ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1212 นึกขึ้นมาได้
ตอนที่ 1212 นึกขึ้นมาได้
ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนระงับความโกรธแล้วอธิบายว่า
“เจ้าสำนักจิน เมื่อครู่ข้าได้พูดกับเจ้าอย่างชัดเจนแล้ว เรื่องนี้ ไม่ใช่ความผิดของสำนักหลิงเซียว ถ้าจะโทษ ก็โทษศิษย์ผู้โลภมากของเจ้าเถอะ!”
“ตามหลักการแล้ว เดิมทีอาวุธศักดิ์สิทธิ์ชิ้นนั้นก็เป็นของสำนักหลิงเซียว แต่เพราะเมื่อขนนกสีหม่นบาดาลกำเนิดขึ้น ผู้ที่เข้าร่วมแย่งมีจำนวนมาก พวกเราก็ไม่ได้พูดอันใดมาก ทุกคนจึงใช้ความสามารถแย่งชิง แต่ท้ายที่สุดของชิ้นนั้นก็ตกอยู่ในมือของพวกเรา แต่จินเหลยกลับติดตามไม่ลดละ สุดท้ายเขายังไล่โจมตีไปถึงเมืองฝางโจว!”
ใบหน้าของผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนมีร่องรอยความโมโหปรากฏขึ้น แล้วยังเพิ่มเสียงดังขึ้นอีกเล็กน้อย
“เจ้าสำนักจิน เมืองฝางโจวเป็นสถานที่แบบใด คงไม่ต้องให้ข้าบอกหรอกมั้ง? หาเรื่องพวกเราจนมาถึงฐานที่มั่นของพวกเราแล้ว หรือว่าพวกเราจะต้องเกรงใจกันอีก!”
จินหมิ่นเย่าแค่นหัวเราะหนึ่งเสียง
“ต่อให้เป็นเช่นนั้น พวกเราก็ควรสั่งสอนเขาสักยกก็พอ ไม่มีความจำเป็นจะต้องจัดการให้ถึงชีวิต!”
“พวกเรารีบฆ่าแกงเขาตรงไหน? เห็นได้ชัดว่าจินเหลยรนหาที่ตาย!”
ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนหัวเราะขึ้นมาพร้อมความโกรธ
“ตั้งแต่ต้นจนจบ เป็นเขาที่ยุยงศิษย์จากสำนักอื่นให้มาร่วมมือกับเขาเพื่อต่อสู้กับพวกเราสำนักหลิงเซียวละก็! สุดท้ายเมื่อเขาเห็นว่าหมดหนทางแล้ว เขายังจะวางแผนจับตัวศิษย์ของข้าไปเป็นตัวประกันอีก! เขาเผาไหม้พลังแห่งสายเลือดของตนเองอย่างไม่ลังเล เพื่อที่จะแย่งอาวุธศักดิ์สิทธิ์!”
เมื่อได้ยินประโยคเหล่านี้ ใบหน้าของจินหมิ่นเย่าก็มีประกายความตกใจพาดผ่าน
เห็นได้ชัดว่าเขาไม่เคยรู้เรื่องเหล่านี้มาก่อน จินเหลยมาแย่งของวิเศษ คาดไม่ถึงว่าเขาจะตัดสินใจเช่นนี้ เขาเดิมพันด้วยชีวิตของตัวเองอย่างไม่ลังเล พร้อมทุ่มจนสุดกำลัง!
“ต่อให้พวกเราไม่ฆ่าเขา เขาก็จะไม่มีชีวิตอยู่แล้ว!”
ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนพูดขึ้นอย่างไม่เกรงใจ
จินหมิ่นเย่าพูดอันใดไม่ออก เขานิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนที่จะโต้เถียงขึ้นมา
“เรื่องนี้เขามีความผิดจริง แต่โทษไม่ถึงตาย ตอนนี้เขาเสียชีวิตในฝางโจว อย่างน้อยเจ้าสำนักอย่างข้าก็ต้องไปรับศพของเขามา! ไม่เช่นนั้นข้าจะอธิบายให้ทุกคนในสำนักฟังได้อย่างใด! และต้องลากตัวคนที่ฆ่าศิษย์รักของข้าออกมา! เลือดต้องชดใช้ด้วยเลือด”
ตอนนี้แม้กระทั่งผู้อาวุโสคนอื่นๆ ที่อยู่ในเหตุการณ์ก็ไม่สามารถฟังต่อไปได้แล้ว
พวกเขายังไม่ทันได้พูดอันใด ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากที่หน้าประตู
“ข้าเป็นคนฆ่าจินเหลยเอง”
น้ำเสียงนี้เต็มไปด้วยความเย็นชา และสูงส่ง แฝงด้วยความดูถูกเล็กน้อย ทำให้ผู้คนที่ได้ยินรู้สึกประหม่าขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
ทุกคนหันกลับไปมอง
เงาร่างที่สูงเพรียวก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าทุกคน
ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนถามขึ้น
“หรงซิว เจ้ามาที่นี่ได้อย่างใด?”
