าคลั่ง ถอนเอาขนทั้งหมดบนร่างของกษายะหางวายุตัวนั้นออกมาจนเกลี้ยงไม่มีเหลือ
ถูกกระทำให้อับอายขายขี้หน้าเช่นนี้ เจ้ากษายะหางวายุตัวนั้นจะไปรับไหวได้อย่างใด?
อย่างใดเสีย สภาพของมันในตอนนี้ก็มีบาดแผลเต็มทั่วร่าง ดูอย่างใดก็ไม่ใช่คู่มือของถวนจื่อเลยสักนิด มันหายใจเฮือกสุดท้ายด้วยกำลังจะตาย กระทั่งแรงกายจะขัดขืนก็ไม่มีเหลือ ทำได้แค่นอนตะแคงศีรษะให้ถวนจื่อทรมานทารุณมันจนสมใจอยาก
ดูไปแล้ว ภาพฉากนี้ช่างวิปริตพิกลโดยแท้
หลิ่วอินถงหัวเราะเสียงเย็นเยียบออกมา ก่อนจะหมุนกายเดินไป
“ประเสริฐนัก! ในเมื่อเจ้าไม่ยอมบอกให้มันหยุด เช่นนั้น…ข้าจะไปพามันกลับมาเอง!”
“ทันทีที่ศิษย์พี่หลิ่วก้าวขึ้นลานประลอง ก็จะถือว่าท่านยอมแพ้โดยสมัครใจนะขอรับ”
ฉู่หลิวเยว่เอ่ยเตือนด้วยความหวังดี
ก้าวของหลิ่วอินถงหยุดชะงัก
ไอเย็นเยียบสายหนึ่งปรากฏขึ้น บรรยากาศทั้งมวลราวกับว่ากำลังจับตัวกันเป็นเยือกแข็งทีละน้อย!
เงียบกริบ
สายตาของทุกคนที่เหลือบมองไปยังฉู่หลิวเยว่นั้นราวกับกำลังมองดูคนบ้าอยู่ก็มิปาน
เจ้าเด็กนี่มันไปเอาความกล้ามาจากไหนถึงได้กล้าเอ่ยขัดหลิ่วอินถงเช่นนี้!?
“เฮอะ!”
หลิ่วอินถงแค่นหัวเราะเสียงเย็น เสียงที่เล็ดลอดออกมานั้นราวกับว่าลอดออกมาทางไรฟันก็มิปาน
“แข่งครานี้ถือว่าเจ้าชนะ! เพราะงั้นบอกให้เจ้าสัตว์ร้ายนั่นของเจ้าหยุดมือได้แล้ว!”
ฉู่หลิวเยว่เชิดหน้าขึ้นมาเล็กน้อย ดวงหน้าที่เดิมทีสุภาพและเป็นมิตรพลันฉาบไปด้วยความเย็นชาอันชวนให้รู้สึกเย็นวาบ
“ศิษย์พี่หลิ่วขอรับ ขอให้ท่านถอนคำพูดประโยคหลังด้วย มิเช่นนั้น ข้าเองก็ไม่กล้ารับประกันว่าวันนี้ ‘สัตว์ร้าย’ ตัวนั้นของท่านจะมีชีวิตรอดกลับไป”
นางเอื้อนเอ่ยอย่างเชื่องช้า ดังนั้นบรรดาผู้คนจึงล้วนได้ยินคำทุกคำชัดเจนเต็มสองหู
ดวงหน้าของเด็กหนุ่มยังคงมีเค้าลางของความอ่อนเยาว์ ทว่าทุกคำทุกประโยคที่พูดออกมากลับเด็ดขาดและหนักแน่นประหนึ่งแฝงไปด้วยพลังหลายพันจวิน!
หลิ่วอินถงเดิมคิดจะเอ่ยปากตอกกลับไป ทว่าเมื่อได้สบเข้ากับดวงตาสีดำสนิทดุจบ่อน้ำลึกไร้จุดสิ้นสุดที่แสนเย็นยะเยือกคู่นั้น นางกลับตัวสั่นเทาขึ้นมาโดยพลัน
ในใจของนางพลันบังเกิดความยุ่งเหยิงไร้ชื่อเรียก คำด่าทอหยามเหยียดมากมายในลำคอถูกกลืนกลับลงไป
หลังเงียบไปครู่หนึ่ง นางก็หันศีรษะกลับมาพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้าง
“ข้ายอมแพ้แล้ว!”
นี่เป็นการ ‘ยอมจำนน’ ขั้นสุดที่หลิ่วอินถงสามารถทำได้
แน่นอนว่าหากพูดตามหลักการแล้ว การ ‘อ่อนข้อ’ หรือการ ‘ก้มศีรษะ’ นั้นจะเหมาะสมยิ่งกว่า
สีหน้าของกงเซิ่งและคนอื่นต่างก็ยากจะอธิบายออกมาเป็นคำพูดสั้นๆ ได้
พวกเขาคุ้นเคยกับหลิ่วอินถงอย่างมาก ย่อมรู้ว่าการที่นางต้องมาพูดเช่นนี้กับศิษย์น้องที่เพิ่งเข้าสำนักมา สำหรับนางแล้วถือเป็นความอัปยศอย่างใหญ่หลวง!
