ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 249 ช่วยเหลือ
ตอนที่ 249 ช่วยเหลือ [รีไรท์]
หรงซิวชะงักฝีเท้า แล้วหันกลับไปมอง
เมื่อเห็นซือถูซิงเฉิน แววตาของเขาก็มีประกายความสงสัยออกมาอย่างชัดเจน
“เจ้าคือ…“
ซือถูซิงเฉินแข็งค้างราวกับโดนสาดน้ำเย็น เดิมทีนางรู้สึกตื่นเต้นดีใจอย่างมาก แต่ทันใดนั้นมันก็เย็นลงทันที
แต่นางยังคงสามารถรักษารอยยิ้มเอาไว้ได้
“ศิษย์พี่หรงซิว ข้าคือซิงเฉินเอง”
หรงซิวหรี่ตาลง ราวกับว่ากำลังทบทวนความทรงจำว่าแม่นางคนที่อยู่ตรงหน้าคือใคร?
เยี่ยนชิงที่อยู่ด้านหลังก็กระซิบเสียงเบาว่า
“องค์ชาย นางคือหลานสาวของผู้อาวุโสจงเยี่ยพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ แววตาของหรงซิวก็กระจ่างขึ้นทันที
“ที่แท้ก็เป็นองค์หญิงใหญ่ซือถูนี่เอง”
เมื่อซือถูซิงเฉินเห็นปฏิกิริยาของเขา เหมือนว่าเขาจำนางไม่ได้จริงๆ หัวใจของนางก็รู้สึกเย็นเยียบอย่างมาก
อีกทั้งน้ำเสียงที่ห่างเหินนั้น ทำให้นางต้องรู้สึกเจ็บปวดหัวใจมากกว่าเดิม
ตั้งแต่ที่รู้ว่างานสมาคมเยาวชนครั้งนี้จัดขึ้นที่แคว้นเย่าเฉิน นางก็จินตนาการภาพที่พวกเราทั้งสองคนได้พบกันอยู่ตลอด
นางจินตนาการมานับครั้งไม่ถ้วน แต่นางก็คิดไม่ถึงว่า เรื่องมันจะเป็นเช่นนี้
คาดไม่ถึงว่าเขาจะจำนางไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
นางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ และกดความเสียใจลงอย่างยากลำบาก
ความจริงแล้วพวกเขาก็ไม่ได้เจอกันมาสองปี ตอนนี้นางก็ไม่ค่อยเหมือนเดิมแล้ว เขาจะมองไม่ออกก็เป็นเรื่องปกติ
หลังจากที่ปลอบใจตัวเองเช่นนี้แล้ว การแสดงออกของนางก็ค่อยๆ กลับมาเป็นปกติ
“ไม่ได้เจอกันนานเลย ท่าทางของศิษย์พี่หรงซิวดูดีขึ้นมากเลย”
หรงซิวไอเบาๆ รอยยิ้มอ่อนโยน แต่แววตาของไม่ได้มีประกายรอยยิ้ม มันยังคงเย็นชาอยู่เช่นเดิม
“องค์หญิงใหญ่ซือถูกล่าวชมกันเกินไปแล้ว ข้าสุขภาพร่างกายอ่อนแอ จึงไม่สามารถรับคำชมเช่นนี้ได้”
ซือถูซิงเฉินลังเลอีกครั้ง
นางรู้ดีว่าเขาไม่ได้อ่อนแอและไร้กำลังอย่างที่แสดงออกมา
ก่อนหน้านี้นางเคยเห็นด้วยตาตนเองว่าเขามีความสามารถและโดดเด่นมากเพียงใด
แต่เห็นได้ชัดว่านางไม่ควรจะพูดออกไปในตอนนี้
แววตาทั้งสองข้างของนางมีประกายฉ่ำน้ำ และพูดขึ้นเสียงเบาว่า
“ศิษย์พี่หรงซิวเรียกข้าเช่นนี้ เกรงว่าจะเป็นการเกรงใจกันเกินไปแล้ว ในเมื่อพวกเราต่างเป็นศิษย์สำนักเดียวกัน ศิษย์พี่หรงซิวเรียกข้าว่า…“
“คำพูดขององค์หญิงใหญ่ซือถูช่างแตกต่างยิ่งนัก”
หรงซิวพูดตัดบทเสียงเรียบ ริมฝีปากยังคงประดับรอยยิ้ม แต่ท่าทางดูเย็นชาขึ้นเล็กน้อย
“เจ้าเป็นหลานสาวของผู้อาวุโสจงเยี่ย ข้าเองก็เคารพผู้อาวุโสจู๋อิ่งมาก ที่หมิงเยว่เทียนซานมีผู้อาวุโสทั้งหมดแปดคน และต่างยึดครองยอดเขาของตนเอง ยิ่งไปกว่านั้น หลายปีมานี้ผู้อาวุโสทั้งสองคนปิดด่านฝึกอย่างขยันหมั่นเพียร จึงไม่ได้พูดคุยกันมากนัก คำว่า “ศิษย์สำนักเดียวกัน” ก็ไม่ควรนับ ส่วนคำว่า “ศิษย์พี่” องค์หญิงใหญ่ซือถูก็ควรจะเปลี่ยนสรรพนาม”