จินหมิ่นเย่าชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะหรี่ตาลงอย่างอันตราย
“พระราชวังเมฆาสวรรค์…หรงซิว?”
เรื่องนี้เกี่ยวกับข้า ข้าจึงมาที่นี่ด้วยตนเอง
หรงซิวมองไปทางผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนด้วยสายตาเปี่ยมความมั่นใจ จากนั้นก็สาวเท้าก้าวเข้ามาในห้อง
เขาเดินมาหยุดตรงที่ตำแหน่งด้านในสุด เผชิญหน้ากับจินหมิ่นเย่า
“จินเหลยพยายามจะฆ่าข้า หากข้าจะฆ่ากลับก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลแล้ว เหตุใดหรือ เจ้าสำนักจิน…ยังจะถามหาความยุติธรรมอีกหรือ?”
สีหน้าของจินหมิ่นเย่าย่ำแย่ลงไปเล็กน้อย
เขารู้เพียงแค่จินเหลยถูกคนฆ่าตายที่เมืองฝางโจว แต่รายละเอียดนั้น เขาไม่รู้เลยแม้แต่น้อย
เดิมทีเขาคิดว่าเป็นผู้อาวุโสสักคนในสำนักหลิงเซียว แต่ใครจะรู้แล้วว่าคนที่ลงมือคือหรงซิว!
หากพูดตามตรง เขายินดีที่จะล่วงเกินผู้อาวุโส แต่ไม่อยากจะเป็นศัตรูกับหรงซิว
เพราะว่าหรงซิวคนนี้…เป็นคนที่โหดเหี้ยมอย่างยิ่ง!
จากคนที่ไม่มีภูมิหลัง ถูกรังแกอย่างต่อเนื่อง แต่กลับสามารถอดทนได้หลายปี เมื่อได้ครองตำแหน่งโอรสสวรรค์แล้ว เขาก็สามารถกุมพระราชวังเมฆาสวรรค์เอาไว้ในมือของตนเองได้อย่างมั่นคง
เพียงแค่เรื่องนี้เรื่องเดียว ก็สามารถรู้แล้วว่าเขาเป็นคนอย่างใด!
ยิ่งไปกว่านั้นแม้ว่าสำนักหลิงเซียวจะมีเส้นใหญ่ และอำนาจล้นมือ แต่พวกเขาก็เป็นเพียงแค่สำนักเรียนสำนักหนึ่งเท่านั้น ตอนที่เจอปัญหา จะมีโซ่ตรวนจำนวนมาก มัดมือมัดเท้าอยู่
ในสถานการณ์ที่เรื่องเล็กกำลังจะส่งผลกระทบเป็นเรื่องใหญ่ สำนักหลิงเซียวมักเลือกจะจัดการปัญหาด้วยวิธีอ่อนโยน
นี่คือหนึ่งในเหตุผลที่เขากล้าเดินทางมาถึงหน้าประตูสำนักหลิงเซียว
แต่พระราชวังเมฆาสวรรค์ไม่เหมือนกัน!
หลายปีที่ผ่านมานี้ หลังจากที่หรงซิวขึ้นครองราชย์ เขามีการเคลื่อนไหวอย่างมาก เหล่าทหารที่เป็นลูกน้องของเขาก็แข็งแกร่งมากเช่นกัน
เขาไม่สงสัยเลยแม้แต่น้อย ขอเพียงแค่หรงซิวออกคำสั่ง ทั้งพระราชวังเมฆาสวรรค์จะกลายเป็นกระบี่ที่แหลมคมในมือของเขา! และปล่อยให้เขาบังคับใช้ตามใจ!
จินหมิ่นเย่าสูดลมหายใจเข้าลึกๆ
“หรงซิว เจ้าสำนักอย่างข้ารู้ว่าเจ้าแข็งแกร่งอย่างมาก แต่เจ้าเพิ่งฆ่าศิษย์ของข้าไป หรือว่าเจ้าจะไม่รู้สึกอันใดหน่อยหรือ?”
มือข้างหนึ่งของหรงซิวพาดออกไว้ด้านหลัง เขามีท่าทางสงบนิ่งอย่างมาก
ริมฝีปากบางยกยิ้มเล็กน้อย แต่รอยยิ้มไม่ได้ส่งไปถึงแววตา นัยตามีเพียงความเย็นชาเท่านั้น
“ข้าเป็นคนฆ่าเขา…แล้วอย่างใด?”
ไม่ต้องอธิบายให้มากความ คำตอบของเขาช่างห้วน และเฉียบคม
“ส่วนศพของเขาท่านเจ้าสำนักไม่ต้องคิดแล้ว เขาตายด้วยเงื้อมมือของข้า ตอนนั้นก็ไม่มีเถ้ากระดูกเหลือแล้ว”
หรงซิวกล่าวขึ้นอย่างเฉยเมย
ในที่สุดจินหมิ่นเย่าก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป เขาทุบโต๊ะอย่างแรง พร้อมลุกขึ้นพรวด!
