ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 203 ขุดหลุม
ตอนที่ 203 ขุดหลุม [รีไรท์]
“องค์หญิงสี่ ที่ท่านมาวันนี้มิใช่เพียงเพราะหยวนตันแตกซ่านหรอกหรือ?”
ฉู่หลิวเยว่พลันกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
มือหรงเจินค้างกลางอากาศโดยพลันพลางมองฉู่หลิวเยว่ด้วยความประหลาดใจ
“มีผู้ที่อยู่เบื้องหลังเจ้าจริงๆ ด้วย!”
นางรู้ดีว่าชีพจรของฉู่หลิวเยว่บกพร่องแต่กำเนิด หลังจากทิ้งร้างมาสิบกว่าปีกลับกลายเป็นอัจฉริยะภายในชั่วข้ามคืน นางไม่มีทางทำเรื่องพวกนี้ได้ตามลำพัง!
“บอกมา เป็นผู้ใด!”
คราวนั้นหมอเทวดาทั่วทั้งแคว้นเย่าเฉินล้วนจนปัญญากับชีพจรที่ไม่สมบูรณ์ของฉู่หลิวเยว่ แต่นางในยามนี้ยังดีดีอยู่เลยมิใช่หรือ?
เช่นนั้น ตราบใดตามหาคนผู้นั้นพบ หยวนตันของนางที่แตกซ่านไปจะต้องฟื้นคืนมาดังเดิม!
ฉู่หลิวเยว่มองสีหน้ารุ่มร้อนของหรงเจินพลางแอบยิ้มเยาะในใจ
หยวนตันแตกซ่าน เมื่อคิดดูแล้วสถานการณ์ยังน่าสังเวชกว่าชีพจรไม่สมบูรณ์เสียอีก
ชีพจรไม่สมบูรณ์แล้วอย่างไร ไม่ฝึกปราณก็พอแล้ว
แต่หยวนตันเกี่ยวกับผู้ฝึกปราณโดยตรง เพียงแตกซ่านก็ส่งผลต่อร่างกายอย่างยิ่งยวด
ที่สังเกตได้ชัดที่สุดก็คือยามที่หยวนตันแตกซ่าน จุดตันเถียนทั้งหมดก็จะเกิดความเสียหาย!
หากไม่มีตันเถียนที่สมบูรณ์ จากสวรรค์ถึงนรกก็ไม่อาจฟื้นหยวนตันกลับมาได้อีกครั้ง! นอกจากนี้ยังไม่อาจฝึกปราณได้อีก!
สถานการณ์หรงเจินในตอนนี้ เห็นได้ชัดว่าเป็นเช่นนี้
หากเป็นนางในชาติก่อนก็ใช่ว่าจะไม่มีหนทาง
ทว่าเวลานี้ อย่าว่าแต่นางทำไม่ได้เลย เพราะแม้จะทำได้ นางก็มิอาจช่วยหรงเจิน!
ฉู่หลิวเยว่เคลื่อนสายตาราวกับกำลังลังเล
“คือ…เรื่องนี้พูดยาก…”
เมื่อหรงเจินเห็นนางเป็นเช่นนี้ก็มั่นใจแล้วว่าฉู่หลิวเยว่ต้องรู้จักผู้วิเศษ เพียงแต่ไม่อยากบอกตัวเอง!
“รีบบอกมา! ขอเพียงหยวนตันของข้าฟื้นคืนมา ต่อไปจะเป็นผลดีต่อเจ้าในภายภาคหน้า!”
ฉู่หลิวเยว่ได้ยินแล้วก็อยากจะหัวเราะ
หรงเจินถูกตามใจจนเสียนิสัยแท้ๆ คิดว่าพูดง่ายๆเพียงประโยคสองประโยคเช่นนี้ก็สามารถข่มขู่นางได้
ผลดี?
นางเองก็ไม่ได้คิดถึงเรื่องเหล่านี้ ตอนนี้นางกลายเป็นคนพิการ ไม่ได้รับความโปรดปราณจากจยาเหวินตี้มานานแล้ว นอกจากนี้องค์รัชทายาทก็โดนลดบทบาทอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมานี้ สถานการณ์ยิ่งแย่ไปกันใหญ่
นางไม่มีสิทธิทำตัวเกรี้ยวกราดมาตั้งนานแล้ว แต่กลับยังคิดว่าตนสำแดงฤทธิ์เดชได้
ฉู่หลิวเหย่เม้มริมฝีปากเหมือนผ่อนคลายลงเล็กน้อย
“องค์หญิงสี่ มิใช่ว่าหม่อมฉันไม่อยากบอก เพียงแต่ …เพียงแต่ว่า หม่อมฉันก็ไม่รู้ว่าคนผู้นั้นเป็นใคร…”
“เหลวไหล! ในเมื่อคนผู้นั้นรักษาเจ้าจนหาย เจ้าจะไม่รู้เชียวหรือว่าคนผู้นั้นเป็นใคร!?” หรงเจินเดินมาบีบคอฉู่หลิวเยว่ด้วยใบหน้าอำมหิต “เจ้ากล้ายั่วองค์หญิงเช่นข้างั้นหรือ!?”
