ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1162 รนหาที่ตายถึงหน้าประตู
ตอนที่ 1162 รนหาที่ตายถึงหน้าประตู
ฉู่หลิวเยว่ลืมตาขึ้นทันที!
พร้อมกับแสงประหลาดวาบผ่านนัยน์ตาของนาง!
แววตาอันคมกริบและเฉียบขาดนั่น ทำให้คนมองไม่กล้าสบตาโดยตรง!
แต่แสงนั้นพลันหายไปอย่างรวดเร็ว ก่อนที่นางจะกลับมาทำท่าทางเกียจคร้านแลไม่แยแสเหมือนเดิม
ร่างเพรียวบางยืดเอวขึ้น พลางขยับกล้ามเนื้อและกระดูก ร่างกายที่นั่งอยู่ในอิริยาบถเดิมเป็นเวลานาน ส่งเสียงกรอบแกรบออกมาชัดเจน
ถึงเวลาแล้วสินะ…
ฉู่หลิวเยว่คิดในใจ
นี่ผ่านไปสิบวันแล้วหรือ?
แต่เหตุใดนางถึงไม่รู้สึกอันใดเลย?
ตลอดเวลาที่ผ่านมา นางทำเพียงฝึกลมปราณเท่านั้น
แต่เหมือนว่าเพียงพริบตา ก็ถึงเวลาที่นางต้องออกไปแล้ว
ฉู่หลิวเยว่ยืนขึ้นแล้วมองไปรอบๆ
ทุกอย่างในห้องนี้ยังเหมือนเดิมกับตอนที่นางเข้ามาที่นี่ครั้งแรก ไร้ซึ่งการเปลี่ยนแปลงใดๆ
ทว่าสิ่งที่นางไม่รู้ก็คือ ก่อนที่นางจะลืมตาขึ้น ลวดลายบนผนังเหล่านั้นก็ได้คลายตัว และกลับคืนสู่สภาพเดิมแล้ว
แต่แน่นอนว่านางมองไม่เห็น
นางหยิบถวนจื่อที่ฟุบอยู่ข้างๆ ขึ้นมา
อาจเป็นเพราะพลังปราณเหล่านั้นถูกดูดซึมจนหมดแล้ว บนตัวของถวนจื่อในตอนนี้จึงไม่มีร่องรอยของทัณฑ์สวรรค์สีเงินอีก
ยิ่งไปกว่านั้น ดูเหมือนว่าสีของขนปีกจะเข้มขึ้นกว่าเดิมด้วย
บางที นี่อาจเป็นสัญญาณของพลังแห่งสายเลือดที่ถูกปลุกขึ้นมาก็ได้?
ฉู่หลิวเยว่ครุ่นคิดพลางเดินไปเปิดประตู
อย่างใดก็ตาม ในขณะที่นางกำลังจะเอื้อมมือจับประตู ก็จำต้องหยุดชะงักแล้วหันกลับไปมองด้านหลัง พลันหรี่ตาลงทันควัน
อืม…ถ้านางอยากอยู่ที่นี่ต่ออีกสักพัก จะเป็นอันใดหรือเปล่านะ?
ไม่รู้เพราะอันใด แต่นางรู้สึกสบายใจยามได้ฝึกฝนอยู่ที่นี่
พลังปราณรอบข้างหลั่งไหลเข้าสู่ร่างกายของนางโดยธรรมชาติ หล่อเลี้ยงกล้ามเนื้อและกระดูกทั่วร่าง และเพิ่มลมปราณให้นาง…
ท่ามกลางขั้นตอนเหล่านี้ นางไม่รู้สึกอึดอัดเลยสักนิด
ทุกอย่างลื่นไหลคล่องตัวราวกับธารน้ำขนาดใหญ่
เสมือนว่า…พลังปราณเหล่านี้ ถูกลิขิตให้เป็นของนางตั้งแต่ต้น
ความรู้สึกนี้ช่างละเอียดอ่อนนัก และเป็นสิ่งที่นางไม่เคยสัมผัสมาก่อน
“ท่านผู้อาวุโส…”
นางเอ่ยปากในทันใด พลันหยุดกลางคัน
เสียงหนึ่งดังขึ้นจากนอกประตู
“กระไรหรือ?”
ฉู่หลิวเยว่คิดแล้วคิดอีก ก่อนจะยิ้มบาง แล้วเปลี่ยนประโยคครึ่งหลังที่เหลือเสีย
“สำหรับการดูแลศิษย์ในช่วงที่ผ่านมา ศิษย์ต้องขอขอบพระคุณท่านมากขอรับ”
คนผู้นั้นพึมพำเบาๆ
หลังจากเข้าไปในประตูบานนี้แล้ว ก็ยากที่เขาจะเข้าไปแทรกแซงกระบวนการเหล่านั้นได้ โดยเฉพาะบานที่เด็กคนนี้เลือกเขายิ่งทำอันใดไม่ได้ แม้แต่จะยกปลายนิ้วขึ้นยังทำไม่ได้เลย
แล้วขอบคุณเขาที่ดูแลหรือ?
“รีบออกมาได้แล้ว!”