“หรงซิว! เจ้าอย่ารังแกกันเกินไปนัก!”
หรงซิวเหลือบสายตามองเขาด้วยความเย็นชา
ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนสาวเท้าขึ้นมาหนึ่งก้าว แล้วกล่าวตำหนิว่า
“เจ้าสำนักจิน! อย่าลืมเสียสิว่าตอนนี้เจ้าอยู่ที่ไหน!”
แม้ว่าพวกเราจะไม่อยากฉีกหน้าเจ้าสำนักปีกสุวรรณ แต่ถ้าอีกฝ่ายทำเช่นนี้ ก็คง…ไม่ต้องพูดดีๆ กันแล้ว
จินหมิ่นเย่าระงับอารมณ์ และเปลี่ยนเรื่องพูด
“คนที่แย่งอาวุธศักดิ์สิทธิ์กับจินเหลยในตอนนั้น ไม่ได้อยู่ที่นี่หรอกหรือ?”
หรงซิวหรี่สายตาลงอย่างระแวดระวัง
ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยน และคนอื่นๆ ก็ชะงักไปพร้อมกัน
จินหมิ่นเย่าหัวเราะเสียงเย็น
“แม้ว่าในตอนนั้นข้าจะไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ ก็ใช่ว่าจะไม่รู้อันใดเลย เรื่องบางอย่าง เจ้าสำนักอย่างข้านั้นรู้อย่างชัดเจน! ดังนั้นสาเหตุการตายในตอนสุดท้าย ส่วนใหญ่ก็เป็นเพราะเด็กที่แย่งอาวุธศักดิ์สิทธิ์กับเขาคนนั้น!”
“ถ้าไม่ใช่เพราะคนนั้น จินเหลยก็ไม่จำเป็นจะต้องเผาไหม้พลังแห่งสายเลือดของตนเอง และจะไม่ต้องเกิดเหตุการณ์น่าสลดใจต่อมา!”
เขากวาดสายตามองทุกคนด้วยแววตาดำมืด
“ขอเพียงพวกเจ้าส่งคนผู้นั้นมา เรื่องนี้ ถือว่าจบกันแค่นี้!”
…
เขาเฝิงหมิน
เวลาค่อยๆ ผ่านไป
ฉู่หลิวเยว่นั่งขัดสมาธิ จดจ่ออยู่กับการฝึกฝน
พลังดั้งเดิมโดยรอบไหลเข้ามาในร่างกายของนางอย่างไม่ขาดสาย
ลมปราณโดยรอบเพิ่มสูงขึ้นไม่หยุดยั้ง
ในครั้งนี้นางสามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้นกว่าเดิม ตอนที่นางฝึกฝนที่นี่ สถานการณ์จะค่อนข้างแตกต่างจากด้านนอก
ดูเหมือนว่าพลังดั้งเดิมของที่นี่จะไม่มีวันหมดสิ้น อีกทั้งยังสามารถเข้ากับร่างกายของนางได้เป็นอย่างดี
ไม่เพียงแต่สามารถเข้าสู่ร่างกายนางได้อย่างรวดเร็ว ยังสามารถไหลทั่วทุกส่วนของร่างกาย ผสมผสานกลายเป็นพลังของนาง
แน่นอนว่าสุดท้ายพลังดั้งเดิมเหล่านั้นก็ไหลมากองอยู่ที่เถียนตัน
ไข่มุกธาราก็ลอยอยู่อย่างเงียบงัน
แต่ลวดลายทั้งเจ็ดเส้นที่สลักอยู่บนนั้นกลับส่องแสงสว่างแวววาวขึ้น
เมื่ออยู่ที่นี่ฉู่หลิวเยว่เกือบจะหลงลืมเวลาไป
นางหลับตาลงจดจ่ออยู่กับการตั้งสมาธิฝึกฝน เส้นบนผนังทั้งสี่ด้านเหล่านั้น ก็เริ่มเคลื่อนไหวขึ้นอีกครั้ง มันเคลื่อนไหวตามการหายใจของฉู่หลิวเยว่ ทำให้เกิดรูปลักษณ์ที่แปลกประหลาด
นางสามารถสะสมพลังในร่างกายได้เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
ชั่วขณะหนึ่ง ก็มีเสียงแตกกระจายดังขึ้น!
ฉู่หลิวเยว่ชะงักไป และต้องตกใจที่พบว่า เสียงนั้นมาจากเจดีย์ฐานสี่เหลี่ยมสีดำ!
อาจจะเป็นเพราะว่าพลังเหล่านั้นได้พวยพุ่งขึ้นโดยรอบอย่างต่อเนื่อง ไปๆ มาๆ ทำให้มันแตกละเอียดไป!
ทันใดนั้นนางก็มองไปที่รอยร้าวรอยที่สี่ ในสมองของฉู่หลิวเยว่ก็มีภาพเหตุการณ์หนึ่งปรากฏขึ้น!