ทว่า…ในสถานการณ์ตรงหน้าเช่นนี้จะยังเหลือหนทางอื่นใดให้อีกเล่า?
อสูรศักดิ์สิทธิ์ในครอบครองของตนกำลังจะถูกผู้อื่นฆ่าตายอยู่รอมร่อ!
ยังต้องสนใจอันใดอย่างอื่นอีกหรือ?
“ถวนจื่อ”
ฉู่หลิวเยว่พลันเอ่ยปาก
“กลับมาได้แล้ว”
ถวนจื่อถึงได้ซัดร่างใกล้ตายของกษายะหางวายุตัวนั้นออกไป ก่อนจะบินตามไปใช้กรงเล็บกระทืบลงบนหน้าของมันครั้งหนึ่งอย่างโหดเหี้ยม!
เหอะ!
คิดจะเอาพลังสายเลือดของข้าไปอย่างนั้นหรือ ฝันไปเถอะ!
เจ้ากษายะหางวายุตัวนั้นนอนแหงนศีรษะ ก่อนจะสลบเหมือดไปในท้ายที่สุด
สีหน้าของหลิ่วอินถงซีดเผือด สายตาที่นางตวัดมองถวนจื่อประหนึ่งดาบเหล็กคมกริบ!
ถวนจื่อกลับมิรู้สึกถึงสายตาคู่นั้นเลยแม้แต่น้อย มันบินไปยังข้างตาน้ำพุแล้วก้มลงดื่มน้ำลงไปอึกใหญ่
ขุมพลังอันอ่อนโยนสายหนึ่งพลันเข้าปกคลุมทั่วทั้งร่างของมันในชั่วพริบตา!
ดวงตาของถวนจื่อเป็นประกาย เดิมมันคิดจะดื่มต่อ ทว่าฉู่หลิวเยว่ยังคงรอมันอยู่ฟากโน้น มันจึงต้องจำใจบินกลับไปอย่างเสียมิได้
เมื่อกลับมาอยู่ในร่างขนาดเท่าฝ่ามือ ถวนจื่อก็พาดตัวลงมาซบบนไหล่ของฉู่หลิวเยว่อย่างสงบ
แม้ว่าทั่วทั้งร่างของมันจะเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบเลือดและทิ้งรอบแผลเอาไว้ ทว่าโดยรวมแล้วก็ไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัสมากนัก
หลังจากฉู่หลิวเยว่ตรวจดูเรียบร้อยแล้วก็วางใจได้ในที่สุด
เมื่อหลิ่วอินถงสาวเท้าเดินไปด้วยใบหน้าซีดเผือด ก็ได้เห็นอสูรศักดิ์สิทธิ์ของตนบาดเจ็บสาหัสจนหมดสติไปแล้ว
บนร่างของมันมีบาดแผลเหวอะหวะมากมายนับไม่ถ้วน ดูออกเลยว่าในการต่อสู้เมื่อครู่ อีกฝ่ายลงมือได้อำมหิตอย่างเห็นได้ชัด!
น่ารังเกียจนัก!
เจ้าตัวบัดซบไร้ประโยชน์เอ๊ย!
หลิ่วอินถงสบถด่าอยู่ในใจ สีหน้าของนางบิดเบี้ยวแทบดูไม่ได้
เจ็บหนักครานี้ เกรงว่าภายในสิบวันหรือครึ่งเดือนก็ยังคงรักษาให้หายขาดไม่ได้
แล้วยังไม่รู้อีกว่ามันจะส่งผลต่ออันดับของนางในงานประลองชิงอวิ๋นที่จัดขึ้นเดือนหน้าหรือไม่
ต้องเข้าใจก่อนว่า ที่นางสามารถไต่ไปถึงห้าสิบอันดับแรกของจอมยุทธ์ได้ สาเหตุใหญ่ก็เพราะนางมีอสูรศักดิ์สิทธิ์ที่มากความสามารถเช่นนี้!
ทว่าตอนนี้…
ในตอนที่หลิ่วอินถงกำลังจะเรียกให้มันกลับไปด้วยกันนั้นเอง ด้านหลังของนางพลันแว่วเสียงกังวานใสเสียงหนึ่งขึ้นมา
“เหมือนว่าศิษย์พี่หลิ่วจะลืมเรื่องหนึ่งไปนะขอรับ”
หลิ่วอินถงหันศีรษะกลับมา
ฉู่หลิวเยว่ส่งยิ้มอย่างไร้พิษภัยไปให้ ทว่าคำพูดที่เอ่ยออกมากลับทำให้คนโมโหแทบตาย
“ท่านยังไม่ได้จ่ายเดิมพันชิ้นนั้นเลยขอรับ”
เฮือก…
บรรดาผู้คนต่างก็สูดลมหายใจหนาวเหน็บเข้าไป
ฉู่เยว่ผู้นี้จะกล้าดีเกินไปแล้ว!
