ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 172 ข่าวลือ
ตอนที่ 172 ข่าวลือ
ในอดีต ฉู่เซียนหมิ่นที่มีรูปลักษณ์ที่สวยงาม มีฐานะครอบครัวที่สูงส่ง และมีความสามารถที่โดดเด่น ซึ่งถือเป็นสตรีนางหนึ่งที่มีชื่อเสียงที่สุดในเมืองหลวง
ไม่แปลกใจเลยที่จี้อวี้หรงจะหลงรักนาง
ทว่าเรื่องนี้จะมีส่วนเกี่ยวข้องกับฉู่เซียนหมิ่นหรือไม่ ก็ยังจำเป็นต้องตามสืบหาหลักฐานต่อไป
“อย่าเพิ่งกระโตกกระตากไป แอบตามสืบฉู่เซียนหมิ่นเงียบๆ ก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
มู่หงอวี๋เอนกายลงบนเก้าอี้ข้างๆ แล้วยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาเท้าคาง
“เฮ้อ เรื่องนี้ช่างยากเย็นจริงๆ เจ้าก็รู้ว่าตอนนี้ฉู่เซียนหมิ่นไม่ได้พักในสำนักแล้ว หลังจาหนที่นางอภิเษกกับรัชทายาท นางก็ต้องกลับจวนทุกวัน ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ หากต้องการตามสืบนาง จะต้องใช้ความพยายามมากจริงๆ!”
จวนรัชทายาทมีทหารคุ้มกันอย่างแน่นหนา ถึงแม้นางจะมีความสามารถที่ยอดเยี่ยม แต่ก็ไม่สามารถบุกรุกเข้าไปได้
ฉู่หลิวเยว่ครุ่นคิด
“อย่าเพิ่งรีบร้อน มีใครหลายคนรู้เรื่องที่ข้าไปหอโอสถสวรรค์ในวันนี้ ประกอบกับพวกอาจารย์จั่วหรงก็เคยมาที่นี่เมื่อตอนบ่าย ซึ่งจะต้องมีการแพร่งพรายอย่างแน่นอน ผู้ที่วางยาพิษตัวจริงจะต้องติดตามความเคลื่อนไหวในสำนักเป็นแน่ ไม่มีทางที่จะไม่รู้เรื่องนี้เด็ดขาด”
“ข้าว่าแล้ว!”
มู่หงอวี๋ปรบมือดังฉาดแล้วกล่าวอย่างตื่นเต้น
“ตอนข้ากลับมาก็ได้ยินหลายคนพูดถึงเรื่องของเจ้า แล้วยังเอ่ยถึงพวกอาจารย์จั่วหรงอีก ที่แท้เจ้าเป็นคนจงใจสร้างสถานการณ์นี่เอง นี่เจ้าวางแผน…ล่องูออกจากถ้ำใช่หรือไม่”
แสงสีมืดหม่นส่องผ่านดวงตาของฉู่หลิวเยว่
“ศัตรูอยู่ในที่มืด ส่วนเราอยู่ในที่สว่าง ซึ่งมันมีความเหลื่อมล้ำอยู่แล้ว ในเมื่อเป็นเช่นนี้มิสู้ให้พวกเราเป็นฝ่ายชิงลงมือก่อน เมื่ออีกฝ่ายรู้เรื่องนี้จะต้องไม่นั่งนิ่งดูดายแน่นอน เพียงแค่พวกมันออกมาเคลื่อนไหว พวกเราก็จะได้ลากตัวมันออกมา!”
มู่หงอวี๋มองฉู่หลิวเยว่หัวจรดเท้าด้วยความประหลาดใจ
“จิ๊ๆ หลิวเยว่ มิน่าล่ะเจ้าถึงจัดการพวกตระกูลฉู่ได้อยู่หมัด! เจ้านี่ช่างเจ้าเล่ห์เพทุบายยิ่งนัก ผู้ใดกล้ามาลองดีกับเจ้า ก็นับว่าโชคร้ายจริงๆ!”
