ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1191 ศิษย์พี่หรงซิว
ตอนที่ 1191 ศิษย์พี่หรงซิว
ภายในสำนักหลิงเซียว เหล่าผู้อาวุโสจำนวนมากต่างทยอยมารวมตัว แล้วรีบรุดออกไปยังเมืองฝางโจวพร้อมกัน
บรรยากาศภายในทั่วทั้งสำนักพลันตึงเครียดขึ้นมาอย่างเงียบๆ
ในตอนที่ฉู่หลิวเยว่รีบร้อนไปยังประตูทางออกของสำนักเอง ก็เห็นศิษย์จำนวนมากมาถึงบริเวณโดยรอบของจัตุรัสชิงหมิงกันแล้ว
เห็นได้ชัดเลยว่า พวกเขาเองก็พอจะรู้สถานการณ์ด้านนอกโดยคร่าวเรียบร้อยแล้วเช่นกัน
ฉู่หลิวเยว่ชะลอฝีเท้าของตน ก่อนจะแฝงตัวกลืนเข้าไปกับฝูงชนโดยไม่ให้เป็นที่สังเกตเลยแม้แต่น้อย
ศิษย์จำนวนมากต่างพากันกระซิบกระซาบพูดคุยกัน
“พวกเจ้าได้ข่าวกันแล้วหรือยัง? เหมือนว่าด้านนอกจะเกิดเรื่องขึ้นละ!”
“เหมือนจะมีคนมาก่อปัญหาสร้างเรื่องที่ฝางโจวนะ? ได้ยินมาว่าตอนนี้พวกผู้อาวุโสซูเฟิงกำลังจัดการกับพวกมันอยู่ด้านนอก ผู้อาวุโสอีกหลายท่านในสำนักเองก็รีบร้อนมุ่งหน้าออกไปแล้วเหมือนกัน…”
“สรุปแล้วเป็นใครกันแน่ ที่ใจกล้าบ้าบิ่นถึงเพียงนี้ นึกไม่ถึงเลยว่าจะพุ่งมาหาเรื่องกันถึงหน้าประตูสำนักของพวกเรา?”
“ดูเหมือนจะมีคนของสำนักปีกสุวรรณรวมอยู่ด้วย แต่ไหนแต่ไรมาพวกเขาก็ไม่เคยคิดผูกสัมพันธ์อันใดกับสำนักของเรา ด้วยถือว่าตนมีอำนาจยิ่งใหญ่ไพศาลจึงถือตัวหยิ่งยโสนัก อีกทั้งครานี้เหมือนว่าจะมาเพื่อฉกฉวยเอาสิ่งของบางอย่างไป…นอกจากนี้แล้ว ยังมีอีกหลายตระกูลที่คอยหนุนหลังอยู่อีกด้วย”
“คิดจะขโมยของ ก็ไม่เห็นจำเป็นต้องถ่อมาถึงนี่หรอกกระมัง? ทำแบบนี้ไม่ใช่ว่ากำลังหาเหาใส่หัวตัวเองอยู่หรอกหรือ? คงมองว่าสำนักของเรากระจอกงอกง่อยจริงๆ สินะ!”
“เหมือนว่าจะทำเพื่อสมบัติที่เลอค่ามหาศาลชิ้นหนึ่ง ก่อนหน้านี้ที่พวกศิษย์พี่หรงซิวกลับมา ก็เพื่อช่วยให้สำนักเอาของสิ่งนี้กลับคืนมาได้…เมื่อครู่ข้าบังเอิญได้ยินผู้อาวุโสท่านหนึ่งพูดว่า ก็เป็นเพราะของสิ่งนั้นนั่นแหละ ศิษย์พี่หรงซิวถึงได้ถูกพวกมันล้อมเอาไว้มาได้สักพักแล้ว…ไม่รู้ด้วยว่าตอนนี้สถานการณ์เป็นอย่างใดบ้าง…”
“…นี่…อย่างใดก็ตามแถวนี้เป็นบริเวณรอบนอกของสำนักเรา พวกมันไม่มีทางทำสำเร็จได้จริงๆ หรอกกระมัง?”
