ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1226 คนเคยรู้จัก
ตอนที่ 1226 คนเคยรู้จัก
สิ่งมีชีวิตลึกลับและทรงพลังในทะเลทรายจันทราสีชาด
ยอดฝีมือผู้เก่งกาจครอบครองร่างศักดิ์สิทธิ์
ผู้ที่สามารถเข้าออกสำนักหลิงเซียวได้อย่างอิสระ โดยไม่มีใครสังเกตเห็น หรือเห็นแต่ไม่กล้าทำอันใด!
เหตุใดคนประเภทนี้ถึงได้มาสนิทสนมกับนางได้? แถมยังคอยช่วยเหลือนางทั้งในอดีตและปัจจุบัน?
ฉู่หลิวเยว่ไม่เข้าใจ
แต่พอรู้ว่าคนที่ถูกลบชื่อออกจากตารางชิงอวิ๋นคือนาง ตัวตนของผู้คนรอบข้างก็เริ่มดูแปลกไปจากเดิม และลึกลับเสียจนคุ้มค่าแก่การสืบหา
ประตูห้องปิดสนิท
เกิดความเงียบเข้าปกคลุมไปทั่วพื้นที่
รูม่านตาสีม่วงของตู๋กูโม่เป่าวูบไหว พร้อมประกายแสงที่ดูริบหรี่ลง
ใบหน้าเล็กๆ น่ารักราวตุ๊กตาหิมะ ยังคงไร้การตอบสนอง
“ตู๋กูโม่เป่า”
เขาพูดขึ้นมา
ฉู่หลิวเยว่เลิกคิ้วอย่างฉงน
“นี่คือนางจริงๆ ของเจ้าหรือ? หรือว่าเจ้า…ยังมีตัวตนอื่นอีก?”
ตู๋กูโม่เป่าหรี่ตาลงทันควัน
“เจ้าอยากจะถามอันใดกันแน่?”
“ก็ถามในสิ่งที่ข้าควรจะรู้อย่างใดล่ะ”
ฉู่หลิวเยว่ยิ้มบาง
“เรื่องที่ข้าเคยมีชื่ออยู่บนตารางจัดอันดับ เจ้าเองก็น่าจะรู้อยู่แล้วใช่หรือไม่?”
ตู๋กูโม่เป่าไม่ตอบ
แต่นี่มันแค่เริ่มต้นเท่านั้น
“เช่นนั้นก็เปลี่ยนคำถาม”
ฉู่หลิวเยว่คิดอยู่ครู่หนึ่ง
“พวกเรารู้จักกันตั้งแต่เมื่อไร? เป็นช่วง…หลังจากที่ข้ามาถึงอาณาจักรเสิ่นซวี่หรือเปล่า? แน่นอนว่าข้าหมายถึง…ครั้งแรกที่มาที่นี่”
ตู๋กูโม่เป่าส่ายหัวแล้วพูดเบาๆ ว่า
“ไม่ เร็วกว่านั้นอีก ที่ทะเลทรายจันทราสีชาด”
ฉู่หลิวเยว่ตกตะลึง
“ทะเลทรายจันทราสีชาดหรือ? ไม่ใช่อาณาจักรเสิ่นซวี่หรือ?”
ตู๋กูโม่เป่าสาวเท้าไปยังเก้าอี้ที่อยู่ด้านข้าง แล้วนั่งลงอย่างเงียบเชียบ
“ข้าถูกขังอยู่ในทะเลทรายจันทราสีชาดมาหลายปีแล้ว เพียงแต่คราวนี้ข้าบำเพ็ญเพียรอย่างหนัก จนในที่สุดก็ได้ร่างศักดิ์สิทธิ์มาครอบครอง และหนีรอดออกมาจากที่นั่นได้ แล้วข้าจะมาพบเจ้าที่อาณาจักรเสิ่นซวี่ได้เยี่ยงไร”
ฉู่หลิวเยว่ขมวดคิ้วมุ่น ในหัวเต็มไปด้วยการคาดเดาต่างๆ นาๆ
ทว่าเมื่อพิจารณาจากท่าทางของตู๋กูโม่เป่าแล้ว ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้โกหก
อีกทั้ง ด้วยความแข็งแกร่งและตัวตนของเขาแล้ว เรื่องแบบนี้เขาไม่จำเป็นต้องโกหกนางด้วยซ้ำ
เช่นนั้น…ก็หมายความว่าพวกเขารู้จักกันตั้งแต่ตอนที่อยู่ในทะเลทรายจันทราสีชาดแล้ว?
