ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 252 น้ำใจ
ตอนที่ 252 น้ำใจ [รีไรท์]
ไม่ใช่แค่ซุนจ้งเหยียนเท่านั้นที่ตกใจ คนอื่นๆ ที่อยู่ในสนามล้วนตกใจทั้งสิ้น
พวกเขารู้ว่าค่ายกลด่านสุดท้ายบนกระดานมีความซับซ้อนมาแค่ไหน ไม่ต้องพูดเรื่องที่จะวาดขึ้นมาใหม่เลย จะให้พวกเขาสร้างมันขึ้นมาก็เป็นเรื่องที่ยากมากแล้ว และยิ่งไปกว่านั้น ฉู่หลิวเยว่ร่างภาพจากด้านหลังมาด้านหน้าด้วย!
นี่มันยากกว่าการท่องหนังสือจากด้านหลังมาด้านหน้าตั้งไม่รู้กี่เท่าตัว
แต่ฉู่หลิวเยว่กลับจำมันได้อย่างแม่นยำ ทุกจังหวะที่ลากผ่านล้วนราบรื่นและอิสระมาก
“ต่อให้นางแก้ไขค่ายกลนั้นแล้ว ก็ไม่น่าจะจำได้ถึงขนาดนี้หรอกมั้ง…”
แม้กระทั่งคนของสำนักเทียนลู่เองก็ยังอดไม่ได้ที่จะซุบซิบกันขึ้นมา
“หรือว่านางจะเคยเห็นค่ายกลนี้มาก่อน?”
เหมือนว่านี่จะเป็นหนทางเดียวที่จะอธิบายเรื่องที่นางสามารถแก้ไขค่ายกลได้เร็วขนาดนี้ได้ อีกทั้งตอนนี้ยังสามารถซ่อมแซมได้อย่างสมบูรณ์ด้วย
ตงฟังชิงกระแอมไอหนึ่งครั้ง
“คือ…หรือว่าพวกเจ้าไม่รู้ว่า เด็กคนนี้เป็นคนที่มองผ่านตาหนึ่งครั้งจดจำไม่ลืมหรือ?”
ในคาบเรียนทำสมาธิ แม้ว่าฉู่หลิวเยว่จะทำตัวให้ไม่เป็นที่สนใจมาตลอด แต่จากการที่เขาสังเกตมาหลายครั้งจึงค้นพบว่า ไม่ว่าจะเป็นค่ายกลประเภทใดก็จะไม่ได้เป็นปัญหากับฉู่หลิวเยว่ นางไม่เพียงสามารถแก้ไขได้อย่างรวดเร็วอีกทั้งยังสามารถวาดรูปแบบลวดลายอักขระของมันออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ ไม่ต้องพูดเรื่องที่นางสามารถแสดงค่ายกลระดับสูงออกมา และในตอนนี้นจางยังสามารถระเบิดพลังที่แข็งแกร่งออกมาได้ถึงขนาดนี้แล้ว
พลังแต่ละสายควรเป็นอย่างใด นางกลับรู้ได้อย่างชัดเจน
ตงฟังชิงจำได้อย่างแม่นยำมีครั้งหนึ่งในคาบเรียนที่ฉู่หลิวเยว่น่าจะรู้สึกว่ามันน่าเบื่อมาก นางจึงเอาหมากกระดานมาเล่นซ้ำไปซ้ำมา เขาเหลือบมองไปอย่างไม่ได้ตั้งใจ แต่คาดไม่ถึงว่านางกำลังร่ายรูปแบบของค่ายกลอยู่
ตั้งแต่ตอนนั้นเขาก็รู้แล้วว่าฉู่หลิวเยว่คนนี้ไม่ธรรมดา ด้วยสาเหตุนี้เขาจึงหวังว่ามากให้ฉู่หลิวเยว่เข้าร่วมการประลองแก้ค่ายกลในครั้งนี้
“จริงหรือ?” ขนาดซุนจ้งเหยียนยังไม่กล้าจะเชื่อ
ปกติแล้วเขาไม่ได้คุยกับฉู่หลิวเยว่มากนัก นอกจากตอนที่ทดสอบเมื่อกลางภาคหนึ่งครั้ง จากนั้นเขาแทบจะไม่เคยเห็นฉู่หลิวเยว่อยู่กับค่ายกลพวกนี้อีกเลย
ตอนนี้กลับเป็นเรื่องจริงหรือเนี่ย!
“แต่ว่านางจะทำแบบนี้เพื่ออันใดเล่า?”
แต่อีกเดี๋ยวพวกเขาก็จะรู้แล้วว่าเพราะเหตุใดฉู่หลิวเยว่ถึงต้องทำเช่นนี้
หลังจากที่เห็นว่าฉู่หลิวเยว่ค่อยๆ ร่างค่ายกลขึ้นมาใหม่อีกครั้งทันใดนั้นนางก็หยุดลง
“หากข้าเดาไม่ผิดละก็ เมื่อครู่เจ้าเดินมาถึงจุดนี้ใช่หรือไม่?”