…
เสียงวิจารณ์ออกความเห็นทุกรูปแบบลอยผ่านเข้ามาในหู ยิ่งตีรวนก่อกวนอยู่ในใจของฉู่หลิวเยว่จนนางรู้สึกกระสับกระส่ายยิ่งกว่าเก่า หัวคิ้วขมวดปมเข้าหากันแน่น
แท้จริงแล้วก่อนนี้ที่สำนักหลิงเซียวได้ส่งจดหมายหาหรงซิว เนื้อหาภายในจดหมายนั้นหมายถึงเรื่องนี้นั่นเอง
แต่ไหนแต่ไรหรงซิวไม่เคยคิดจะเล่า นางเองก็ไม่เคยซักไซ้ถามไถ่ให้มากความ
ว่ากันตามตรง คนมากมายถึงเพียงนั้นร่วมมือกัน แล้วยังมีผู้อาวุโสในสำนักอีกจำนวนไม่น้อย ให้พูดตามหลักแล้วก็คงไม่มีเรื่องอันตรายใดเกิดขึ้น
แต่ว่าตอนนี้…หรงซิวกำลังตกอยู่ในอันตรายอย่างเห็นได้ชัด
ในใจของนางเป็นกังวลนัก ทว่าทำได้เพียงปลอบใจตัวเอง ในเมื่อพวกเขาไปถึงเมืองฝางโจวที่อยู่ข้างสำนักกันแล้ว ก็เรียกได้ว่าพบเจออันตรายเข้าแล้วจริงๆ ไหนจะมีผู้อาวุโสหลายท่านในสำนักที่คอยให้การช่วยเหลืออีก
พวกผู้อาวุโสฮวาเฟิงรีบรุดไปกันแล้ว พอมาคิดดูก็คงไปถึงทัน
ศิษย์ที่มารวมตัวกันในบริเวณนี้ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
จัตุรัสชิงหมิงที่เดิมทีเงียบสงบนักก็แปรเปลี่ยนเป็นคึกคักขึ้นมาโดยพลัน
ฉู่หลิวเยว่มุ่งหน้าเดินไปยังทิศทางนั้นด้วยสีหน้าเรียบเฉยไปพลาง ครุ่นคิดไปพลางว่าจะถอยหลบฉากออกไปดูเหตุการณ์เงียบๆ อย่างใดดี
แม้ว่าค่ายกลของสำนักจะมีการเฝ้าระวังที่เข้มงวดอย่างมาก ทว่าเมื่อรู้ว่าหรงซิวกำลังอยู่ในอันตราย นางก็ทำใจให้สงบลงไม่ได้จริงๆ
“ฉู่เยว่!”
สุ้มเสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นมาจากทางด้านข้าง
ฉู่หลิวเยว่ขมวดคิ้วก่อนจะหยุดยืนอยู่กับที่ ตอนที่เงยหน้าขึ้นมา สีหน้าก็กลับมาเป็นปกติเรียบร้อยแล้ว
“จัวเซิง ซือซือ เหตุใดพวกเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่กันได้ละ?”
นอกจากสองคนนี้แล้ว ข้างกันนั้นก็มีหลัวเยี่ยนหมิงตามมาด้วยอีกคนหนึ่ง
แนวทางเคล็ดฝึกตนของสามคนนี้ต่างกันโดยสิ้นเชิง ดังนั้นโดยปกติแล้วจึงเป็นการยากนักที่จะมาเจอกันได้แบบพร้อมหน้าพร้อมตา
จั๋วเซิงขยิบตา
“แล้วเจ้าว่าพวกข้ามาที่นี่กันเหตุใดเล่า? ก็เหตุผลเดียวกับเจ้านั่นแหละ!”
หลัวซือซือเอ่ยอธิบายอย่างใจเย็น
“ตอนแรกพวกข้ากำลังตามท่านอาจารย์ไปฝึกฝน ทว่าทันใดนั้นก็เกิดเรื่องขึ้น พอท่านอาจารย์จากไป พวกข้าก็พากันมาฟากนี้ เมื่อครู่ก็เพิ่งปะเข้ากับพี่ห้าพอดี”
ท่านอาจารย์ที่นางพูดถึงก็คือผู้อาวุโสเหวินซีนั่นเอง
ฉู่หลิวเยว่ผงกศีรษะรับ
“เมื่อครู่ข้าเองก็กำลังหลอมยาอยู่ จากนั้นผู้อาวุโสฮวาเฟิงก็เข้ามาตะโกนเรียกให้ท่านอาจารย์ของข้าออกไปพร้อมกัน”
ความจริงแล้ว ศิษย์จำนวนมากล้วนเผชิญสถานการณ์เช่นนี้ด้วยกันทั้งสิ้น
ดังนั้นการที่ฉู่หลิวเยว่เอ่ยอธิบายออกไปเช่นนี้ พวกหลัวซือซือทั้งสามคนจึงมิได้คิดมากอันใดอีก
“สิ่งที่คนพวกนั้นคุยกันอยู่เมื่อครู่ พวกเจ้าได้ยินกันมาบ้างหรือเปล่า?”