หรือว่าเขาดูไม่ออกอย่างนั้นหรือว่าสีหน้าของหลิ่วอินถงบัดนี้ดูย่ำแย่มากขนาดไหน!?
นี่มันเป็นช่วงจังหวะที่ทำคนโกรธแค้นจนตายได้เลยนา!
ฉู่หลิวเยว่ย่อมรู้ดีว่าทำเช่นนี้จะรังแต่ทำให้หลิ่วอินถงโกรธแค้นนางมากขึ้นไปอีก
แต่ว่าฝ่ายตรงข้ามได้ให้โอกาสนางสักครั้งบ้างหรือไม่?
เรื่องประลองก็เป็นพวกเขาเสนอ เดิมพันเองก็เป็นพวกเขาวางแผนเอาไว้
หากมิใช่เพราะถวนจื่อใจสู้ อีกทั้งตัวนางเองก็ยังพอมีไพ่ตายอยู่บ้าง ตัวที่นอนแผ่อยู่ตรงนั้นก็คงเป็น
ถวนจื่อไปแล้ว!
นับตั้งแต่ที่นางเองก็ครอบครองกษายะหางวายุไว้เหมือนกัน อีกทั้งสายเลือดยังเป็นสายเลือดดั้งเดิมที่บริสุทธิ์กว่าอีกฝ่าย นางก็ไปขัดหูขัดตาพวกเขาแล้ว!
ในเมื่อทำอย่างใดก็ไม่ถูกใจ เช่นนั้นเหตุใดนางถึงต้องก้มหัวยอมเป็นลูกไล่ผู้อื่นด้วย!
หลิ่วอินถงกำหมัดแน่นพลางกัดฟันกรอด
หากมิใช่เพราะว่าบนเขาวั่นจิ่วห้ามมิให้ศิษย์ลงไม้ลงมือต่อสู้กัน ตอนนี้นางก็คงหันกลับไปฉีกกระชากใบหน้าอันน่ารังเกียจนั่นแล้ว!
นางหมุนกายเดินตึกๆ ไปยังตรงหน้าร่างของกษายะหางวายุแล้วตวัดข้อมือขึ้น พลังปราณดั้งเดิมสีแดงสายหนึ่งพลันเข้าปกคลุมไปทั่ว
ทันใดนั้น ไข่มุกโลหิตสีชาดเม็ดหนึ่งก็ควบตัวแน่นเหนือศีรษะของกษายะหางวายุ!
ไม่นานหลังจากนั้นก็ตามมาด้วยเม็ดที่สอง เม็ดที่สาม!
หลิ่วอินถงสะบัดชายเสื้อคลุมคราหนึ่ง
“เอาไป!”
ไข่มุกโลหิตสามเม็ดนั้นเหวี่ยงส่งมาตามแรงอย่างหยาบคาย!
ฉู่หลิวเยว่เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย นางถ่ายเทพลังปราณดั้งเดิมออกมาไว้กลางฝ่ามือ ก่อนจะเอื้อมรับไข่มุกโลหิตสามเม็ดนั้นไว้อย่างง่ายดาย
บางคนที่ตาไวเมื่อได้มองเห็นฉากนี้ล้วนแล้วแต่เปลี่ยนสีหน้าเล็กน้อย สายตาที่จับจ้องไปยังฉู่หลิวเยว่ก็ซับซ้อนและลึกล้ำกว่าก่อนหน้านี้อยู่อักโข
หลิ่วอินถงเป็นถึงผู้แข็งแกร่งระดับครึ่งเทพ การเคลื่อนไหวนี้แม้ไม่ได้ใช้พลังเต็มที่ แต่กำลังที่กักเก็บไว้เองก็มีไม่น้อย
ทว่าฉู่เยว่ที่เป็นจอมยุทธ์ระดับเจ็ดกลับรับมันไว้ได้สบายๆ…
มุมปากของฉู่หลิวเยว่หยักยกขึ้นเล็กน้อย
“ศิษย์พี่หลิ่วรักษาคำพูดจริงๆ ช่างใจกว้างโดยแท้นักขอรับ”
บรรดาผู้ชม “…”
พอเถอะ!
ขอเจ้าอย่าได้รนหาที่ตายเพิ่มเลยนะ!
ฉู่หลิวเยว่ไม่ได้ยินเสียงกรีดร้องในใจของพวกเขาแม้แต่น้อย นางป้อนไข่มุกโลหิตทั้งสามเม็ดนั้นให้
ถวนจื่อ ก่อนจะคลี่ยิ้มพลางเอ่ยถาม
“แล้ว…เรื่องของตาน้ำพุบนเขาวั่นจิ่วนี่…”