แต่เหตุใดนางถึงไม่มีความทรงจำของช่วงเวลานั้นเลย?
“เช่นนั้นเจ้ากับสำนักหลิงเซียว…”
ฉู่หลิวเยว่ขบเม้มริมฝีปากอย่างลังเล
เดิมทีนางคิดว่าตู๋กูโม่เป่าเป็นเจ้าสำนัก และเป็นท่านอาจารย์ของนาง
แต่ฟังจากคำตอบของเขาในตอนนี้ ดูท่าจะไม่ใช่อย่างที่นางคิด
และเหมือนว่าตู๋กูโม่เป่าจะเดาความคิดของนางได้ เขาหลุบตาลงต่ำ แพรขนตายาวหนาสั่นไหว ราวกำลังปกปิดคลื่นอารมณ์บางอย่างในดวงตาของเขา
ทว่าเมื่อเขาเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง ดวงตาคู่นั้นพลันกลับมาเป็นปกติดังเดิม
“เมื่อก่อนข้าเคยเป็นคนของสำนักหลิงเซียว แต่…มันเป็นเรื่องเมื่อนานมาแล้ว”
เขากล่าวอย่างใจเย็น
เหมือนฉู่หลิวเยว่จะได้ยินเสียงถอนหายใจยาวเหยียดประหนึ่งไร้ที่สิ้นสุด
คงจะ…ยาวนานจริงๆ กระมัง?
ฉู่หลิวเยว่คิดในใจ
หากเป็นอย่างที่เขาพูดจริงๆ เช่นนั้น ไม่ว่าตู๋กูโม่เป่าจะเป็นใคร แต่เขาก็ถือเป็นผู้อาวุโสรุ่นบุกเบิกของศิษย์ทุกคนในสำนักหลิงเซียวตอนนี้
ที่ผู้อาวุโสวั่นเจิงดูทึ่งในตัวเขา ก็พอจะฟังดูสมเหตุสมผลขึ้นมาแล้ว
ฉู่หลิวเยว่ถามต่ออย่างอดไม่ได้
“แล้วเหตุใดตอนนั้นเจ้าถึงติดอยู่ในทะเลทรายจันทราสีชาด? ใช่สิ ยังมีผู้อาวุโสลำดับห้า และผู้อาวุโสหลานเซียวอีก…”
“ก็แค่เรื่องในอดีต อย่าพูดถึงมันเลย”
น้อยครั้งที่ตู๋กูโม่เป่าจะขัดจังหวะฉู่หลิวเยว่เช่นนี้
ฉู่หลิวเยว่ชะงัก
เพราะนางไม่ค่อยเห็นตู๋กูโม่เป่าตอบสนองเช่นนี้ บ่งบอกว่าเขาไม่ต้องการพูดถึงมันจริงๆ
นางจึงมิได้ถามต่อ
ตู๋กูโม่เป่าเหมือนกับหรงซิวไม่มีผิด พวกเขาเก็บเรื่องราวต่างๆ ของนางไว้เป็นความลับ
และจะไม่ยอมเอ่ยปากออกมา นอกเสียจากว่านางจะคิดได้เอง
แต่จนถึงตอนนี้ ตัวนางเองนึกออกแค่บางส่วนเท่านั้น และทั้งหมดนั้นล้วนเกี่ยวกับสำนักวิชา
และเหมือนจะไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับตู๋กูโม่เป่าเลย
“ในเมื่อตอนนี้เจ้ารู้เรื่องเหล่านี้ เช่นนั้น…ก็เพิ่มการฝึกดีกว่า!”
