ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 194 ลายเมฆา
ตอนที่ 194 ลายเมฆา [รีไรท์]
ณ เมืองหลวงตี้ตู
ยามสารทฤดูที่อากาศกำลังเย็นสบาย
งานสมาคมเยาวชนหรืองานชุมนุมยุวชนผู้ภาคภูมิประจำปีได้เริ่มต้นขึ้นท่ามกลางความคาดหวังที่กระตือรือร้นของทุกคน
งานสมาคมเยาวชนจัดขึ้นร่วมกันระหว่างสามแคว้น และมีศักดิ์ศรีเป็นเดิมพันสูง
ผู้ที่สามารถมาที่นี่ได้คืออัจฉริยะรุ่นเยาว์อันดับต้นๆ ของแต่ละแคว้น
ดังนั้นในงานสมาคมเยาวชนจัดขึ้นในครั้งนี้ ทุกคนไม่เพียงแต่จะได้เห็นการแข่งขันที่ยอดเยี่ยมเท่านั้น ทั้งยังได้ชมการแข่งขันของยุวชนที่มีพรสวรรค์เหล่านี้อีกด้วย
นี่ไม่ใช่แค่การแข่งขันระหว่างสามสำนักเท่านั้น แต่ยังเป็นการประลองกันระหว่างสามแคว้นอีกด้วย!
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปีนี้ได้จัดขึ้นที่แคว้นเย่าเฉิน ศิษย์สำนักเทียนลู่ทั้งรุ่นน้อยใหญ่ต่างเต็มไปด้วยพลังและความตั้งใจที่จะทำผลงานยอดเยี่ยมที่สุดในงานสมาคมเยาวชน
ในช่วงเช้าตรู่ของภายในสำนัก นอกจากผู้ที่ต้องอยู่เฝ้าสำนักจำนวนเล็กน้อย คนที่เหลือส่วนใหญ่มารวมตัวกันเพื่อไปที่ลานจยาหนานในเมืองหลวงตี้ตู
ลานจยาหนานเป็นหนึ่งในลานที่มีชื่อเสียงที่สุดในเมืองหลวง ครอบคลุมพื้นที่กว้างขวาง ซึ่งปฐมกษัตริย์แคว้นเย่าเฉินเป็นผู้สร้างขึ้นมาด้วยตนเอง
ดังนั้นการแข่งขันที่สำคัญมากมายในเมืองหลวงมักจะจัดขึ้นที่นี่
แน่นอนว่างานสมาคมเยาวชนในครั้งนี้ก็เลือกที่จะจัดขึ้นที่นี่เหมือนกัน
หลังจากที่ฉู่หลิวเยว่และหลายคนในสำนักมาถึงพร้อมกันก็ถูกจัดให้อยู่ในพื้นที่พิเศษทันที
หลังจากที่นั่งลงในที่ของตนเองแล้ว ฉู่หลิวเยว่จึงมีโอกาสได้มองดูลานจยาหนานอันกว้างใหญ่ชัดๆ เต็มตา
ลานนี้มีลักษณะเป็นวงกลม โดยมีสนามประลองหินอ่อนสีขาวขนาดใหญ่อยู่ตรงกลาง ล้อมรอบด้วยที่นั่งเป็นวงกลมที่เพิ่มชั้นลดหลั่นขึ้นไป
เมื่อมองขึ้นไปแล้ว อย่างน้อยน่าจะจุคนได้ประมาณหนึ่งหมื่นคน
เวลานี้ที่นั่งต่างเนืองแน่นไปด้วยผู้คน
ทั้งบริเวณลานมีความคึกคัก และมีการพูดคุยและเสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ที่นั่งของพวกฉู่หลิวเยว่ไม่ได้อยู่บนขอบลานจยาหนาน กลับอยู่ข้างสนามประลอง