นางแสดงกระดานให้ซือถิงดู ซือถิงรู้สึกตกใจอย่างมากจากนั้นก็พยักหน้า
“ถูกต้อง!” ฉู่หลิวเยว่ยกมุมปากขึ้นพร้อมหันไปมองที่ซีหว่านหว่าน
เมื่อซีหว่านหว่านเห็นว่านางสามารถฟื้นกระดานค่ายกลออกมาได้อย่างสมบูรณ์ แผ่นหลังของนางก็เต็มไปด้วยเหงื่อ
ฉู่หลิวเยว่โบกมือเบาๆ เส้นด้ายที่คล้ายมีคล้ายไม่มี ก็ถูกหยิบขึ้นมาจากกระดาน
“ซีหว่านหว่าน เจ้าจำได้หรือไม่ว่านี่คือสิ่งใด?”
ของในมือของฉู่หลิวเยว่ มีความยาวไม่ถึงคืบแม้ว่ามันจึงโปร่งใส แต่เมื่อมันโดนแสงอาทิตย์ส่องมันก็มีการสะท้อนแสงดังนั้นผู้คนจึงจำได้ทันที
“นั่นมัน…” ซุนจ้งเหยียนหน้าเปลี่ยนสีไปทันที
“ตะขอวิญญาณสีเงิน?”
เมื่อได้ยินคำว่า ‘ตะขอวิญญาณสีเงิน’ คนจำนวนมากก็แสดงสีหน้าตกใจออกมา
ได้ยินมาว่าขอสิ่งนี้ทำมาจากเส้นไหมเทียนเสวี่ยที่หายาก มันทั้งอ่อนนุ่มและโปร่งแสง แต่กลับแข็งแกร่งไร้เทียมทานแล้วยังแหลมคมมากกว่ากระบี่เสียอีก
แต่ของสิ่งนี้มีข้อเสียที่ยิ่งใหญ่คือ สามารถใช้ได้แค่ครั้งเดียว
เมื่อใช้มันไปแล้วของสิ่งนี้จะเปราะบางจนกลายเป็นแค่ขยะชิ้นหนึ่ง
แต่หากมองจากทางหนึ่ง มันก็เป็นข้อดีมากเช่นกัน อย่างน้อยมันก็เหมาะมากที่จะเป็นอาวุธลับ มันรุนแรงจนถึงขั้นฆ่าคนตาย แต่ก็หายไปโดยไร้เบาะแสรอแค่ผ่านไปเพียงชั่วเวลาหนึ่งมันก็จะละลายหายไปอย่างไร้ร่องรอย
เพียงแค่เส้นไหมเทียนเสวี่ยเป็นของที่มีค่าอย่างยิ่ง คนธรรมดาแทบจะไม่เคยเห็นมัน และยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเคยใช้หรือไม่
“ตอนที่วางกระดานไว้ที่สนามทดสอบนั้น ทุกตัวจะผ่านการตรวจสอบทั้งหมดแล้ว และไม่น่าจะมีของเช่นนี้ปรากฏขึ้นมาแน่นอน”
ซุนจ้งเหยียนสัมผัสได้ถึงอันใดบางอย่างทันที เขาจึงมองที่ซีหว่านหว่านอย่างเคร่งเครียด
“ซีหว่านหว่าน เจ้าจะอธิบายเรื่องนี้อย่างใด!”
ร่างกายของซีหว่านหว่านแข็งค้างตั้งแต่ที่ฉู่หลิวเยว่หยิบตะขอวิญญาณสีเงินออกมาแล้ว ทั้งตัวของนางแข็งเป็นก้อนน้ำแข็งในสมองมีแต่เสียงคำรามดังลั่น นางแทบจะไม่ได้ยินสิ่งต่างๆ ทั้งเคลื่อนไหวหรือเสียงผู้คนอยู่แล้ว
ใบหน้าของนางซีดเผือด จึงปฏิเสธออกไปอย่างทันทีว่า
“ข้า…ข้าไม่รู้เรื่อง ข้าไม่ได้ทำนะ!”
ฉู่หลิวเยว่โบกตะขอวิญญาณสีเงินในมือของตัวเองไปมาเบาๆ แล้วพูดอย่างเกียจคร้านว่า
“เจ้าไม่ยอมรับก็ไม่เป็นไร คนที่เคยสัมผัสตะขอวิญญาณสีเงินที่ข้อมือจะมีสีเงินจางๆ ปรากฏอยู่ เจ้ากล้าโชว์มือของเจ้ามาให้ข้าดูหรือไม่?”
ซีหว่านหว่านตัวแข็งไป นางหดมือในแขนเสื้อขึ้นทันที
เหตุใดนางถึงรู้…นางถึงรู้เรื่องนี้ได้อย่างใดกัน?
“ข้าไม่มี…ข้าไม่มี!”