ฉู่หลิวเยว่ฉายแววตาเอือมระอา ควบคุมตัวเองเพื่อเลี่ยงการกระทำโดยอารมณ์ชั่ววูบของนาง ขยับร่างเล็กน้อยเพื่อลดแรงปะทะ
“องค์หญิงสี่ ท่านอย่าได้เข้าใจผิด ที่หม่อมฉันพูดไปทั้งหมดคือเรื่องจริง! แคกแคก…อันที่จริงหม่อมฉันก็ไม่เคยพูดเรื่องนี้กับผู้ใดมาก่อน หากองค์หญิงอยากรู้ หม่อมฉันก็จะพูด! แคกแคก!”
เมื่อเห็นฉู่หลิวเยว่เริ่มไอจนหน้าแดง หรงเจินก็ผลักนางออกอย่างแรง
“พูด!”
ฉู่หลิวเยว่ไออยู่หลายครั้งก่อนจะดีขึ้นมาแล้ว นางกล่าวติดๆ ขัดๆ
“…องค์หญิงสี่เพคะ อันที่จริงเรื่องนี้เริ่มมาจากตอนที่ฉู่เซียนหมิ่นส่งคนมาลอบสังหารหม่อมฉัน วันนั้นนางส่งคนมาจับตัวหม่อมฉันไปในป่าเขาที่ริมเขตเมืองหลวง…”
“ช่วงที่กำลังคิดว่าหม่อมฉันตายไปแล้ว จู่ๆ ก็มีคนชุดดำปรากฏตัว หม่อมฉันมองไม่เห็นหน้าค่าตาและรูปร่างของอีกฝ่าย แต่น้ำเสียงคล้ายคนแก่…เขาช่วยหม่อมฉันไว้และยังป้อนผลึกยาให้หม่อมฉันหนึ่งเม็ด ตอนนั้นหม่อมฉันไม่รู้ว่านั่นคืออะไร แต่หลังจากกลับไปก็พบว่าชีพจรในกายฟื้นคืนมา!”
“…ต่อจากนั้น องค์หญิงก็รู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นอยู่แล้ว”
หรงเจินฟังจบก็ขมวดคิ้วแน่น
“ที่เจ้าพูดมาเป็นเรื่องจริงอย่างนั้นหรือ? เจ้าไม่รู้จักคนผู้นั้น แล้วคนผู้นั้นจะช่วยเจ้าได้อย่างไร?”
ฉู่หลิวเยว่หัวเราะอย่างขมขื่น
“หม่อมฉันก็ไม่รู้ หลังจากนั้นหม่อมฉันก็ไม่เคยเจอเขาอีกเลย เดิมทีหม่อมฉันก็อยากไปกล่าวขอบคุณเขาสักครา แต่หาอย่างไรก็หาไม่พบ ที่หม่อมฉันพูดคือเรื่องจริงทั้งหมด ถ้าองค์หญิงสี่ไม่เชื่อ…หม่อมฉันก็จนปัญญา เรื่องพวกนี้โป้ปดไปก็ไม่มีความหมายอะไร”
หรงเจินหน้าถอดสี นางเงียบอยู่นานพลางคิดทบทวนคำพูดของฉู่หลิวเยว่ไม่หยุดหย่อน
แม้ฟังดูซับซ้อนซ่อนเงื่อนเกินไป แต่หากไม่เป็นเช่นนี้ ชีพจรของฉู่หลิวเยว่จะดีขึ้นได้อย่างไร?
“ข้าจำได้ว่าหลังจากเจ้ากลับตระกูลฉู่ตอนนั้น ดูเหมือนว่าเจ้าจะซื้อสมุนไพรมาจากร้านเจินเป่าเก๋อหลายอย่าง? เกิดอะไรขึ้นกับของเหล่านั้น?”
