ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 251 ลงมือ
ตอนที่ 251 ลงมือ [รีไรท์]
ฉู่หลิวเยว่คว้าชัยชนะมาได้ในช่วงวินาทีสุดท้าย นางสามารถทะลวงด่านสุดท้ายได้สำเร็จ กลายเป็นผู้เข้าแข่งเพียงคนเดียวที่สามารถทะลวงค่ายกลทั้งหมดได้สำเร็จ
เมื่อมองไปที่ดวงดาวทั้งห้าที่อยู่ด้านหน้าของนาง ทุกคนก็ต่างมีปฏิกิริยาที่ต่างกันออกไป
บางคนตกใจ บางคนประหลาดใจ บางคนดีใจ บางคนอารมณ์เสีย
แต่ในใจของพวกเขาเหล่านั้น ล้วนไม่อยากจะเชื่อในฝีมือของฉู่หลิวเยว่ ต้องบอกก่อนเลยว่า ตั้งแต่นางเริ่มแข่งมาจนถึงตอนนี้ นางใช้เวลาไปเพียงหนึ่งชั่วยามเท่านั้น แต่นางก็สามารถทะลวงค่ายกลทั้งห้าได้ ต่อให้มีคนสงสัยเกี่ยวกับตัวของนาง แต่ก็ต้องยอมรับว่านางนั้นมีพรสวรรค์เป็นเลิศจริงๆ เรียกได้ว่าหาจับตัวได้ยาก
ฉู่หลิวเยว่ลุกขึ้นยืนพร้อมมองไปยังซูไป๋อย่างเกรงใจ
“ออมมือแล้ว”
ซูไป๋หัวเราะอย่างขมขื่น
“ออมมือ?” ให้แม่นางที่ไหนกัน?
“ข้ายอมแพ้แล้ว แพ้ทั้งตัวและหัวใจ”
ซูไป๋กลับยอมรับอย่างตรงไปตรงมา สูดลมหายใจเข้าลึกๆ และทำความเคารพฉู่หลิวเยว่
ความจริงแล้วตั้งแต่ตอนที่ฉู่หลิวเยว่สามารถปกป้องกระดานของตัวเองได้อย่างสมบูรณ์แบบ เขาก็ได้ยอมแพ้แล้ว
ฉู่หลิวเยว่แข็งแกร่งกว่าที่เขาคิดไว้มากนัก!
ทุกคนมองฉากนี้อย่างอึ้งๆ
ซุนจ้งเหยียนกลับเป็นคนแรกที่ได้สติขึ้นมา หัวใจของเขาเต้นแรงมาก
“ขอข้าประกาศว่าผู้ชนะของงานสมาคมเยาวชนปรมาจารย์ค่ายกลคือ ฉู่หลิวเยว่จากสำนักเทียนลู่!”
ทุกคนได้ยินประโยคคำพูดที่เหมือนกับเมื่อวานอีกครั้ง
แต่ไม่มีใครคาดคิดว่าหลังจากที่ฉู่หลิวเยว่ได้ที่หนึ่งของประเภทการต่อสู้แล้ว ประเภทปรมาจารย์ค่ายกลก็ยังได้ที่หนึ่งด้วยเช่นกัน
“ไอ้โรคจิตน่าตายนั่นจะไม่ปล่อยให้คนอื่นได้มีทางเดินบ้างเลยหรือ”
ซือหยางพูดขึ้น
เขามีความรู้สึกว่าระยะห่างของเขากับฉู่หลิวเยว่จะห่างกันมากขึ้นเรื่อยๆ
ไม่ใช่แค่เขาเท่านั้น แต่เป็นคนที่อยู่ที่นี่ทุกคน
คนแบบนี้เกิดมาเพื่อให้คนอื่นอิจฉาใช่หรือไม่?
ในที่สุดมู่หงอวี่ก็ถอนหายใจออกมา พร้อมตะโกนขึ้นอย่างตื่นเต้นดีใจ
จนถึงตอนนี้การแข่งขันสองประเภทของงานสมาคมเยาวชน สำนักเทียนลู่ของพวกเขาสามารถคว้าที่หนึ่งมาได้ทั้งหมดเลย และที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นเป็นฉู่หลิวเยว่ที่ชนะด้วย
ในครั้งนี้ถือว่านางเป็นคนที่โดดเด่นที่สุดในงานเพียงคนเดียวแล้วล่ะ
ตรงกันข้ามสำนักอีกสองสำนัก กลับมีบรรยากาศมืดมน
เมื่อเซิ่นอีหมิงได้ยินประกาศเช่นนั้นจากซุนจ้งเหยียน ในที่สุดเขาก็ทนไม่ได้อีกต่อไปเลือดในกายพุ่งพล่าน ตาดำพลิกไปด้านบนแล้วหมดสติลงทันที
ซีหว่านหว่านรีบเข้าไปพยุงเขาทันที
“อีหมิง…อีหมิง! เจ้าเป็นอันใด”
ฝูอวิ๋นซานเหลือบสายตามามองเขาแล้วรู้สึกรำคาญใจ และผิดหวังเล็กน้อย
“เขาเพียงทนไม่ไหวแล้วสลบไปเท่านั้น เจ้าพาเขาไปพักผ่อนให้ดีเถอะ”
ต่อให้แพ้ต่อให้คนอื่นก็แล้วไปเถอะ แต่เหตุใดถึงต้องมาเป็นแพ้ฉู่หลิวเยว่ ช่างน่าอับอายอย่างยิ่ง!