ฉู่หลิวเยว่สูดหายใจเข้าลึกๆ และปรายตามองห้องนั้นครั้งสุดท้าย แล้วหันหลังจากไป
แสงสีขาวสว่างวาบปรากฏตรงหน้า ฉู่หลิวเยว่หรี่ตาลงตามสัญชาตญาณ
หลังจากที่ดวงตาชินกับแสงจ้า นางถึงมองเห็นภาพสิ่งต่างๆ ที่อยู่รอบๆ ได้ชัดขึ้น
ห้องโถงใหญ่ที่ดึงดูดสายตานั้นว่างเปล่าไร้ผู้คน และเหมือนกับตอนที่นางเข้ามาไม่เปลี่ยน
นางหันกลับไปมองอีกทาง
ประตูทั้งเจ็ดบานยังลอยตัวอยู่ที่เดิม
ราวกับว่า…การฝึกจิตในห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆ นั่นเป็นเพียงแค่ความฝัน
“ไปเถอะ”
หลังจากออกมาจากประตูแล้ว ฉู่หลิวเยว่ก็ยังไม่สามารถหาต้นตอของเสียงลึกลับนี่ได้
เสียงนั้นดังก้องเหมือนว่ามันแพร่กระจายไปทั่วทั้งห้องโถง แต่ความจริงแล้วมันดังอยู่ในหูของนางเท่านั้น
ฉู่หลิวเยว่นิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง และหันไปทางประตูทั้งเจ็ดบานแล้วโค้งคำนับ
“ศิษย์ขอลาขอรับ”
หลังจากพูดจบ นางก็หันหลังกลับและเดินออกไป
ทว่าขณะก้าวเท้าออกไปได้แค่หนึ่งก้าว…
“หือ?”
เสียงนั้นก็ดังขึ้นอีกครั้ง ราวงุนงงระคนสงสัย
ฉู่หลิวเยว่หยุดเดินทันที ร่างเพรียวยืนตัวตรงอยู่ที่เดิม พลางหันศีรษะกลับมาทางเดิมอย่างแน่วแน่ และปล่อยให้สายตาคมกริบเสมือนใบมีดของคนผู้นั้น กวาดสายตามองนางตั้งแต่หัวจรดเท้า
“ท่านผู้อาวุโส ยังมีเรื่องใดข้องใจหรือขอรับ?”
แต่น้ำเสียงของเขากลับแฝงไปด้วยความฉงนใจ
“…ลมปราณบนตัวเจ้าแข็งแกร่งขึ้นหรือ?”
ฉู่หลิวเยว่ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง
ยังต้องถามอีกหรือ?
นางฝึกจิตอยู่ข้างในนั้นตั้งสิบวัน การที่ลมปราณของนางแข็งแกร่งขึ้น ย่อมมิใช่เรื่องแปลกมิใช่หรือ?
แต่ในเมื่อเขาถามเช่นนี้ แสดงว่าต้องมีบางอย่างผิดปกติ
นางวิเคราะห์อยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า
“หลายวันที่ผ่านมา ศิษย์ตั้งใจและจดจ่ออยู่กับฝึกฝนอย่างเดียวขอรับ”
อีกฝ่ายเงียบไปพักใหญ่
ฉู่หลิวเยว่เต้นรัวไม่เป็นจังหวะ
เหมือนว่าตอบแบบนี้จะไม่ถูกนะ…
“ช่างมัน เจ้าไปเสีย!”
ผ่านไปสักพัก เสียงนั่นก็ตะโกนกลับมา
แต่ฉู่หลิวเยว่สัมผัสได้ว่า เหมือนทัศนคติของเขาที่มีต่อนางจะเปลี่ยนไปเล็กน้อย
นางบอกไม่ได้ว่าเปลี่ยนไปเช่นไร แต่ลึกๆ ในใจนางรู้สึกได้
นางเม้มปาก พลางทำความเคารพและกล่าวคำอำลา
ประตูบานใหญ่เปิดออกทันควัน
และพอคล้อยหลังของนาง ประตูบานนั้นก็ปิดลงทันที
ปัง!
ภายในหอ เหลือเพียงความเงียบงันที่ปกคลุมไปทั่วห้องโถงใหญ่
เสียงทุ้มต่ำพึมพำเบาๆ ด้วยความงงงวย
“เด็กคนนี้…หรือว่าจะเป็นที่ชื่นชอบของนาง…”
ที่ด้านนอกประตู ฉู่หลิวเยว่มองย้อนกลับไปและถอนหายใจเบาๆ
ถึงผู้อาวุโสที่คอยดูแลสถานที่แห่งนี้จะดูแปลกๆ แต่…
ถ้านางได้มาเยือนที่นี่อีกสองสามครั้ง คงจะดีไม่น้อย…
หากยามนี้ผู้อาวุโสเหวินซีและคนอื่นๆ รู้ว่านางมาที่นี่ และนอกจากจะไม่ได้บทเรียนกลับไปแล้ว แต่ยังได้ลิ้มรสลมปราณอันแสนหอมหวาน แถมยังอยากกลับมาที่นี่อีก ไม่รู้เลยว่าพวกเขาทำหน้าตาเช่นไร
จากนั้นก็มีสัมผัสยุบยิบเกิดขึ้นบริเวณลำคอของนาง
ฉู่หลิวเยว่ลูบหัวถวนจื่อเบาๆ
“พอแล้ว ข้ารู้ว่าเจ้าอยากไป แต่เจ้าต้องขอข้าคิดแผนการเสียก่อน ถ้าเจ้าดื้อเหมือนครั้งก่อนอีกล่ะก็…”
นางชำเลืองมองถวนจื่อด้วยสายตาข่มขู่
ถวนจื่อผงกหัวพัลวัน
ข้าจะไม่ดื้อ!