ฉู่หลิวเยว่ยังคงมีสีหน้าดังเดิม :
“หลังจากที่คนผู้นั้นช่วยเหลือข้าในยามนั้น เขายังมอบตำรับโอสถให้หม่อมฉันเก็บไว้ ตอนแรกหม่อมฉันก็ไม่รู้ว่านั่นคืออะไร ต่อมาเพิ่งตระหนักได้ว่านั่นอาจจะเป็นยาปรับสภาพร่างกาย หากท่านไม่เชื่อก็ลองไปถามที่ร้านเจินเป่าเก๋อได้ว่าจริงหรือเท็จ”
“องค์หญิงเช่นข้าไม่ไปสถานที่เช่นนั้น!”
เมื่อเอ่ยถึงเจินเป่าเก๋อ หรงเจินก็โมโหเป็นฟืนเป็นไฟ!
เห็นๆ อยู่ว่าเขตล่าสัตว์ของร้านเจินเป่าเก๋อมีเรื่องเกิดขึ้น แต่พระราชบิดากลับไม่มีความคิดที่จะลงโทษพวกเขาเลยแม้แต่น้อย!
ลมหายใจนี้ นางยังไม่ได้กลืนลงไปมาจนถึงบัดนี้!
นางกลับมาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถามต่อ :
“เจ้าบอกข้ามาซิว่าในตอนนั้นคนผู้นั้นปรากฏตัวอยู่ที่แห่งใด!”
ฉู่หลิวเยว่ขมวดคิ้ว :
“ตอนนั้นหม่อมฉันหมดสติแล้วถูกพาตัวไป ดังนั้น หม่อมฉันจึงไม่ค่อยแน่ใจว่าเป็นที่ใดกันแน่…”
“เร็วๆ!”
หรงเจินใช้เท้าถีบไปที่หน้าท้องฉู่หลิวเยว่ นางหดตัวแสร้งทำเป็นหวาดกลัว ลูกถีบนี้จึงหล่นมาที่ต้นขาของนางแทน
ฉู่หลิวเยว่ถอยหลังล้มลงไปชนกับโต๊ะ ถ้วยชาที่วางอยู่บนนั้นร่วงลงกับพื้นจนเกิดเสียงดัง
หรงเจินหยิบพู่กันและกระดาษที่อยู่ข้างๆเขวี้ยงใส่หน้าฉู่หลิวเยว่ด้วยความหยาบคาย!
“วาดสถานที่นั้นออกมา! ถ้าวาดไม่ได้ เจ้าอย่าได้คิดที่จะออกจากประตูนี้!”
ดวงตาฉู่หลิวเยว่ฉายไอสังหารเย็นเยียบและหายวับไปกับตา
“ได้ ข้าจะเขียน!”
ระหว่างที่พูด นางก็ขยับข้อมือที่โดนผูกไว้ข้างหลัง
“แต่ว่า ช่วยแกะให้ข้าก่อนได้หรือไม่? มิเช่นนั้นข้า…”
หรงเจินขยิบตาให้คนข้างๆ
ฉู่หลิวเยว่สัมผัสได้ถึงความเย็นที่ข้อมือ และทันใดนั้นเชือกก็คลายออกอย่างไร้สุ้มเสียง
นางหลุบตามองปราดเดียวก็พบว่าข้อมือถูกรัดจนเป็นรอยแดง
นางหยิบพู่กันและกระดาษที่ตกอยู่ข้างๆขึ้นมา เริ่มวาดไปทีนิด
เริ่มจากป่าอันเขียวชอุ่มและแม่น้ำที่คดเคี้ยว…
ฉู่หลิวเย่วก้มศีรษะลง หรงเจินจึงมองไม่เห็นสีหน้าท่าทางของนางในเวลานี้
พู่กันตวัดอย่างเฉียบคม ฉู่หลิวเยว่เคลื่อนไหวอย่างเชื่องช้า ทว่าภูมิทัศน์ป่าเขาลำเนาไพรนอกเมืองหลวงกลับแวบผ่านเข้ามาในหัวนางอย่างรวดเร็ว
นับตั้งแต่เกิดใหม่ นางก็ได้ศึกษาป่าเขาลำเนาไพรแถบนั้นมาโดยเฉพาะ
ในที่สุดพู่กันก็หยุดอยู่ที่แห่งหนึ่ง
หากจำไม่ผิดล่ะก็ สถานที่แห่งนี้ดูเหมือนจะเป็น…
นางจิ้มเบาๆ โดยทิ้งหมึกหนักๆ ไว้บนนั้นหนึ่งจุด
“ก็คือตรงนี้”