นิสัยแบบนี้ของเซิ่นอีหมิง เขาจะต้องปรับเปลี่ยนมันเสียหน่อย…
“อ่า…อื้อ เจ้าค่ะศิษย์จะพาไปเดี๋ยวนี้!”
ในใจของซีหว่านหว่านรู้สึกเป็นห่วงเซิ่นอีหมิงอย่างยิ่ง จึงไม่ทันได้สังเกตความไม่พอใจบนใบหน้าของฝูอวิ๋นซาน
นางรีบโบกมือให้คนที่อยู่ข้างๆ ช่วยนางแบกเซิ่นอีหมิงออกไปทันที
แต่ตอนที่นางกำลังจะหมุนตัวกลับไป นางกลับได้ยินเสียงเรียกที่ดังคุ้นหูขึ้นมา
“ช้าก่อน…”
หัวใจของซีหว่านหว่านกระตุกวูบจึงหยุด และหันกลับไปมองทันที
ฉู่หลิวเยว่เอามือกอดอกแน่นพร้อมส่งรอยยิ้มให้นาง เพียงแต่ว่ารอยยิ้มที่ว่านั่นกลับทำให้ซีหว่านหว่านรู้สึกย่ำแย่กว่าเดิมเท่านั้น
ซีหว่านหว่านหลบสายตาของฉู่หลิวเยว่อย่างรู้สึกผิด แล้วถามอย่างไม่ค่อยมั่นใจ
“เจ้ากำลังเรียกข้าหรือ?”
ฉู่หลิวเยว่หัวเราะเบาๆ แล้วพยักหน้า
“แน่นอนทางนี้มีเรื่องนิดหน่อยจึงต้องการคำอธิบายจากเจ้า”
ตอนนั้นเองซีหว่านหว่านรู้สึกตื่นตระหนกอย่างมากหรือว่า ฉู่หลิวเยว่ต้องการเปิดเผยเรื่องเหล่านั้นต่อหน้าผู้คน
ไม่นะ!
ตอนที่นางทำไม่มีใครรู้สึกหรือจับได้เลย ไม่มีใครพบแน่นอนอีกทั้งของเหล่านั้นก็ไม่เหลือร่องรอยหลักฐาน ต่อให้ซุนจ้งเหยียนที่เป็นปรมาจารย์ระดับห้าก็ไม่มีทางพบสิ่งผิดปกติแน่นอน
แม้กระทั่งซือถิงก็ยังต้องยอมรับมันอย่างจำใจไม่ใช่หรือ?
จิตใจของซีหว่านหว่านสงบลงเล็กน้อย จากนั้นก็หัวเราะออกมาอย่างฝืนๆ
“หา? ไม่ทราบว่ามีเรื่องอะไรหรือ หากไม่ใช่เรื่องเร่งด่วนละก็ เดี๋ยวเราค่อยคุยกันดีหรือไม่ ตอนนี้อีหมิงกำลังสลบอยู่พวกเราจะต้องพาตัวเขากลับอย่างเร็วที่สุด“
“ไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใด ครู่เดียวก็เสร็จแล้ว”
ฉู่หลิวเยว่พูดขึ้นจากนั้นก็หันไปมองหน้าซือถิง
“ซือถิง เมื่อครู่ตอนที่เจ้าแข่งขันก็เป็นไปด้วยดีมาโดยตลอด แต่เหตุใดจู่ๆ กระดานของเจ้าถึงระเบิดออกมาได้?”
ซือถิงชะงักไปครู่หนึ่งคิดไม่ถึงว่าฉู่หลิวเยว่จะพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา
เขาเม้มริมฝีปาก หากไม่มีหลักฐานต่อให้เป็นคำพูดที่ตรงประเด็นมันก็ไม่มีประโยชน์ อีกทั้งจะเป็นการลากฉู่หลิวเยว่ลงน้ำมาพร้อมกัน
เมื่อได้ยินฉู่หลิวเยว่เรียกซือถิง มุมปากของหรงซิวก็ยกขึ้นเป็นรอยยิ้มกึ่งยิ้มกึ่งไม่ยิ้ม คาดไม่ถึงว่าเรื่องเล็กๆ เช่นนี้ยังช่วยคนอื่นออกหน้าอีก…
เยี่ยนชิงตัวสั่นเทาขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ ตอนนั้นเองเขาก็รู้สึกถึงไอเย็นที่แผ่ออกมาจากตัวของนายท่าน เขารีบก้มหน้าก้มตาทันที แล้วลดการมีอยู่ของตัวเองอย่างเงียบๆ
ฉู่หลิวเยว่หยิบกระดานที่ซือถิงใช้ก่อนหน้านี้ขึ้นมา
“ข้าดูของสิ่งนี้แล้ว รู้สึกว่ามันมีสิ่งผิดปกติไป”
ทันใดนั้นเองก็มีความคิดหนึ่งผ่านเข้ามาในหัวของซือถิง หรือว่าฉู่หลิวเยว่จะสามารถหาหลักฐานออกมาได้?