ฉู่หลิวเยว่ตากระตุก
เจ้าเล่ห์เพทุบาย…มู่หงอวี๋ ตกลงเจ้าพูดจาเป็นหรือไม่
“หากไม่ระรานข้า ข้าก็ไม่ระรานผู้ใด”
นางไม่ใช่คนที่หาเรื่องใครก่อน แต่ถ้าหากว่าต้องการรังแกนางล่ะก็ เช่นนั้นก็อย่าหาว่านางไม่เกรงใจก็แล้วกัน
มู่หงอวี๋พยักหน้าหงึกๆ แสดงความเห็นด้วย จากนั้นก็กลับมาทำหน้ามุ่ยอีกครั้ง
“หึ ข้าจะบอกเจ้าให้ ฉู่เซียนหมิ่นนั่นยากที่จะรับมือ ถึงแม้ว่าคราวก่อนเจ้าจะสั่งสอนนางไปแล้ว แต่เพิ่งจะผ่านไปได้ไม่เท่าไหร่เอง นางก็เริ่มลงมือแล้ว! เจ้าคงไม่รู้ ก่อนหน้านี้ทุกคนต่างคิดว่าเจ้า…อ่ะแฮ่ม ตอนที่เจ้ายังไม่ได้กลับมา ฉู่เซียนหมิ่นก็เป็นคนแรกที่วิ่งแจ้นไปพูดกับอาจารย์ ขอเป็นตัวแทนเจ้าในฐานะอันดับหนึ่งของผู้ฝึกยุทธ์เพื่อเข้าพบราชทูตจากราชวงศ์เทียนลิ่ง”
ก่อนหน้านี้นางเคยจมอยู่ในความเศร้าโศก และนางก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในสำนักบ้างวันนี้ตอนนางออกไปสืบถาม จึงได้รู้เรื่องนี้ขึ้นมา
เมื่อฉู่หลิวเยว่ได้ยินดังนั้น ไม่เพียงแต่ไม่โกรธ แต่นางยังกลับหัวเราะอีกด้วย
มู่หงอวี๋ถามอย่างไม่อยากเชื่อ
“เจ้าไม่โกรธหรือ”
“นางก็เป็นคนเยี่ยงนี้ ถ้าหากนางไม่ทำเช่นนี้ ข้าถึงจะแปลกใจมากกว่า”
ฉู่เซียนหมิ่นกำลังตกที่นั่งลำบาก นางจะต้องทำทุกวิถีทางเพื่อเสนอหน้าแน่นอน
ในเมื่อเส้นทางนี้ไปต่อไม่ได้ นางก็ต้องเลือกเดินเส้นทางอื่นเองนั่นแหละ
“จะว่าอย่างนั้นก็ใช่…หลิวเยว่ รอเจ้าได้เข้าพบราชทูตจากราชวงศ์เทียนลิ่งเมื่อไหร่ เจ้าช่วยข้าเรื่องหนึ่งได้หรือไม่” จู่ๆ มู่หงอวี๋ก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ นางจึงพนมมือขอร้องฉู่หลิวเยว่
“เรื่องใดหรือ”
ใบหน้าของมู่หงอวี๋เปื้อนด้วยรอยแห่งความกลัดกลุ้ม
“ท่านพ่อของข้าเขียนจดหมายมาเมื่อวันก่อน บอกว่าร่างกายของท่านแม่ข้ามิค่อยสู้ดีนัก เขาได้ยินข่าวว่าราชทูตจากราชวงศ์เทียนลิ่งกำลังจะมาเยือน ก็เลยอยากให้พวกเขาช่วยว่าจะมีหนทางรักษาอาการของท่านแม่ได้หรือไม่…แต่เวลานี้ข้ามีโอกาสเสียที่ไหน ดังนั้น ข้าอ้อนวอนเจ้าได้หรือไม่…”
ฉู่หลิวเยว่หยุดชะงักครู่หนึ่ง
“ดูเหมือนพวกเจ้าจะนับถือราชวงศ์เทียนลิ่งมากใช่หรือไม่ อีกฝ่ายที่มาเป็นเพียงราชทูตเท่านั้น มันไม่ดูหวังลมๆ แล้งๆ ไปหน่อยหรือที่จะฝากฝังเรื่องนี้กับพวกเขา”
มู่หงอวี๋เบิกตาโต
“หลิวเยว่ นั่นคือราชวงศ์เทียนลิ่งเชียวนะ! ราชวงศ์ในตำนานเชียวนะ! ถ้าหากว่าแม้กระทั่งพวกเขายังไร้หนทาง พวกเราต้องแย่แน่ๆ เลย! เฮ้อ เจ้ารู้จักองค์หญิงรัชทายาทแห่งฟ้าลิขิตหรือไม่”
ทันใดนั้นฉู่หลิวเยว่ก็รู้สึกกระอักกระอ่วน
เมื่อเห็นสีหน้าของนาง มู่หงอวี๋จึงคิดว่านางคงไม่เคยได้ยิน ดังนั้นจึงในดีเล่าเรื่องราวเพิ่มเติมให้นางฟัง
“เฮ้อ อันที่จริงเจ้าไม่รู้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ราชวงศ์เทียนลิ่งมีความลึกลับมาโดยตลอด ข้าก็เคยได้ยินท่านพ่อเล่าให้ฟังเล็กน้อย องค์หญิงรัชทายาทแห่งสวรรค์ลิขิตของพวกเขามีชีพจรเทียนจิงในตำนานเชียวนะ! เป็นสุดยอดอัจฉริยะตั้งแต่กำเนิด! ที่สำคัญ ตอนนางอายุได้เพียงสิบขวบก็สามารถบรรลุเป็นหมอเทวดาขั้นที่ห้าได้แล้ว! เจ้าต้องรู้ว่าแคว้นเย่าเฉินนั้นนานทีปีหนถึงจะมีหมอเทวดาสักคนปรากฏตัวขึ้น! และมันยากยิ่งกว่าที่จะไปถึงขั้นที่ห้า! ลองคิดดูว่านางเก่งกาจมากเพียงใด!”