ข้าจะเชื่อฟังเจ้านายทุกคำ!
พอเป็นเช่นนั้น ฉู่หลิวเยว่ถึงพยักหน้าด้วยความพอใจ แล้วพุ่งตัวทะยานออกไปบนอากาศ!
…
“อย่างที่ข้าบอกไป ข้าเองไม่รู้ว่าฉู่เยว่จะกลับมาเมื่อไร”
จงซวิ๋นระงับความโกรธในใจเอาไว้ และเอ่ยย้ำละคำ
“นี่คือที่พักของพวกเรา พวกเจ้ากลับไปก่อนเถอะ ไว้รอเขากลับมาแล้ว ข้าจะบอกเขาให้ว่าพวกเจ้ามาหา”
“ไม่ต้องลำบากขนาดนั้นก็ได้ แค่ให้พวกข้ารอเขาอยู่ที่นี่ก็พอ”
กลุ่มคนหนุ่มสาวที่อยู่ตรงข้ามเขายิ้มบาง
“ศิษย์พี่จงซวิ๋น ท่านจักวิตกกังวลไปไย พวกข้าแค่มาที่นี่เพื่อต้องการคำปรึกษาจากฉู่เยว่ ข้าได้ยินว่าเขาเป็นเซียนหมอที่มีพรสวรรค์ยิ่งนัก พวกข้าเลยอยากมาดูให้เห็นกับตา หรือว่าท่านคิดจะขัดขวางข้า?”
ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างหน้ากล่าวอย่างเกียจคร้าน
จงซวิ๋นขมวดคิ้ว
ไม่กี่วันที่ผ่านมา คนเหล่านี้ได้บุกเข้ามาอย่างฉุกละหุก โดยกล่าวว่าพวกเขาต้องการหารือกับฉู่เยว่
ถึงไม่มีใครอยู่ พวกเขาก็มาทุกวันตั้งแต่เช้าจรดเย็น ไม่ยอมเลิกตอแยง่ายๆ
และทำให้บริเวณที่พักของฉู่เยว่ยุ่งเหยิงไปหมด
คนเหล่านี้ล้วนอายุน้อย หากยึดตามตามความอาวุโสแล้ว จงซวิ๋นถือเป็นศิษย์พี่ของพวกเขา
แต่พวกเขากลับไม่ให้เกียรติจงซวิ๋นเลย
แต่เพราะภูมิหลังของคนเหล่านี้ ทำให้เขาไม่อยากจะมีปัญหาด้วย!
…คนเหล่านี้ล้วนเป็นญาติของหลิวอินถง!
รู้เลยว่าการที่พวกเขารุดหน้ามาที่นี่นั้น เป็นเพราะการชักจูงของใคร!
คืนนั้นจงซวิ๋นไม่ได้ไปที่ภูเขาหมื่นเมรัย เขาจึงไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้นในเวลานั้น
แต่จากคำกล่าวของคนที่อยู่ในเหตุการณ์ เขาก็รู้ว่าหลิ่วอินถงดื้อดึงอยากประลองกับฉู่เยว่โดยใช้อสูรศักดิ์สิทธิ์ในพันธสัญญา แต่สุดท้ายเจ้าตัวก็พ่ายแพ้
ด้วยเหตุนี้จึงกลายเป็นว่า ฉู่เยว่ได้ทำให้หลิ่วอินถงไม่พอใจอย่างหนัก รวมทั้งกลุ่มสาวกเล็กๆ ของอีกฝ่ายด้วย
นั่นเป็นเหตุผลพวกเขามาหาเรื่องกันถึงหน้าประตูเช่นนี้
“ศิษย์พี่จงซวิ๋น เรื่องนี้ไม่เกี่ยวอันใดกับท่าน ท่านจะแส่หาเรื่องใส่ตัวไปไย?”
ชายหนุ่มตรงหน้าเหยียดยิ้ม
“ในเมื่อเขาทำให้ผู้อาวุโสวั่นเจิงรับเป็นศิษย์ได้ ก็ย่อมมีทักษะอยู่บ้าง ท่านว่าหรือไม่? ถ้าแค่คำท้าของเรายังไม่กล้ารับ เช่นนั้นก็ดูปอดแหกเกินไปหน่อยกระมัง?”
แต่ในขณะที่จงซวิ๋นกำลังจะโต้เถียง จู่ๆ ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น พร้อมเสียงหัวเราะคิกคัก
“ตกลง ข้ารับคำท้า!”