เขาจึงสาวเท้าขึ้นไปด้านหน้าแล้วพูดอย่างเคร่งครึมว่า
“ที่กระดานของข้าพังนั้น เป็นเพราะซีหว่านหว่านเป็นคนลงมือ”
“ซือถิง! เจ้าจะพูดซี้ซั้วแบบนี้ไม่ได้นะ”
ซีหว่านหว่านตวาดออกมาเหมือนแมวโดนเหยียบหาง เสียงแหลมสูงขึ้นมา
“มีคนตั้งมากมายมองอยู่ ข้าจะทำเรื่องเช่นนั้นได้อย่างใดกัน?”
“ใช่แล้ว มีสายตาจับจ้องอยู่มากขนาดนั้น เจ้ายังกล้าทำต่อหน้าสาธารณะอีกจิตใจของเจ้านี่มันไม่ธรรมดาเลยจริงๆ ข้าต้องขอยกย่องเลย”
ฉู่หลิวเยว่พูดชื่นชมอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงจริงใจ ดูท่าทางของนางแล้ว ถ้าในมือนางไม่ได้ถือกระดานเอาไว้ เกรงว่านางจะตบมือให้อีกฝ่ายแน่นอน
ซีหว่านหว่านหน้าแดงก่ำด้วยความโมโห เมื่อเห็นท่าทางที่มั่นใจของฉู่หลิวเยว่ หัวใจที่สงบนิ่งของนางก็เริ่มสั่นไหวอีกครั้ง หรือว่า…หรือว่าฉู่หลิวเยว่นางจะมีวิธีจริงๆ
“หลิวเยว่ เจ้าพบสิ่งใดหรือ?”
ซุนจ้งเหยียนขมวดคิ้วพร้อมถามขึ้น
เขาก็รู้ว่าสาเหตุที่ซือถิงออกจากการแข่งขันมันแปลกมากเกินไป ไม่ใช่ว่าเขาไม่สงสัยในตัวของซีหว่านหว่าน
เพียงแต่ว่าเขายังหาเบาะแสไม่เจอเท่านั้น ดังนั้นจึงไม่ได้ไล่ตามเรื่องนี้เขากำลังคิดว่าหลังจากที่การแข่งขันจบ เขาจะมาถามซือถิงอยู่พอดี
แต่คิดไม่ถึงว่าฉู่หลิวเยว่จะลงมือก่อนหนึ่งก้าว
“ไม่มีอันใดเจ้าค่ะ ตอนนั้นข้าพบว่าบนกระดานเหล่านี้มีของสิ่งอื่นปรากฏขึ้นมาโดยบังเอิญ”
ฉู่หลิวเยว่พูดขึ้นมือข้างหนึ่งของนางก็เคาะไปที่กระดานนั้น
แววตาของซีหว่านหว่านจ้องมองไปที่มันตาเขม็ง
ไม่มีอะไรอยู่บนกระดาน ทุกอย่างดูสะอาดสะอ้านอย่างมาก
เห็นได้ชัดว่าฉู่หลิวเยว่กำลังหลอกตัวเอง
นางแค่นหัวเราะเสียงเย็น จากนั้นก็เยาะเย้ยว่า
“ฉู่หลิวเยว่ เจ้าบอกว่ามีสิ่งใดอยู่บนกระดาน ไม่ทราบว่าสิ่งนั้นมันคือสิ่งใดกันแน่หรือ ข้ามองแล้วกลับไม่พบสิ่งใดเลยนะ?”
ส่วนคนอื่นๆ ก็มีใบหน้ามึนงงเช่นกัน พวกเราไม่รู้ว่าฉู่หลิวเยว่กำลังชี้สิ่งใดให้ดู
ฉู่หลิวเยว่ยกยิ้มขึ้น
“เดี๋ยวเจ้าก็จะรู้แล้ว”
เมื่อพูดจบนางก็โบกมือขึ้นจากนั้นลำแสงสีเงินก็ปรากฏ ทันทีที่มือของนางลากผ่านกระดานอันนั้นอย่างเบาๆ รอยเส้นไหมที่อยู่บนกระดานก็ปรากฏขึ้น นางขยับนิ้วเบาราวกับว่ากำลังวาดโครงร่างอันใดบางอย่าง กระดานที่เคยราบเรียบก็ค่อยๆ มีลวดลายสว่างขึ้น ลำแสงทับซ้อน สลับไปมา
ซุนจ้งเหยียนเบิกตากว้างขึ้น
นั้นมัน…คาดไม่ถึงว่าด่านสุดท้ายของค่ายกล
ฉู่หลิวเยว่กำลังซ่อมแซมค่ายกลนั้นขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งหรือ?