จู่ๆ ตู๋กูโม่เป่าก็โพล่งขึ้นมา
ฉู่หลิวเยว่ผงะไปครู่หนึ่ง
“อันใดหรือ?”
ตู๋กูโม่เป่าหันมาสบตานาง
“เจ้ากับหรงซิวต่างครองอันดับหนึ่งถึงสองแขนงวิชาบนตารางจัดอันดับชิงอวิ๋น นั่นเป็นเพราะตอนนั้นพวกเจ้าฝีมือทัดเทียมกัน แต่ครั้นเวลาผ่านไป เจ้าประสบพบเจอกับเรื่องราวมากมาย และเกือบจะต้องเริ่มต้นใหม่ แต่หรงซิวนั้นเป็นคนดีเสมอต้นเสมอปลาย และไม่เคยทอดทิ้งเจ้า ด้วยความแข็งแกร่งของเขาในตอนนี้ หากเขาต้องการแซงหน้าเจ้า แล้วยึดเอาอันดับหนึ่งจากอีกสองแขนงมาเป็นของตัวเอง ย่อมมิใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้”
เพียงแต่เขาไม่เคยทำอย่างนั้น
หึ่ง!
ตู๋กูโม่เป่าโบกมือเล็กๆ ของตน
กระดานหมากรุกแผ่นหนึ่งปรากฏขึ้นในอากาศ พร้อมรัศมีเรืองรองที่ห่อหุ้มมันไว้!
“ถ้าไม่อยากถูกเขาทิ้งไว้ข้างหลัง เช่นนั้นก็มาฝึกเสีย!”
เขาพูดพลางจ้องมองฉู่หลิวเยว่อย่างสื่อความนัย
“ข้าเคยบอกแล้วว่าหากเจ้าแข็งแกร่งมากพอ สิ่งใดที่เจ้าอยากระลึกถึง และสิ่งใดที่เจ้าอยากรู้ สิ่งเหล่านั้นล้วนจักมาหาเจ้าเอง”
ฉู่หลิวเยว่กัดฟันกรอด แล้วเดินไปยังฝั่งตรงข้ามของกระดานหมากรุก
“มาสิ!”
หากตอนนั้นนางสามารถครองอันดับหนึ่งในการประลองชิงอวิ๋นได้ เช่นนั้น…ตอนนี้นางก็ต้องทำได้เหมือนกัน!
…
หลายวันต่อมา ชีวิตของฉู่หลิวเยว่ดำเนินไปตามปกติเช่นเคย
ตอนกลางวันนางจะฝึกซ้อมกับหรงซิว และเล่นหมากรุกกับตู๋กูโม่เป่าในตอนเย็น ส่วนตอนกลางคืนก็พาถวนจื่อไปยังภูเขาหมื่นเมรัย
อาจเป็นเพราะตอนนี้ทุกคนในสำนักรู้แล้วว่านางอาศัยอยู่กับหรงซิว และเป็นศิษย์น้องที่หรงซิวดูแลเป็นการส่วนตัว จึงไม่มีใครกล้าท้านางเพื่อแย่งชิงตาน้ำพุอีกแล้ว
ทุกครั้งที่นางไปที่นั่น จะมีพื้นที่ว่างสงวนไว้สำหรับนางโดยเฉพาะ
และแน่นอนว่ามีบางคนเริ่มเข้ามาพูดคุยกับนาง พยายามลอบถามเรื่องหรงซิว หรือไม่ก็พยายามใช้นางเป็นสะพานเชื่อมเพื่อเข้าไปสานสัมพันธ์กับหรงซิว
แต่ฉู่หลิวเยว่ก็ไม่เคยเก็บมันมาใส่ใจเลยสักครั้ง หาโดยถามมากเข้า นางก็จะบอกว่าหรงซิวไม่ชอบใจนัก ทุกคนระวังคำพูดคำจา และไม่กล้ารบกวนนางเกินจำเป็น
