ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1208 ด้วยยินดี
ตอนที่ 1208 ด้วยยินดี
ใช่แล้ว นางไม่สนใจว่าสุดท้ายเหล่าผู้อาวุโสจะลงโทษฉู่เยว่อย่างใด นางไม่สนใจว่าด้านนอกจะมีการต่อสู้ที่ดุเดือดเพียงใด
สิ่งที่นางสนใจ มีเพียงเรื่องเดียวเท่านั้น
ฉู่เยว่เป็นจอมยุทธ์ระดับเจ็ด เขาสามารถออกไปด้านนอกได้อย่างใด?
ต้องบอกก่อนว่า ก่อนหน้านี้ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนยังได้กำชับไว้ว่า พวกเขาไม่ต้องกังวล ให้ทุกคนกลับไปอย่างสบายใจก็พอแล้ว เหล่าผู้อาวุโสของสำนักจะมาจัดการเรื่องเหล่านี้เอง
หลังจากนั้น ก็ยังเพิ่มความแข็งแกร่งของค่ายกลสำนักให้มากยิ่งขึ้น ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถลอบหนีออกไปได้
แต่ว่าภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ฉู่เยว่กลับออกไปได้!
แล้วยังสามารถช่วยบังการโจมตีให้หรงซิวได้อีก?
ตั้งแต่ต้นจนจบ ทุกเรื่องมันแปลกประหลาดอย่างมาก จนนางอดที่จะสงสัยไม่ได้
“หรือบางทีเขาอาจจะแอบออกไปพร้อมกับผู้อาวุโสสักคน?”
เหลี่ยงเซียวเซียวที่ยืนอยู่ด้านข้างก็พูดขึ้นมาอย่างไม่มั่นใจ
เจียงจื่อหยวนกระตุกยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย
“เจ้าคิดว่าถ้าเขาทำเช่นนั้น เหล่าผู้อาวุโสจะไม่รู้เลยหรือ?”
เหลี่ยงเซียวเซียวสะอึกไป
“แล้วมันยังจะมีทางไหนอีก? เหมือนว่าตอนนี้เขาเพิ่งจะอยู่ในระดับเจ็ดขั้นกลางเท่านั้นไม่ใช่หรือ? แม้ว่าพลังในการต่อสู้ของเขาจะสูงกว่าระดับความเป็นจริงอยู่เล็กน้อย แต่ก็คงไม่มากถึงที่เขาจะสามารถฝ่าค่ายกลสำนักแล้วออกไปคนเดียวละมั้ง? เรื่องเหล่านี้แม้กระทั่งพวกเรายังทำไม่ได้! อย่างเขาคงไม่มีทาง?”
เจียงจื่อหยวนขมวดคิ้วเรียวยาว
นี่ก็เป็นจุดที่นางรู้สึกว่ามันแปลกที่สุดเช่นกัน
ความเป็นไปได้เดียวที่สามารถอธิบายได้ในตอนนี้ ฉู่เยว่ฉวยโอกาสตอนที่วุ่นวายแล้วออกจากค่ายกลไป
เพียงแต่ไม่รู้ว่าเหตุใด เหมือนกับว่าผู้อาวุโสไม่ทันรู้ตัว และพาตัวเขากลับมา
เพราะว่าหากเป็นปกติแล้ว ไม่ว่าใครที่ทะลวงค่ายกลโดยไม่ได้รับอนุญาต มันก็จะสามารถดึงดูดความสนใจของเหล่าผู้อาวุโสที่คุ้มกันได้ในทันที
แต่ฉู่เยว่กลับทำสำเร็จ อีกทั้ง…ในการต่อสู้ครั้งนี้ เขาก็ยังช่วยหรงซิวไว้ได้ด้วย!
น่าเสียดายที่นางไม่สามารถเห็นได้ด้วยตาตนเอง ว่าที่จริงแล้วมันเกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่
“ช่างเถอะ พวกเราคิดเยอะไปก็ไม่มีประโยชน์! หากเขาทำผิดกฎจริงๆ เหล่าผู้อาวุโสจะต้องจัดการอย่างแน่นอน”
เหลี่ยงเซียวเซียวรู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่มีอันใดให้น่าใส่ใจ
“นี่มันเกิดเรื่องอันใดขึ้น รอผลการลงโทษของฉู่เยว่ออกมาก็รู้แล้วไม่ใช่หรือ?”
เจียงจื่อหยวนทำได้เพียงพยักหน้า
…
ทุกคนรออยู่สักพักหนึ่ง ในที่สุดก็เห็นคนเดินลงมาจากยอดเขา
“เหล่าผู้อาวุโสออกมาแล้ว!”