จัวเซิงเอ่ยถามอย่างมีท่าทีลับลมคมใน
“กล้าไล่ตามมาชิงของถึงฝางโจว แบบนั้นมันเสียสติไปแล้วไม่ใช่หรือไง!?”
หลัวเยี่ยนหมิงที่ยืนเงียบมาโดยตลอดพลันเอ่ยปากขึ้นมา
“สำนักปีกสุวรรณมีพลังเหี้ยมโหดแกร่งกล้า แม้ว่าจะเป็นตระกูลชนชั้นสูงเหมือนกัน แต่วิชาที่สืบทอดต่อกันมาของพวกเขามีพลังรุนแรงยิ่งนัก ในหมู่สำนักต่างๆ ตั้งแต่เจ้าสำนักไปจนถึงลูกศิษย์ ความสามารถในการต่อสู้ของพวกเขานั้นทรงพลังขั้นสุด ดังนั้นลักษณะการแสดงออกจึงจองหองมาแต่ไหนแต่ไร ก่อเรื่องเช่นนี้ออกมาได้ก็ไม่นับว่าแปลกอันใด”
มนุษย์สิ้นเพราะทรัพย์สิน ปักษาดับดิ้นเพื่อผลาหาร
สิ่งของที่ทำให้ต้องส่งผู้อาวุโสและศิษย์ของสำนักหลิงเซียวจำนวนมากปานนั้นออกไปได้ ย่อมมิใช่ของที่มีดาษดื่นอยู่ทั่วไป แค่คิดก็รู้แล้วว่าต้องเป็นของที่นำพาให้คนนอกอิจฉาตาร้อนได้
ยิ่งไปกว่านั้น เหมือนว่าอีกฝ่ายจะร่วมมือกับสำนักอื่นอีกหลายสำนัก ถึงได้ไม่กริ่งเกรงสิ่งใดเช่นนี้
“ขอเพียงพวกเขาจัดการเรื่องให้จบไวที่สุด ไม่ยืดเยื้ออยู่นานเกินไปก็ไม่น่าจะมีปัญหาใหญ่อันใดมากนัก”
“เยี่ยนหมิง เหตุใดเจ้าถึงได้รู้เยอะขนาดนี้กัน?”
หลัวเยี่ยนหมิงเงียบไปครู่หนึ่ง
“…ก่อนที่ท่านอาจารย์จะออกไป ได้กล่าวไว้สองสามประโยค”
ลักษณะนิสัยปกติของผู้อาวุโสฮวาเฟิงนั้นชอบเอ้อระเหยลอยชายไปเรื่อย หลังจากได้ยินข่าวแล้วเขาก็ตกตะลึงมากจนลืมปิดบังไปเสียสนิท
ระหว่างที่พูดคุยกัน พวกหลัวเยี่ยนหมิงที่อยู่ข้างกันนั้นก็ได้ยินเรื่องราวมาร้อยแปดพันเก้าเลยทีเดียว
คนที่เหลือ “…”
ฉู่หลิวเยว่ย้อนนึกไปถึงเหตุการณ์เมื่อครู่พลางยืนไว้อาลัยอย่างเงียบๆ ให้กับยาอายุวัฒนะระดับเก้าเม็ดนั้นที่สมควรจะหลอมขึ้นมาได้สำเร็จอยู่ชั่วขณะ
“บางทีผู้อาวุโสฮวาเฟิงก็ชอบทำตัวลุกลี้ลุกลนไปบ้างละนะ…”
หม่ง…
เสียงระฆังทุ้มนุ่มที่แสนเสนาะหูดังแว่วขึ้นมา!
มันแว่วมาจากทางหอระฆังบูรพกษัตริย์นั่นเอง!
ภายในจัตุรัสเงียบลงในพริบตา ฝูงชนต่างพร้อมใจกันหันศีรษะไปมอง
ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนยืนอยู่บนหอระฆัง มือหนึ่งไพล่เอาไว้ด้านหลัง เรือนผมขาวโพลนทั้งศีรษะ สีหน้าสงบเรียบนิ่ง
“ด้านนอกของสำนักเกิดเรื่องที่ไม่คาดคิดขึ้นเล็กน้อย อีกไม่นานก็จะจัดการได้ ทุกคนแยกย้ายกันไปก่อนเถิด แล้วตั้งสมาธิจดจ่ออยู่กับการฝึกฝนวิชาเสีย!”