ยิ่งไปกว่านั้น เพราะรู้ว่าหรงซิวเป็นคนที่คอยอยู่เบื้องหลังนาง พวกเขาจึงโมโหโกรธาไม่ชอบใจสุดๆ แต่ก็ไม่กล้าแสดงท่าทีเหล่านั้นต่อหน้านางอยู่ดี
สิ่งนี้ทำให้ชีวิตลูกศิษย์ในสำนักวิชาของฉู่หลิวเยว่ราบรื่นขึ้นมาก
นอกจากนี้ หากเหลือเวลาว่าง นางก็จะศึกษาสูตรยาอายุวัฒนะระดับเก้าตัวใหม่ที่ผู้อาวุโสวั่นเจิงส่งมาให้
ซึ่งเมื่อเทียบกันแล้ว สูตรยาตัวนี้ดูกลั่นง่ายที่สุด
เนื่องจากย้ายมาอาศัยอยู่ในที่พักของหรงซิว บนภูเขาจิ่วเหิงจึงไร้ซึ่งผู้คน และสะดวกสำหรับนางมากกว่าเดิม
ยามฝึกซ้อม ก็จะรู้สึกสบายใจและเป็นอิสระมากขึ้น
จนทำให้ความแข็งแกร่งในทุกด้านของฉู่หลิวเยว่พัฒนาแบบก้าวกระโดด!
…
เพียงพริบตาเดียว ก็มาถึงช่วงต้นเดือนใหม่อีกครา
แม้ว่าฉู่หลิวเยว่จะอยู่ที่นี่มานานกว่าสองเดือนแล้ว แต่เนื่องจากระหว่างนั้นนางประสบกับเหตการณ์มากมาย ดังนั้นนี่จึงถือเป็นครั้งแรกที่นางเข้าร่วมการประเมินต้นเดือน ในฐานะศิษย์ของสำนักวิชาอย่างเป็นทางการ
สำหรับผู้อาวุโสวั่นเจิง นางผ่านการทดสอบแล้ว จะทำการประเมินอีกหรือไม่ย่อมไม่สำคัญ
แต่สิ่งสำคัญก็คือ การประลองชิงอวิ๋น!
ในตอนเช้า ผู้อาวุโสและศิษย์ของสำนักเกือบทั้งหมดจะมารวมตัวกันที่จัตุรัสชิงหมิง!
ทำให้ลานกว้างแห่งนี้แออัดไปด้วยผู้คนและดูมีชีวิตชีวาอย่างมาก
ศิษย์หลายคนกระเหี้ยนกระหือรืออยากมีชื่ออยู่บนตารางจัดอันดับเต็มแก่
เมื่อฉู่หลิวเยว่มาถึง นางก็เห็นผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนและคนอื่นๆ ยืนอยู่บนหอระฆังบูรพกษัตริย์แล้ว
“ฉู่เยว่! ในที่สุดเจ้าก็โผล่หน้ามาเสียที!”
ในขณะเดียวกัน ก็มีเสียงตะโกนที่คุ้นเคยดังมาจากฝูงชน
ฉู่หลิวเยว่หันศีรษะไปมอง
เป็นพวกของหลัวซือซือนี่เอง
ส่วนคนตะโกนก็เป็นจัวเซิง
เขารีบย่ำเท้าเข้ามาหาฉู่หลิวเยว่โดยเร็วที่สุด พลางมองนางด้วยความอยากรู้อยากเห็นปนตื่นเต้น
“ฝึกกับศิษย์พี่หรงซิวเป็นอย่างใดบ้าง? วันนี้จะมีชื่อของเจ้าอยู่บนตารางชิงอวิ๋นใช่หรือไม่?”