ซีหว่านหว่านยังคงเถียงออกมาเช่นเดิม แต่ด้วยท่าทางที่ผิดปกติของนางมีใครบ้างจะมองไม่ออก
สีหน้าของฝูอวิ๋นซานดูย่ำแย่อย่างมาก
“คนยืนตรงไม่ต้องกลัวเงาเอียง หว่านหว่าน เจ้ายื่นมือออกไปเลยแสดงความบริสุทธิ์ของเจ้าออกไป”
ซีหว่านหว่านรู้สึกร้อนใจอย่างมากน้ำตาคลอออกมาที่ดวงตา แต่ก็ยังไม่ยอมยื่นมืออกไป
“ท่านเจ้าสำนัก ท่านต้องเชื่อใจข้า ข้าไม่ได้เป็นคนทำ…”
เมื่อฝูอวิ๋นซานเห็นท่าทางของนางเช่นนี้มีหรือที่จะไม่เข้าใจ?
ซีหว่านหว่านจะต้องแอบใช้ตะขอวิญญาณสีเงินแน่นอน
“ตอนที่ข้าแก้ไขค่ายกลของกระดาน ปราณของข้าก็อ่อนแออย่างมากแล้ว แค่เดินผิดหนึ่งก้าว ก็ต้องพ่ายแพ้แล้ว หากตอนนั้น…ข้ายังใช้ตะขอวิญญาณสีเงินอีกคงไม่มีทางทำได้”
ฉู่หลิวเยว่ถอนหายใจแล้วส่ายหน้าออกมาเบาๆ
“ของชิ้นเล็กๆ เช่นนี้ และยังมีค่ามหาศาลแค่พัดเบาๆ ก็ปลิวหายไปแล้ว น่าเสียดายจริงๆ…ซีหว่านหว่าน ตอนนี้เจ้ายังคิดที่จะปฏิเสธอยู่หรือ?”
ซีหว่านหว่านพูดไม่ออกแม้แต่ครึ่งคำนางทรุดตัวลงไปนั่งที่พื้น
นางจ้องมองไปที่ฉู่หลิวเยว่อย่างตกตะลึง ไม่ว่าอย่างใดก็คิดไม่ออก นางพบตะขอวิญญาณสีเงินได้อย่างใดกันแน่ ฉู่หลิวเยว่หามันเจอได้อย่างใด?
นางรู้เพียงแค่เรื่องที่นางทำลายค่ายกลให้ครั้งทำให้อนาคตของนางจบสิ้นแล้ว!
ฝูอวิ๋นซานรู้สึกโมโหจนควันออกหู เขากล่าวอย่างอารมณ์เสียว่า
“เหตุใดเจ้าต้องทำแบบนี้ด้วย เจ้าทำให้สำนักหนานเฟิงขายหน้าไปหมดแล้ว!”
คำพูดที่เขาเคยช่วยซีหว่านหว่านไปก่อนหน้านี้ ตอนนี้เหมือนกลับย้อนเข้ามาตบที่หน้าของเขาแรงๆ แทน
น้ำตาของซีหว่านหว่านไหลออกมาเป็นสาย
“ทั้งหมดนี้เป็นความผิดของข้าเอง ท่านเจ้าสำนักได้โปรดลงโทษข้าด้วย เพียงแต่อย่าลากคนอื่นเข้ามาเกี่ยวข้อง…”
ซุนจ้งเหยียนกล่าวอย่างเคร่งขรึม
“พี่อวิ๋นซาน เรื่องนี้ท่านคงต้องให้คำอธิบายสักอย่างแล้วล่ะ”
ฝูอวิ๋นซานไม่เคยเสียหน้าเช่นนี้มาก่อน ครั้งนี้เขาเกลียดซีหว่านหว่านมาก เกลียดจนอยากจะตีให้ตาย เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นค่อยๆ พูดอย่างช้าๆ
“ซีหว่านหว่านใจคดใช้วิธีการชั่วช้า ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปนางไม่ใช่ศิษย์ของสำนักหนานเฟิงอีกต่อไป และไม่สามารถกลับเข้ามาได้อีกตลอดกาล!”
ซีหว่านหว่านนิ่งค้างราวกับถูกฟ้าผ่าภายใต้แรงกดดันที่รุนแรงเช่นนี้ ทำให้นางเป็นลมสลบลงไป
ฝูอวิ๋นซานไม่อยากจะมองหน้านางสักแวบ เขาสะกดกลั้นความโกรธจากนั้นก็ประสานมือทำความเคารพทั้งซุนจ้งเหยียนและเฉิงหัน
“เรื่องนี้ เป็นเพราะข้าดูแลไม่ทั่วถึงเอง ขออภัยพวกท่าน”
ฝูอวิ๋นซานแสดงจุดยืนของตนเองอย่างชัดเจน คนอื่นๆ จึงพูดอันใดไม่ได้มาก
ฉู่หลิวเยว่หมุนนิ้วชี้ของตนเองไปมาเบาๆ ตะขอวิญญาณสีเงินที่ไม่มีประโยชน์ก็สลายกลายเป็นฝุ่นไป นางวางกระดานลง จากนั้นก็เดินลงเวทีไป
ซือถิงขยับตัวตามไปเพื่อจะไปกล่าวขอบคุณกับอีกฝ่ายด้วยตนเอง แต่ด้านข้างกลับมีเสียงหัวเราะดังขึ้น
“คุณหนูหลิวเยว่ ช่วยคนอื่นเสร็จเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้สามารถช่วยข้าได้แล้วหรือยัง?”