กลุ่มคนลุกฮือขึ้นมา ก่อนจะมองไปทางพวกเขาอย่างสนใจ
เหล่าผู้อาวุโสทยอยเดินออกมาทีละคน
หลังจากที่พวกเขาเดินออกมาแล้ว ก็ไม่ได้หยุดฝีเท้า ต่างคนต่างแยกย้ายกันกลับ
สายตาของทุกคนจึงหันเหความสนใจไปยังผู้อาวุโสที่เดินมาด้านหลัง
ตอนที่เหล่าผู้อาวุโสแยกย้ายกันพอประมาณแล้ว ในที่สุดก็มีเงาร่างที่พิเศษปรากฏตัวขึ้น!
คนแรกนั้น รูปร่างสูงโปร่ง สวมชุดสีขาวงดงาม
แม้ว่าจะมีระยะห่าง แต่กลับไม่สามารถปกปิดความสง่างามเหนือคนได้!
คนผู้นั้นคือ หรงซิว นั่นเอง!
ส่วนคนที่เดินตามหลังเขามานั้น มีอายุน้อยกว่า
ไม่ต้องคิดก็รู้ว่า คนนั้นคือฉู่เยว่!
คนหนึ่งเดินนำหน้า คนหนึ่งเดินตามหลัง
ด้านข้างคือผู้อาวุโสวั่นเจิง และผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยน
พวกอาวุโสคนอื่นต่างแยกย้ายกันไป มีเพียงแค่พวกเขาเท่านั้น ที่หลังจากออกมาแล้วก็หยุดยืนนิ่ง ราวกับว่าต้องการจะพูดอันใดบางอย่าง
เจียงจื่อหยวนจ้องตาเขม็ง
หากไม่ใช่เพราะ หรงซิวอยู่ยอดเขาด้านนอก ที่นั่นมีค่ายกลสลับซับซ้อนที่เขาเป็นคนสร้างเอง กางอาณาเขตเอาไว้อยู่ตลอดปี นางก็จะเดินทางขึ้นไปฟังว่าพวกเขาพูดคุยอันใดกัน
หลังจากผ่านไปสักพัก อาวุโสวั่นเจิงก็ตบไหล่ของฉู่เยว่ จากนั้นก็เดินออกไปพร้อมกับผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยน
ตอนนี้เหลือเพียงหรงซิว และฉู่เยว่สองคนแล้ว
ทั้งสองคนยืนประจันหน้ากัน
คนที่อยู่ด้านนอกไม่สามารถฟังได้ว่าพวกเขากำลังพูดคุยอันใดกัน แต่ก็ไม่อยากจะยอมรับเลยว่า เมื่อทั้งสองคนนี้มายืนอยู่ด้วยกัน มันทั้งน่าประหลาดใจ และเข้ากันอย่างมาก
ป่าไม้เขียวชอุ่ม คุณชายรูปงามดั่งหยกสลัก
โดยปกติแล้วรูปร่างหน้าตาของฉู่เยว่ไม่สามารถเทียบเคียงกับหรงซิวได้เลย แต่บรรยากาศรอบตัวของเขานั้นพบเห็นได้ยากยิ่ง
ตอนที่เขายืนอยู่ตรงหน้าหรงซิว เขาก็ไม่ได้ดูด้อยไปกว่ากันเลย
“เหตุใดผู้อาวุโสถึงไปกันหมดแล้วล่ะ? หรือว่าพวกเขาจะไม่ลงโทษอันใดฉู่เยว่เลยหรือ?”
“ไม่น่าหรอกมั้ง…แม้ว่าครั้งนี้ฉู่เยว่จะสร้างคุณประโยชน์ แต่เหล่าผู้อาวุโสก็กำชับนักกำชับหนา ว่าห้ามออกไปตามอำเภอใจ ถ้าสุดท้ายนี้เขาไม่ได้รับการลงโทษ เช่นนั้นทุกคนจะเอาเขาเป็นเยี่ยงอย่างได้ไม่ใช่หรือ?”
“ใช่แล้ว อีกทั้งเหตุใดศิษย์พี่หรงซิวถึงคุยกับเขานานขนาดนั้นล่ะ? ไม่รู้ว่าพวกเขากำลังพูดเรื่องอันใดอยู่…”
แม้ว่าในใจของทุกคนจะเต็มไปด้วยความสงสัย แต่ก็ไม่กล้าบุกเข้าไปตามใจชอบ จึงทำได้เพียงลอบคาดเดาเท่านั้น
…
“ไปกันเถอะ ข้าจะไปส่งเจ้าเข้าไป”
หรงซิวเชิดคางขึ้น รอยยิ้มปรากฏขึ้นในแววตา
“เจ้าน่าจะรอจนหมดความอดทนแล้วสินะ”
ฉู่หลิวเยว่กะพริบตา แล้วยิ้มขึ้นมาเช่นกัน
“ศิษย์พี่หรงซิวรู้สถานการณ์ของข้าแม่นราวกับตาเห็นเลยนะ”
หรงซิวเลิกคิ้วขึ้น
“อย่าพูดเรื่อยเปื่อย”
ฉู่หลิวเยว่อาศัยที่อีกฝ่ายมีส่วนสูงมากกว่า จึงสามารถบังตัวนางได้มิดชิด นางไม่กลัวว่าด้านนอกจะมองเห็น และยิ่งกำเริบเสิบสานมากยิ่งขึ้น
“ข้าเข้าสำนักช้ากว่าเจ้าหลายปี พูดคำว่า “ศิษย์พี่” มันก็สมควรแล้วไม่ใช่หรือ?”