ฉู่หลิวเยว่เพ่งมองตำแหน่งทางด้านทิศตะวันออกที่วางเก้าอี้สีม่วงทองเอาไว้ กระนั้นทิศทางอื่นอีกสามทิศมีเพียงเก้าอี้ไม้จัดวางไว้เท่านั้น
เห็นได้ชัดว่าที่นั่งสีม่วงทองสงวนไว้สำหรับจยาเหวินตี้
โดยทั่วไปแล้ว จยาเหวินตี้จะไม่เสด็จมาในรอบแรก จะเสด็จมาเฉพาะในรอบชิงชนะเลิศเท่านั้น
การที่นำพระที่นั่งมาวางไว้ตอนนี้ ก็เพื่อเป็นการแสดงความเคารพต่อจยาเหวินตี้
ทุกคนต่างทราบดีว่าจยาเหวินตี้จะไม่เสด็จมาในวันแรกแน่นอน ดังนั้นบรรยากาศทั่วทั้งจลานจยาหนานจึงอบอุ่นและผ่อนคลายมาก
ส่วนเก้าอี้ที่วางอยู่ในอีกสามพื้นที่นั้นสงวนไว้สำหรับนักเรียนของแต่ละสำนักอย่างชัดเจน
เก้าอี้ในสองแถวแรกมีไว้สำหรับผู้อาวุโสและอาจารย์ของแต่ละสำนักนั่ง
นับจากแถวที่สามเป็นต้นไปเป็นของบรรดาลูกศิษย์ของแต่ละสำนัก
และลำดับนี้จากด้านหน้าไปด้านหลังจะจัดเรียงตามระดับชั้น
เนื่องจากพวกฉู่หลิวเยว่เป็นนักเรียนใหม่ ดังนั้นจึงได้นั่งด้านหลังสุดเป็นธรรมดา
ทว่าที่นั่งของนักเรียนใหม่ก็มีความพิเศษมากเช่นกัน
หมอเทวดานั่งด้านหน้าสุด ในขณะที่ผู้ฝึกยุทธ์นั่งที่ด้านหลังสุด
ส่วนฉู่หลิวเยว่นั่งตรงกลางในส่วนของปรมาจารย์
และมีชายหนุ่มหนึ่งคนนั่งอยู่ตรงที่นั่งด้านหน้าสุด
ชายหนุ่มดูอายุไม่เกินสิบห้าหรือสิบหกปี มีใบหน้าหล่อเหลาเกลี้ยงเกลา โดยเฉพาะอย่างยิ่งผิวที่ขาวมากเกินไปของเขา และดวงตาที่เปล่งประกายดูสดใส
สีหน้าของเขาดูเย่อหยิ่ง ไอเย็นยะเยือกแผ่ออกมาจากรอบกายเขา
ไม่ต้องคิดไปไกลก็รู้ว่าชายหนุ่มผู้นี้ก็คือเมิ่งเจ๋อเซียว ศิษย์หมอเทวดาคนใหม่ผู้มีพรสวรรค์ความสามารถมากที่สุดในรุ่น
เมิ่งเจ๋อเซียวไม่ใช่ชาวเมืองหลวงตี้ตู เขามีพื้นเพธรรมดา ทว่ากลับมีความสามารถมากและได้รับการยกย่องอย่างสูงในสำนัก
ได้ยินมาว่าเขาเป็นคนที่ขยันมาก หลังจากที่ฉู่หลิวเยว่เข้าเรียนในสำนักมาตั้งนาน วันนี้เป็นครั้งแรกที่ได้พบเจอเขา
แน่นอนว่านักเรียนหมอเทวดาเหล่านั้นต่างมีความทะนงตนอย่างมาก การฝึกฝนของพวกเขาค่อนข้างแตกต่าง การพบเจอตามปกติจึงมิใช่เรื่องง่าย
ดูเหมือนเมิ่งเจ๋อเซียวที่กำลังมองสนามประลองเงียบๆ จะรู้ตัวว่านางกำลังจ้องมองอยู่ เขาจึงหันหลังมามอง
ทั้งสองมองหน้ากัน ฉู่หลิวเยว่พยักหน้าทักทายอย่างสุภาพ แต่ท่าทางของเมิ่งเจ๋อเซียวกลับเปลี่ยนไปเล็กน้อย
ดูเหมือนว่า…มีการหยั่งเชิงเล็กน้อย?