สุ้มเสียงอันมีพลังและหนักแน่นจริงใจแผ่ขยายไปอย่างก้องไกล ลอยเข้าหูทุกคนอย่างชัดเจนและนุ่มนวล ทำให้ผู้คนต่างก็รู้สึกสงบลงโดยไม่รู้ตัว
เดิมทีในใจของศิษย์สำนักบางคนมีความกังวลและกระวนกระวายใจอยู่หลายส่วน บัดนี้เมื่อได้ยินคำพูดของผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนก็ค่อยๆ ใจเย็นลงได้ในที่สุด
ความจริงแล้วหากมาคิดไตร่ตรองดูดีๆ ก็เห็นท่าจะจริง ที่นี่เป็นเขตภายใต้การควบคุมของสำนักหลิงเซียว จะปล่อยให้ผู้อื่นมาแสดงท่าทีจองหองโอหังถึงที่ได้จริงหรือ?
บรรดาผู้อาวุโสต่างก็เคยประสบพบเจอเรื่องราวต่างๆ มาแล้วทุกรูปแบบ ให้จัดการกับปัญหาเหล่านี้เองย่อมทำได้อย่างง่ายดาย
ทว่าในตอนนั้นเอง ท่ามกลางฝูงชนพลันมีเสียงแม่นางผู้หนึ่งดังแทรกขึ้นมา
“ท่านผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยน ในฐานะที่เป็นคนของสำนัก ความปลอดภัยของสำนักเองก็ถือเป็นเรื่องของพวกเราเช่นกัน เพราะฉะนั้นแล้ว…จื่อหยวนขออาสาออกไปร่วมสู้ด้วยเจ้าค่ะ!”
บนลานจัตุรัสที่เงียบสงัด สุ้มเสียงนี้เรียกได้ว่าดังขึ้นมาอย่างฉับพลันและทำให้คนทุกผู้ล้วนได้ยินกันอย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง
สายตาจำนวนนับไม่ถ้วนต่างก็มองไปทางต้นเสียงกันเป็นตาเดียว
ที่แท้ผู้ที่ยืนอยู่ด้านหลังฝูงชนก็คือ…เจียงจื่อหยวน!
ในตอนนั้นเอง ด้านหลังของนางยังมีพวกเหลี่ยงเซียวเซียวยืนอยู่ด้วย ทว่าเมื่อนางเอ่ยปากพูดขึ้นมา ก็ยังสามารถทำให้ความสนใจของผู้คนมาหยุดอยู่ที่นางได้
ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนหัวเราะออกมา
“เมื่อครู่ข้าก็เพิ่งบอกไปมิใช่หรือว่าเป็นแค่ปัญหาเล็กน้อยเท่านั้น ก่อนหน้านี้สำนักเองก็ได้ส่งผู้อาวุโสหลายต่อหลายคนออกไปจัดการแล้ว พวกเจ้ารออยู่ในสำนักด้วยความสงบก็พอแล้ว”
เจียงจื่อหยวนเม้มริมฝีปากแน่น ความวิตกกังวลบนสีหน้าพลันแสดงออกมาให้เห็นชัดเจน
“แต่ว่าศิษย์พี่หรงซิว…”
ฉู่หลิวเยว่เลิกคิ้ว
นางที่เป็นชายาตัวจริงยังไม่ได้เอ่ยปากเลยสักแอะ แต่เจียงจื่อหยวนกลับกระตือรือร้นถึงเพียงนี้
ไม่รู้จริงๆ ว่าควรชมนางว่ามีจิตใจที่ทรหดอดทนหรือว่าโง่เง่าสมองทึบดี
ท่าทีเช่นนี้ของเจียงจื่อหยวน ในสายตาของคนบางกลุ่มคงเรียกได้ว่าหลงรักเสียจนโงหัวไม่ขึ้น ทว่าสำหรับผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนนั้น เขากลับไม่เข้าใจในสิ่งที่นางต้องการจะสื่อ
สีหน้าของเขาอ่อนลงไปบ้าง ก่อนที่เขาจะเอ่ยถามอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาวว่า
“นี่เจ้ากำลังสงสัยในความสามารถของหรงซิว หรือว่ากำลังสงสัยในความสามารถของท่านผู้อาวุโสเจ้าสำนักอยู่หรือ?”