ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1229 ยาบำรุงปราณตั้งต้น
ตอนที่ 1229 ยาบำรุงปราณตั้งต้น
ยามได้ยินคำตอบรับของฉู่หลิวเยว่ สีหน้าของผู้อาวุโสวั่นเจิงก็แสดงความปรีดาออกมา
“เช่นนั้นเจ้าก็ดูเอาเถิดว่าอยากท้าประลองกับผู้ใด รายชื่อเซียนหมอบนติดประกาศกลุ่มสุดท้ายนั่นล้วนแต่เป็นเซียนหมอระดับเก้ากันทั้งนั้น!”
นัยแฝงของประโยคดังกล่าวคือฉู่หลิวเยว่สามารถลองท้าสู้กับผู้ใดก็ได้
ฉู่หลิวเยว่เหลือบตาขึ้นมากวาดมองรอบหนึ่ง
“ข้าขอท้าศิษย์พี่ถังรุ่ยแล้วกันขอรับ”
“ถังรุ่ยหรือ?”
ผู้อาวุโสวั่นเจิงมองตามครรลองสายตาของนางไป
อ้อ เป็นเซียนหมออันดับที่หนึ่งร้อยในรายชื่อติดประกาศนั่นเอง
ไม่ได้เจอหน้าเจ้าเด็กนี่เพียงแค่ไม่กี่วัน เหตุใดเขาถึงดูระแวดระวังขึ้นเป็นกองได้หนอ?
ผู้อาวุโสวั่นเจิงลูบเคราของตนไปมา
คงมิใช่ว่าการติดอยู่ในเขาเฝิงหมินเมื่อไม่นานมานี้ จะมีเรื่องไม่น่าพิสมัยเกิดขึ้นหรอกกระมัง?
“แน่ใจแล้วหรือว่าจะเลือกเขา?”
ฉู่หลิวเยว่ผงกศีรษะรับเบาๆ
ผู้อาวุโสวั่นเจิงเห็นนางมีความตั้งใจแน่วแน่จึงตอบตกลง
อันดับที่หนึ่งร้อยก็อันดับที่หนึ่งร้อยสิ! อย่างใดเสียนี่ก็เป็นครั้งแรก หากเริ่มต้นได้ดีก็เป็นอันใช้ได้!
“ถังรุ่ย!”
ผู้อาวุโสวั่นเจิงมองไปยังเด็กหนุ่มผู้หนึ่งที่ยืนอยู่ท่ามกลางหมู่คน
ดูๆ แล้วเขาเกินอายุยี่สิบไปแล้วเล็กน้อย อีกทั้งไม่ใช่คนสูงนัก รูปร่างอิ่มเอิบกลมท้วน ดวงหน้าของเขาพิศดูแล้วเหมือนดั่งแป้งก้อนที่ขาวราวหิมะก็มิปาน ใบหน้าของเขาติดยิ้ม ให้ความรู้สึกเป็นมิตรยิ่ง
“คารวะผู้อาวุโสวั่นเจิงขอรับ”
เขาที่ยืนอยู่ด้านข้างย่อมได้ยินบทสนทนาของสองอาจารย์ศิษย์เต็มสองหูชัดเจน จึงเข้าใจโดยทันทีว่าตนกลายเป็นเป้าหมายในการท้าประลองของฉู่หลิวเยว่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“ถังรุ่ย ฝากเจ้าช่วยชี้แนะสอนสั่งฉู่เยว่หน่อยแล้วกัน”
ผู้อาวุโสวั่นเจิงเอ่ย
ถังรุ่ยพยักหน้าพลางหัวเราะออกมาเสียงดังฟังชัด
“ได้ขอรับ”
พูดจบ เขาผินหน้ามองไปทางฉู่หลิวเยว่ รอยยิ้มบนดวงหน้าทวีความสุภาพมากกว่าเก่า
“ศิษย์น้องฉู่เยว่ เชิญ…”
ฉู่หลิวเยว่ยกมือขึ้นมา
“เชิญศิษย์พี่ถังรุ่ยขอรับ!”
…
ณ ภูเขาจิ่วเหิง
บริเวณไหล่เขา
หรงซิวยืนอยู่หน้าประตูใหญ่ ยืนตรงมือไพล่หลังพลางทอดสายตามองไปทางหอระฆังบูรพกษัตริย์ที่อยู่ไกลออกไป
แม้ว่าอยู่ที่นี่จะมองไม่เห็นถึงสถานการณ์ในจัตุรัสชิงหมิง ทว่าเพราะหอระฆังบูรพกษัตริย์สูงใหญ่มากพอ ดังนั้นจึงสามารถมองเห็นความเป็นไปของงานประลองชิงอวิ๋นได้
“นางไปเข้าร่วมการประเมินแล้วอย่างนั้นหรือ?”