ทางด้านฉู่หลิวเยว่เองก็ตกตะลึงที่เห็นเมิ่งเจ๋อเซียวหันกลับมามอง
“นี่ หลิวเยว่ เจ้ารู้จักเมิ่งเจ๋อเซียวด้วยหรือ”
ซือหยางที่อยู่ข้างๆ อดถามมิได้
ฉู่หลิวเยว่ส่ายหน้า
“ไม่รู้จัก”
“เจ้าดูสีหน้าเขาสิ ทำไมช่างดูแปลกพิลึก เขาเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์จั่วหรง เขาเป็นคนที่มีแนวโน้มมากที่สุดในภาคนี้ที่จะได้เป็นหมอเทวดาที่แท้จริง กระนั้นเขาก็มักจะหยิ่งผยองมากเชียวล่ะ!”
เมื่อได้ยินชื่อของจั่วหรง ฉู่หลิวเยว่ก็พอจะเดาอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
…เป็นไปได้หรือไม่ที่อาจารย์จั่วหรงจะเล่าเรื่องที่นางไปหอโอสถสวรรค์ให้กับเมิ่งเจ๋อเซียวฟังแล้ว ดังนั้นเขาถึงได้มีท่าทีเช่นนี้กับนาง
ขณะที่ฉู่หลิวเยว่กำลังครุ่นคิดอยู่นั้น เสียงที่ทุ้มอันทรงพลังก็ดังขึ้นในทันใด
“สำนักหนานเฟิงแห่งแคว้นไหวชังมาถึงแล้ว!”
เสียงนี้มีแฝงไปด้วยพลังปราณได้ดังก้องไปทั่วลานจยาหนานและเข้าไปในหูของทุกคนอย่างชัดเจน!
เกิดความโกลาหลขึ้นในฝูงชน และทุกคนต่างก็พากันมองไปที่นั่น
แล้วทุกคนจึงเห็นว่ามีกลุ่มคนที่แข็งแกร่งมาจากทางเข้าของลานจยาหนาน!
พวกเขาสวมเครื่องแบบสีน้ำเงิน โดยมีลายปักสีขาวสามเส้นที่หน้าอกด้านซ้าย
ผู้นำกลุ่มคนเหล่านี้คือผู้อาวุโสที่ดูมีอายุราวๆ ห้าสิบหกสิบปี มีผมหงอกทว่าดูใจดี โดยเฉพาะนัยน์ตาที่ไม่ขุ่นมัวเหมือนคนแก่ธรรมดาของเขายังคงสดใสชัดเจน แสดงว่าเขาพลังการบำเพ็ญที่สูงส่งมากเช่นกัน
ซุนจ้งเหยียนก้าวไปข้างหน้าทันทีเพื่อทักทายเขา ก่อนจะเอ่ยกลั้วหัวเราะ
“ฮ่าๆๆ! พี่อวิ๋นซาน พวกท่านมากันแล้ว!”
ใบหน้าของฝูอวิ๋นซานก็แสดงออกถึงความยินดีเช่นกัน
“พี่จ้งเหยียน ไม่เจอกันนานเลยนะ สบายดีหรือไม่”
ทั้งสองทักทายกันและดูเหมือนจะสนิทสนมกันมาก
“ได้ยินมาว่าพวกท่านมาถึงเมืองหลวงแล้วตั้งแต่เมื่อวาน ข้าอยากจะไปหาเหลือเกิน แต่ก็ไม่อยากรบกวนพวกท่านที่เดินทางมาเหน็ดเหนื่อย หวังว่าพี่อวิ๋นซานคงไม่ถือสา”
“ฮ่าๆ! แน่นอน! นี่ แล้วเหตุใดวันนี้จึงไม่เห็นผู้อาวุโสเยี่ยเหล่าล่ะ”
“ช่วงนี้หัวหน้าสำนักกำลังเก็บตัวบำเพ็ญเพียร ตอนนี้จึงยังไม่ออกมา ดังนั้นข้าจึงเป็นผู้รับผิดชอบงานสมาคมเยาวชนในครั้งนี้”
“เช่นนี้นี่เอง!”