หรงซิวหัวเราะเบาๆ แล้วขยับเข้าใกล้ เขาก็เสียงต่ำลง ทั้งทุ้มต่ำ และมีเสน่ห์
“เจ้ามีคำเรียกที่ใช้เรียกข้าโดยเฉพาะ แล้วจะเรียกให้เหมือนกับคนอื่นไปเหตุใด”
ฉู่หลิวเยว่เหลือบสายตามองรอยยิ้มนั้น แล้วหมุนตัวกลับ ก่อนจะพูดอย่างสบายๆ ว่า
“ศิษย์พี่หรงซิว พวกเรารีบไปกันเถอะ! ข้าไม่กล้าเสียเวลาไปมากกว่านี้แล้ว ไม่เช่นนั้นกลับไปจะต้องโดนคนอื่นตำหนิอีกแน่นอน”
หรงซิวสาวเท้ายาวๆ หนึ่งก้าว แล้วเดินตามขึ้นไป ก่อนจะหัวเราะแล้วพูดว่า
“ข้าไม่ยักรู้เลยว่า หลังจากที่เจ้ามาถึงสำนักหลิงเซียวแล้ว เจ้าดูใจเสาะมากขึ้นนะ”
หรงซิวแค่นหัวเราะเหอะ
“ข้าใจเสาะที่ใดกัน ข้าแค่พูดความจริงเท่านั้นเอง ไม่ต้องพูดเรื่องอื่น เอาแค่ตอนนี้ ทางนั้นมีคนมากมายกำลังเฝ้าดูทุกการกระทำของข้าอยู่”
นางเม้มริมฝีปากขึ้น
“เจ้าเชื่อหรือไม่ หากข้าทำพลาดเพียงเล็กน้อย หรือล่วงเกินเจ้าแม้แต่เส้นขน พวกนางจะต้องฉวยโอกาสนี้ตำหนิติเตียนข้าเสียส่วนใหญ่แน่นอน หลังจากนี้ต่อไปข้ายังอยากอยู่ในสำนักอย่างสงบสุขอยู่นะ”
ในใจของคนเหล่านั้น หรงซิวไม่ได้เป็นเพียง “ศิษย์พี่ที่แข็งแกร่ง” เท่านั้น
พรสวรรค์ และฝีมือของเขานั้นโดดเด่นกว่าใคร จึงกลายเป็นที่เคารพของคนจำนวนนับไม่ถ้วน อีกทั้งเป็นสิ่งที่พวกเขาต้องการจะไล่ตาม
รายชื่อของเขาครองอยู่ในงานประลองชิงอวิ๋น ซึ่งเขาได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของความแข็งแกร่งแล้ว
ฉู่หลิวเยว่คิดว่านางซื่อสัตย์หน่อยคงจะเป็นการดีสำหรับนาง
หรงซิวหัวเราะออกมาอย่างกะทันหัน จากนั้นก็ค่อยๆ พูดขึ้นอย่างเชื่องช้า
“ที่แท้เจ้าก็อยากเล่าเรียนในสำนักอย่างสงบสุขหรือ? แต่ข้ากลับมองไม่ออกเลยจริงๆ”
ใบหน้าของฉู่หลิวเยว่ร้อนผ่าว
คำพูดนี้นางไม่สามารถโต้เถียงได้เลย
นางเพิ่งมาที่สำนักได้ยี่สิบกว่าวันเท่านั้น แต่กลับก่อเรื่องไปแล้วมากมาย ไม่ว่าใครมอง ก็มองว่านางนั้นเป็นเด็กที่เกเร
“แต่ว่า…”
หรงซิวลากเสียงให้ยาวขึ้นเล็กน้อย กดน้ำเสียงลงต่ำ พร้อมกระซิบที่ข้างหู
“หากเจ้าต้องการจะล่วงเกินข้าจริงๆ…ข้าจะน้อมรับตลอดเวลา”
ฉู่หลิวเยว่ชะงักฝีเท้า แล้วหันหน้าไปมองเขา
ไม่ว่าเขานั้นจะมีฐานะอันใด แต่นิสัยที่ภายนอกนิ่งๆ แต่ด้านในตรงกันข้าม และนิสัยหน้าหนานี่ ไม่เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย
“หรงซิว”
“หื้อ?”
“เจ้าคิดว่าต่อหน้าผู้คนมากมาย ข้าจะไม่กล้าทำอันใดเจ้าอย่างนั้นหรือ?”
หรงซิวมองหน้านาง ก่อนจะยิ้มรับ พร้อมตอบด้วยน้ำเสียงคาดหวังอย่างมาก
“ด้วยความยินดี!”