เมื่อได้ยินถึงตรงนี้ ทุกคนที่อยู่รอบข้างก็เข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง
เดิมทีพวกเขาทั้งสองคนมาจากหมิงเยว่เทียนซาน ไม่ได้ติดตามอาจารย์คนเดียวกัน
เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ไม่ได้นับว่าเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องกันจริงๆ
และยิ่งไปกว่านั้น ทุกคนก็ต่างมองออก แม้ว่าคำพูดของหรงซิวนั้นจะดูเกรงใจ แต่ท่าทางการกระทำนั้นล้วนชัดเจนว่าไม่ต้องการจะยุ่งเกี่ยวกับซือถูซิงเฉินผู้นี้
ซือถูซิงเฉินผู้นี้โดนปฏิเสธจนทำอะไรไม่ถูกแล้ว
“ศิษย์พี่…”
ซือถูซิงเฉินคิดไม่ถึงว่าหรงซิวจะตัดความสัมพันธ์กับนางได้อย่างง่ายดายเช่นนี้ ตอนนั้นเองนางก็ไม่รู้ว่าควรจะตอบว่าอันใดต่อ
ด้วยฐานะของนางที่โดดเด่นตั้งแต่เด็ก ไม่ว่าจะหน้าตาหรือพรสวรรค์
เสด็จพ่อ เสด็จแม่ พวกพี่ชาย และคนอื่นๆ มากมาย ก็ต้องพะเน้าพะนอเอาใจนาง
โดยเฉพาะเด็กผู้ชาย เมื่อเจอหน้านางก็จะมือไม้อ่อนกันทั้งนั้น และใส่ใจดูแลนางให้ความสำคัญกับนางมาตลอด
นางคุ้นเคยกับการเป็นที่ต้องการของผู้คน คาดไม่ถึงว่าหรงซิวจะทำกับนางเช่นนี้ นางจึงไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อ
ทันทีที่นางจะขยับปากพูด ก็เห็นสายตาที่ราบเรียบของหรงซิว
นางจึงต้องหุบปากลงอย่างไม่รู้สึกตัว ใบหน้าที่สง่างามของนาง เดี๋ยวแดงเดี๋ยวซีด
หรงซิวเองก็เหมือนจะมองไม่เห็นความลำบากใจของนางเลย เขาหมุนตัวออกไปแล้วเดินไปที่สำนักเทียนลู่
เยี่ยนชิงเหลือบไปมองซือถูซิงเฉินเล็กน้อย ในใจก็ไว้อาลัยให้องค์หญิงใหญ่อย่างเงียบๆ
มาชอบนายท่านของเขาก็ไม่ผิด แต่ล่วงเกินคนในใจของนายท่านแล้ว นายท่านยังจะไว้หน้าท่านได้อย่างไร?
ในช่วงเวลาที่กลับมาเมืองหลวง นายท่านก็ทำความเข้าใจกับเรื่องที่อยู่รอบๆ ตัวของคนผู้นั้นไปรอบหนึ่งแล้ว และได้ยินเรื่องการกระทำที่น่าอับอายขององค์หญิงใหญ่ซือถูมาเรียบร้อยแล้ว
นายท่านมองผ่านครั้งเดียวก็จำได้ ไม่ว่าจะมองตัวหนังสือหรือหน้าคน เขาสามารถจำได้อย่างชัดเจน
แต่การกระทำเมื่อครู่นี้ เป็นการสร้างความลำบากใจให้กับนางเท่านั้นเอง
เมื่อเห็นแผ่นหลังที่เดินจากไปของหรงซิว ร่างสูงใหญ่ เย็นชาและห่างเหิน
ซือถูซิงเฉินถอยหลังอย่างสติหลุดไปสองก้าว เป็นเวลานานหลังจากนั้นกว่าจะสติกลับคืนมา
…
“หรงซิว เจ้ามาได้อย่างไร?”
เมื่อเห็นหรงซิว ซุนจ้งเหยียนและคนอื่นๆ ก็ประหลาดใจอย่างมาก
เมื่อวันก่อนเขาเพิ่งบอกว่ามีเรื่องที่จะต้องจัดการ จึงขอตัวออกจากสำนักมาก่อน คิดไม่ถึงว่าเขาจะกลับมาในวันนี้ แล้วยังตรงมาที่นี่ด้วย
ซุนจ้งเหยียนจึงถามอย่างกังวลใจ
“สุขภาพของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?”