ฉู่หลิวเยว่กระแอมไอแล้วเกลี่ยจมูกป้อยๆ
“นี่ เราจะอิจฉาคนเช่นนี้ไม่ได้หรอก แต่ก็ไม่ต้องอิจฉา องค์หญิงแห่งสวรรค์ลิขิตไม่ว่าอะไรก็เก่งไปหมด แต่สุดท้ายนางก็ตายเพราะธาตุไฟแทรกเข้าสู่มารตายตอนฝึกบำเพ็ญ ตอนนั้นางยังมีอายุไม่ถึงยี่สิบเลย…”
มู่หงอวี๋มีสีหน้าสะเทือนใจ
ทันใดนั้นฉู่หลิวเยว่ก็นิ่งค้าง
ธาตุไฟแทรก…เข้าสู่สายมาร?!
นางระงับอารมณ์ที่พลุ่งพล่านในใจ ก่อนจะเอ่ยถามว่า
“สำหรับอัจฉริยะเช่นนี้ หากพูดกันตามเหตุผลเส้นทางสู่การฝึกฝนควรราบรื่นมากมิใช่หรือ เหตุใดจึง…ธาตุไฟแทรกเข้าสู่มารได้”
มู่หงอวี๋หงายแบมือ
“เรื่องนี้เอาแน่เอานอนไม่ได้หรอก ถึงอย่างไรข่าวลือล้วนพูดกันมาแบบนี้ มิฉะนั้น นางจะตายกะทันหันได้อย่างไร ได้ยินมาว่าพระคู่หมั้นของนางโศกาอาดูรมากทีเดียวเชียวล่ะ…”
หัวใจของฉู่หลิวเยว่เต้นแรงฉับพลัน!
สมองของนางว่างเปล่าขาวโพลน นางจึงทำได้เพียงเอ่ยถามด้วยร่างที่แข็งทื่อนิ่งค้าง
“เขา…ข่าวลือเขาเล่ากันเช่นนี้หรือ”
“ใช่ แต่รายละเอียดมากกว่านั้นข้าก็ไม่รู้แล้ว เรื่องที่ไกลตัวเป็นหมื่นลี้ ใครจะสามารถพูดได้ถูกต้องจัดเจนที่สุดล่ะ นี่ หลิวเยว่ สีหน้าเจ้าดูไม่ดีเลย เจ้าเป็นอะไรหรือเปล่า”
ฉู่หลิวเยว่กลับมามีสติอีกครั้งและส่ายหน้า
“ข้าไม่เป็นไร ข้าก็แค่หลอมยานานเกินไป จึงเหนื่อยนิดหน่อย”
มู่หงอวี๋เริ่มเป็นห่วงขึ้นมาบ้าง
“ถ้าอย่างนั้นเจ้ายังฝืนต่อไปไหวหรือไม่ ข้าจะอยู่เป็นเพื่อนเจ้าเอง ดีไหม”
ฉู่หลิวเยว่ส่ายหน้า
“ไม่ต้องหรอก วันนี้เจ้ากลับไปพักผ่อนเถิด พรุ่งนี้ค่อยสืบเรื่องจี้อวี้หรงต่อไป”
“เอาอย่างนั้น…ก็ได้”
มู่หงอวี๋ก็เหนื่อยกับการวิ่งเต้นสืบสาวราวเรื่องทั้งวัน หลังจากที่ได้ยินฉู่หลิวเยว่พูดเช่นนั้น นางก็ลุกขึ้นและจากไป
เมื่อร่างของมู่หงอวี๋หายไปจากนอกประตู ในที่สุดฉู่หลิวเยว่ก็ค่อยๆ คลายกำมือของนางออก
เนื่องจากออกแรงมาไปจึงทำให้ฝ่ามือมีเลือดไหลออกมา
เมื่อครู่นี้…นางเกือบจะควบคุมความโกรธแค้นในใจไม่ได้แล้ว!
ธาตุไฟเจ้าแทรกจนตายอย่างนั้นหรือ
โศกาอาดูรอย่างนั้นหรือ
คนพวกนั้นทำได้ทุกอย่างจริงๆ!
บัญชีนี้…นางจะชำระคืนร้อยเท่าเลยคอยดู!