สุ้มเสียงอ่อนวัยและหวานจ๋อยแบบเด็กๆ ดังแว่วขึ้นมาจากภายในห้อง
แม้ฟังดูความอ่อนวัย ทว่าก็แฝงไว้ด้วยความยึดถือเชื่อมั่นในศักดิ์ศรีที่มิทำให้ผู้ใดกล้ามาดูหมิ่นได้
หรงซิวผงกศีรษะรับ
“ตราบใดที่นางยังอยู่ในสำนัก ก็ยากจะหลีกเลี่ยงเรื่องนี้ไปได้”
บัดนี้ชื่อเสียงของนางเริ่มแผ่ขจรไปทั่วสำนัก ทุกการกระทำของนางล้วนได้รับความสนใจจากผู้คนทั้งสิ้น
หากนางไม่ไปเข้าร่วมงานประลองชิงอวิ๋นต่างหาก ผู้คนจึงจะรู้สึกประหลาดใจกัน
ตู๋กูโม่เป่าแค่นเสียงในลำคอเบาๆ ออกมาคราหนึ่ง
“ดูจากพละกำลังของนางในตอนนี้แล้ว หากคิดอยากจะบุกทะลวงข้อห้ามข้อนั้น เพื่อให้ชื่อของตัวเองได้มีโอกาสเห็นเดือนเห็นตะวันอีกครั้ง ก็ออกจะเพ้อฝันไปหน่อย”
“แต่ท้ายที่สุดแล้วนั่นก็เป็นชื่อของนาง สิ่งที่ถูกผนึกไว้ด้านในก็เป็นพลังของนางเองเช่นกัน”
หรงซิวยิ้มบางแล้วหมุนกายกลับ สายตาจ้องเข้าไปภายในห้องพัก
“หากว่าผู้อาวุโสเป็นกังวล เหตุใดท่านถึงไม่ลงมือออกหน้าแทนเล่า?”
ตู๋กูโม่เป่าเดาะลิ้นคราหนึ่ง
“ไม่ใช่ว่าเจ้าเตรียมการเรื่องตารางรายชื่อการประลองชิงอวิ๋นไปแล้วหรือ นี่ยังต้องลำบากข้าอีกหรือไร?”
หรงซิวคลี่ยิ้มอย่างสงวนท่าที
“นั่นเป็นสิ่งที่ข้าน้อยควรทำอยู่แล้วขอรับ”
ชายาของใคร ใครก็ย่อมรัก
“ทว่าทุกสิ่งทุกอย่าง ท้ายที่สุดแล้วก็ต้องอยู่ที่ตัวนางด้วย”
…
จัตุรัสชิงหมิงถูกแบ่งออกเป็นเขตย่อยขนาดย่อมจำนวนมากเพื่อใช้เป็นสนามประลอง
ฉู่หลิวเยว่กับถังรุ่ยเองก็กำลังยืนอยู่บนหนึ่งในเขตย่อยเหล่านั้นด้วยเช่นกัน
แต่ไหนแต่ไรมา คนของเซียนหมอทางฟากนี้มีไม่มาก จึงมีพื้นที่เหลือกว้างขวางมาโดยตลอด
ทว่ามาครั้งนี้ ทั่วทุกสารทิศโดยรอบสนามประลองของคนทั้งสอง กลับแน่นขนัดไปด้วยผู้คนจำนวนมหาศาล
นอกจากศิษย์เหล่านั้นที่สังกัดเซียนหมอด้วยกันแล้ว ปรมาจารย์และจอมยุทธ์ฟากโน้นเองก็มีคนวิ่งกันมาไม่น้อยเลยทีเดียว
ฉู่หลิวเยว่ปวดศีรษะอยู่บ้างเสียจนต้องนวดขมับ
ดูเหมือนว่าตอนนี้นางจะ “มีชื่อ” ในสำนักหลิงเซียวเข้าจริงๆ แล้ว
“ศิษย์น้องฉู่เยว่ เชิญ…”
ถังรุ่ยวางหม้อยาของตนลงเตรียมพร้อม
ฉู่หลิวเยว่เองก็ทำตามเขามาติดๆ เช่นกัน
บริเวณรอบข้างทั้งสี่ทิศพลันเงียบลงในบัดดล
…
คนทั้งสองต่างคนต่างหยิบสมุนไพรออกมา ก่อนจะใส่พวกมันลงไปในหม้อยาเพื่อเริ่มทำการเคี่ยว
ก่อนหน้านี้ถังรุ่ยเองได้มีโอกาสชมการหลอมยาของฉู่หลิวเยว่อยู่ครั้งหนึ่ง จึงรู้ว่าพลังของนางนั้นมิได้อ่อนด้อย ดังนั้นเลยมิกล้าดูเบานางแม้แต่นิด
ตั้งแต่เริ่ม เขาก็แสดงออกถึงความกระตือรือร้นที่ตนมีอย่างเต็มเปี่ยมออกมาแล้ว
ทว่าทางฉู่หลิวเยว่กลับหาได้คิดอันใดมากมายไม่ นางเพียงแค่เริ่มต้นปรุงยาตามลำดับเท่านั้น
วัดจากพลังของนางในตอนนี้แล้ว แม้ว่าจะสามารถปรุงยาอายุวัฒนะระดับเก้าขึ้นมาได้สบายๆ แล้วก็ตาม ทว่าหากคิดจะชนะการประลองสนามนี้แล้ว ยังต้องใช้แรงความคิดอีกมากเลยทีเดียว
ข้อมือของนางสะบัดพลิ้ว ทยอยนำสมุนไพรเหล่านั้นใส่ลงไปในหม้อยาตามลำดับ
เปลวเพลิงสีชาดลุกโชนเรืองรอง
กลิ่นหอมปนขมฝาดอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของสมุนไพรค่อยๆ แผ่กำจายออกไปในอากาศ
ผู้อาวุโสวั่นเจิงมองดูอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะส่งเสียงร้อง ‘เอ๋’ ออกมาอย่างประหลาดใจ
เหมือนว่าเจ้าเด็กนี่จะไม่ได้กำลังปรุงยาอายุวัฒนะแบบเดียวกับที่ทำก่อนหน้านี้นี่!