แววความผิดหวังจางๆ ฉายผ่านดวงตาของฝูอวิ๋นซาน แต่ก็หายไปอย่างรวดเร็ว
“พี่อวิ๋นซาน ที่นั่งของพวกท่านอยู่ทางด้านนั้น เชิญ…”
ฝูอวิ๋นซานหัวเราะร่วน
“พี่จ้งเหยียนทำงานละเอียดรอบคอบเสมอมา เช่นนั้นพวกข้าขอตัวก่อน”
“ได้ๆๆ…”
ซุนจ้งเหยียนพยักหน้าเห็นด้วยทันที
จากนั้นฝูอวิ๋นซานก็พานักเรียนของตนไปยังตำแหน่งที่นั่งเฉพาะสำนักของเขาเท่านั้น
เมื่อพวกเขาเพิ่งจะนั่งลง ฉับพลันเสียงนั้นดังขึ้นอีกครั้ง
“สำนักไท่เหยี่ยนแห่งแคว้นซิงหลัวมาถึงแล้ว!”
ลานจยาหนานที่เคยเงียบสงัดกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง
ฉู่หลิวเยว่มองไปรอบๆ อย่างนึกสงสัย
ทำไมนางถึงรู้สึกว่าทั้งลานจยาหนานดูมีชีวิตชีวามากกว่าเมื่อก่อนหน้านี้เสียอีก
เมื่อกวาดสายตามองอย่างผิวเผินก็จะเห็นว่าหลายคนแสดงความตื่นเต้นและความคาดหวังไว้บนใบหน้าอย่างปิดไม่มิด
แม้แต่คนรอบข้างนางก็ยังดูตื่นเต้นเลย
นางหันไปมองซือหยางแล้วกระซิบถามว่า
“ทำไมหรือ สำนักไท่เหยี่ยนนี้มีอะไรพิเศษหรือ”
“เจ้าไม่รู้หรือ”
ซือหยางเบิกตาโต
“ได้ยินมาว่าในหมู่นักเรียนจากสำนักไท่เหยี่ยนที่มาในวันนี้ มีความงามอันดับหนึ่งของแคว้นซิงหลัว ซึ่งก็คือซือถูซิงเฉิน องค์หญิงใหญ่แห่งแคว้นซิงหลัว!”
เมื่อพูดจบเขาก็หันกลับไปมองพร้อมกับชี้นิ้วให้นางดู
“นู่น คนนู้น! ผู้ที่ยืนอยู่ด้านหน้าสุด สตรีที่งดงามที่สุดผู้นั้นอย่างไรเล่า!”
ฉู่หลิวเยว่หันไปตามสายตาของเขา ก่อนจะเห็นหญิงสาวผู้งดงามบริสุทธิ์ผุดผ่องจริงดั่งที่ว่า
นางมีรูปโฉมอันโดดเด่น และถึงแม้นางจะยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชน แต่นางก็ยังสามารถดึงดูดความสนใจของทุกคนได้ในทันที
ซือหยางเฝ้าดูอยู่ครู่หนึ่ง อดไม่ได้ที่จะมองย้อนกลับไปที่ฉู่หลิวเยว่พร้อมกับหัวเราะแปลก ๆ
“แหะๆ หลิวเยว่ ใครๆ ต่างก็กล่าวขานกันว่าองค์หญิงใหญ่แห่งแคว้นซิงหลัวงามล่มเมือง แต่ข้ากลับคิดว่ายังห่างกับเจ้าเล็กน้อย ถ้าหากเจ้าตั้งใจแต่งตัวสวยๆ ประณีตๆ ข้าว่าเจ้าชนะความสวยของนางแน่นอน!”
ฉู่หลิวเยว่เพียงเหลือบมองเขา และนางไม่คิดสนใจในเรื่องนี้
ทว่าครู่ต่อมา นางก็หันกลับมาอีกครั้ง และมองไปที่ซือถูซิงเฉินพร้อมกับหรี่ตาลงเล็กน้อย
เพราะว่าแขนเสื้อของซือถูซิงเฉินถูกปักด้วยลวดลายเมฆาแบบเดียวกันกับของ…หรงซิว