หรงซิวส่งยิ้มจางๆ พร้อมส่ายหน้าให้
“ผู้อาวุโสซุนโปรดวางใจ ข้าสบายดีมาก เพียงแค่มีเรื่องเล็กน้อยที่ต้องการคุณหนูหลิวเยว่มาช่วยเหลือเท่านั้น ดังนั้นจึงต้องมาที่นี่โดยเฉพาะ”
ทันทีที่คำพูดเหล่านี้หลุดออกไป ไม่เพียงแต่ผู้อาวุโสซุนเท่านั้น แม้แต่กระทั่งคนอื่นๆ ที่อยู่รอบข้างก็ต่างตกใจกันทั้งหมด
คุณหนูหลิวเยว่?
นั่นกำลังพูดถึงฉู่หลิวเยว่หรอกหรือ?
หลีอ๋องที่ยิ่งใหญ่ มีเรื่องอะไรที่ต้องการให้ฉู่หลิวเยว่ช่วยเหลือกัน?
ในใจของผู้อาวุโสซุนเองรู้สึกสงสัยอย่างมาก แต่เขาไม่ได้เอ่ยถามพลางพยักหน้า
“เด็กคนนั้นกำลังแข่งขันอยู่น่ะ เกรงว่าอีกครู่ใหญ่ๆ กว่าจะเสร็จ”
หรงซิวยิ้มบางๆ
“ไม่มีปัญหา ข้ารออยู่ที่นี่ได้”
เมื่อพูดจบเขาก็หาที่นั่ง เพื่อนั่งรออีกฝ่ายอย่างเงียบๆ
เยี่ยนชิงก็เข้าไปยืนอยู่ด้านหลังของเขา ท่าทางเคร่งขรึมจริงจัง เหมือนกับเป็นภูเขาน้ำแข็งลูกหนึ่ง
ดังนั้นทำให้สาวน้อยใหญ่ที่คิดเรื่องหลีอ๋องที่อ่อนแอก็สงบปากสงบคำลงไปมาก
ดูๆ ไปแล้วหลีอ๋องดูนิสัยดีอย่างมาก แต่องครักษ์ที่เย็นชาคนนั้น…ดูเหมือนว่าอย่าไปยั่วยุเลยจะดีกว่า!
หรงซิวเมินเสียงและสายตารอบข้าง พร้อมหันไปมองการแข่งขันในสนามอย่างตั้งใจ ราวกับว่ากำลังรอให้การแข่งขันนี้จบอย่างอดทน
แต่สถานการณ์เช่นนี้ จึงทำให้มีเสียงซุบซิบนินทาดังเพิ่มขึ้นอย่างลับๆ
“หลีอ๋องกับฉู่หลิวเยว่รู้จักกันได้อย่างไร? แล้วมีเรื่องอะไรที่ต้องการให้นางช่วย”
“ใครจะไปรู้เล่า? หลีอ๋องมีฐานะสูงส่ง พวกเราจะไปสืบหาข้อเท็จจริงได้อย่างไร?”
“หรือว่าหลีอ๋องกับฉู่หลิวเยว่ ได้ยินมาว่างานเลี้ยงวันเกิดขององค์รัชทายาทเมื่อก่อนหน้านี้ หลีอ๋องก็เคยช่วยนางให้หลุดพ้นจากวงล้อม”
“จะเป็นไปได้อย่างไร? นั่นต้องเป็นเพราะหลีอ๋องจิตใจดีอย่างมากแน่นอน อย่างฉู่หลิวเยว่จะมีสิทธิอะไรที่ได้รับความโปรดปรานจากหลีอ๋อง? ตอนนี้นางไม่ใช่ลูกสาวตระกูลขุนนางอีกต่อไปแล้ว…”
“แต่ว่าพ่อของนาง ฉู่หนิง ได้เลื่อนขั้นเป็นหัวหน้าองครักษ์ส่วนพระองค์แล้วนะ! แล้วยิ่งไปกว่านั้นนางมีพรสวรรค์ขนาดนี้ หลังจากจบงานสมาคมเยาวชนนี้ไป เกรงว่าฉู่หลิวเยว่จะได้รับความนิยมมากขึ้นแล้ว!”
“ข้าว่ามันเป็นไปไม่ได้…”
ซือถูซิงเฉินเองก็เห็นฉากนี้เช่นกัน
จิตใจของนางก็ยากจะกลับมาคงสภาพดังเดิม
นางกำแขนเสื้อของตนเองไว้แน่น และใช้ความพยายามอย่างมากที่จะควบคุมตัวเองไม่ให้โพล่งถามออกไป
คนอื่นไม่รู้ แต่นางกลับรู้ดี!
พรมแดนไวฑูรยะที่นางใช้ก่อนหน้านี้ เป็นของหรงซิว