หากจำไม่ผิดแล้วล่ะก็ เขาคงคิดจะปรุงยาบำรุงปราณตั้งต้นอยู่กระมัง?
แม้เจ้ายาบำรุงปราณตั้งต้นที่ว่านี้จะมีระดับต่ำกว่าระดับเก้าลงไป ทว่าประสิทธิภาพของมันในทุกๆ ด้านเมื่อเทียบกับยาประเภทก่อนหน้านี้แล้วกลับดีกว่าหลายระดับ
ดังนั้น คุณสมบัติที่เกี่ยวข้องเองก็พุ่งสูงขึ้นมาไม่น้อยเช่นกัน
อีกอย่าง ใบสั่งยาใบนี้ก็เป็นหนึ่งในใบสั่งยาพวกนั้น ที่ผู้อาวุโสวั่นเจิงให้กับฉู่หลิวเยว่ไปเมื่อไม่กี่วันก่อน
“เจ้าเด็กนี่จะบุ่มบ่ามเกินไปแล้ว…”
ผู้อาวุโสวั่นเจิงพึมพำเสียงต่ำออกมาอย่างอดไม่ได้
ฉู่เยว่ได้รับใบสั่งยามาได้ไม่ทันไร เข้าใจมันอย่างถ่องแท้หรือไม่ก็มิรู้แน่ชัด นึกไม่ถึงว่าจะเอามันออกมาใช้ในการแข่งขันเช่นนี้อีก?
จะปรุงยาได้หรือไม่ก็เป็นปัญหาหนึ่งแล้ว…
แต่การประลองเองก็เริ่มขึ้นแล้ว คนรอบข้างก็ทำได้แค่จับตาดูความเปลี่ยนแปลงอย่างเงียบๆ ก็เท่านั้น
…
แท้จริงแล้วนี่หาใช่การปรุงยาบำรุงปราณตั้งต้นครั้งแรกของฉู่หลิวเยว่ไม่
ในชาติก่อน เมื่อยามที่นางเพิ่งบุกทะลวงเป็นเซียนหมอระดับเก้าใหม่ๆ ยาอายุวัฒนะที่ปรุงออกมาเม็ดแรกก็คือยาบำรุงปราณตั้งต้น
ดังนั้น นี่จึงนับได้ว่าเป็นหนึ่งในยาอายุวัฒนะที่นางคุ้นชินที่สุดเลยก็ว่าได้
ก่อนหน้านี้ตอนผู้อาวุโสวั่นเจิงทำการทดสอบนาง ที่นางมิได้เลือกยาตัวนี้ก็ด้วยเพราะว่ามิอยากเปิดเผยข้อมูลมากเกินไป
อีกทั้งในของที่เขาส่งมาให้เมื่อหลายวันก่อนก็มีใบสั่งยาของยาอายุวัฒนะพอดิบพอดี
ครานี้ เมื่อนางได้ปรุงมันอีกครั้ง ก็กลายเป็นทำถูกขั้นตอนขึ้นมาในทันใด
ใบสั่งยาใบนี้แปะประทับฝังลึกเข้าสู่สมองของนางอย่างแน่นแฟ้น
ทั้งลำดับในการใส่สมุนไพรทุกชนิด รวมไปถึงพลังและเวลาที่จำเป็นสำหรับการปรุงยา นางก็สามารถทำมันออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบโดยมิต้องเสียเวลาคิดเลยแม้แต่น้อย
การเคลื่อนไหวเป็นธรรมชาติดั่งเมฆาเคลื่อนสายธารไหล งดงามตระการตาสุดจะหาที่ใดเปรียบ!
ถังรุ่ยที่เหลือบตามองมายังฟากนี้โดยบังเอิญ ในใจพลันรู้สึกตึงเครียดขึ้นมา
ทักษะเช่นนี้ ท่วงท่าที่แสดงออกมาได้อย่างลื่นไหลเช่นนี้ มันเหมือนกับท่าทีของเซียนหมอระดับเก้าที่เพิ่งผ่านการบุกทะลวงมาตรงไหนกัน?