ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 261 อันตรายรอบด้าน
ตอนที่ 261 อันตรายรอบด้าน [รีไรท์]
เวลาการแข่งขันของเซียนหมอเท่ากับเวลาในการแข่งขันของปรมาจารย์ค่ายกล นั่นก็คือหนึ่งวัน
แต่สำหรับผู้ชมแล้ว พวกเขาคิดว่า การแข่งขันเซียนหมอนั้นน่าสนใจกว่ามาก
การแข่งขันปรมาจารย์ค่ายกล ศิษย์แต่ละคนจะต้องทะลวงค่ายกลบนกระดานของตนเอง แต่ละด่านนั้นต้องใช้เวลาหลายชั่วยาม
คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยรู้เรื่องค่ายกลเท่าไหร่นัก การแข่งขันครั้งนั้นจึงน่าเบื่อกว่ามาก
แต่การแข่งขันเซียนหมอนั้นไม่เหมือนกัน
ทุกคนจะมีเตาหลอมอยู่ด้านหน้าของตนเอง พวกเขาจะใส่สมุนไพรทุกชนิดลงไปหลอมในเตาหลอม สุดท้ายก็เข้าสู่การหลอม ซึ่งมันน่าสนใจกว่ามาก
อีกทั้งขั้นตอนการหลอม ก็ทำให้มองเห็นระดับของผู้เข้าแข่งขันแต่ล่ะคน ว่าใครแข็งแกร่งว่าใครอ่อนแอ
ดังนั้นจึงมีคนที่มาร่วมชมการแข่งขันนี้เป็นจำนวนมาก และรู้สึกสนุกตลอดการรับชม
แต่ภายในคนกลุ่มนั้น ไม่ได้รวมฉู่หลิวเยว่ด้วย
ในกลุ่มของผู้เข้าแข่งขัน มีคนที่เลือก “ระดับสูง” เพียงห้าคนเท่านั้น
นั่นหมายความว่า มีโอสถอายุวัฒนะปรากฏออกมาแน่นอน แต่ไม่ว่าอย่างใดก็ต้องดูที่ฝีมือของพวกเขาด้วย และยิ่งไปกว่านั้น ทั้งห้าคนอาจจะไม่สามารถหลอมยาอายุวัฒนะออกมาก็ได้
ส่วนเรื่องที่เหลือก็ไม่ต้องพูดถึงเลย
สำหรับเซียนหมอแล้ว หากไม่สามารถหลอมยาอายุวัฒนะ เรื่องอื่นก็ถือว่าสามัญทั่วไป
มีบางคนที่ชาตินี้ทั้งชาติก็ไม่สามารถหลอมยาอายุวัฒนะออกมาได้ เช่นนั้นเขาจึงเป็นได้แค่หมอธรรมดาคนหนึ่ง ไม่มีทางก้าวเข้าสู่ระดับเซียนหมอได้
หลังจากมองสมุนไพรที่พวกเขาใช้อย่างละเอียดแล้ว ฉู่หลิวเยว่ก็สามารถเดาได้ว่าพวกเขาจะสามารถหลอมโอสถชนิดใด?
การแข่งขันก็เริ่มน่าเบื่อมากขึ้น
ถวนจื่อเกาะอยู่ที่ไหล่ของนาง มันนิ่งเงียบไปราวกับว่ากำลังนอนหลับอยู่
ฉู่หลิวเยว่อุ้มมันเข้ามาอยู่ในอ้อมกอด เพื่อมันหลับสบายยิ่งขึ้น
“เอ่อ…หลิวเยว่ เพียงพอนโลหิตของเจ้านี่สุดยอดมากเลยนะ! ได้มาจากที่ไหนหรือ?”
ซือหยางที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็ถามขึ้นด้วยความสงสัย
“หลายวันมานี้ มีคนออกไปซื้อเพียงพอนโลหิตกันตั้งมากมาย ตอนนี้ทั้งเมืองหลวงขาดแคลนเพียงพอนโลหิตแล้ว แต่ข้าว่าไม่มีตัวไหนเก่งไปกว่าตัวของเจ้าหรอก!”
เพียงพอนโลหิตเป็นสัตว์อสูรระดับสามที่อ่อนแอด้านการต่อสู้ที่สุด และไม่เป็นที่ต้องการมาโดยตลอด อย่างมากก็มีเพียงคุณหนูสกุลร่ำรวยที่ซื้อไปเป็นสัตว์เลี้ยงเท่านั้น
แต่อย่างใดก็ตามเพียงพอนโลหิตนั้นหายาก และมีราคาแพง จะซื้อไปมันก็ไม่คุ้ม ดังนั้นจึงมีเพียงคนกลุ่มน้อยเท่านั้นที่เลี้ยง
แต่การต่อสู้ของถวนจื่อ ทำให้เพียงพอนโลหิตได้รับความนิยมขึ้นมาในช่วงระยะเวลาสั้นๆ
ฉู่หลิวเยว่ขมวดคิ้วเล็กน้อย มือก็ลูบที่หางของมันเบาๆ ขนปุกปุยนี้ดูน่ารักอย่างมาก
แต่เมื่อมองไปแล้ว ถวนจื่อเองก็ไม่ต่างจากเพียงพอนโลหิตทั่วไปเลย
แต่ว่ามันเป็นสัตว์ที่พิเศษกว่าตัวอื่นจริงๆ นั่นแหละ
“ข้าเก็บมันมาจากบรรพตวั่นหลิง”
“เจ้าว่าอันใดนะ?” ซือหยางชะงักไป
คาดไม่ถึงว่านางจะไม่ได้ซื้อมา? แต่เก็บของวิเศษแบบนี้มาได้งั้นหรือ?
“เจ้าโชคดีขนาดนี้เชียวหรือ!” ใบหน้าของเขามีรอยยับย่นขึ้นมา
“เหตุใดข้าถึงไม่เคยมีเรื่องดีๆ แบบนี้เกิดขึ้นบ้างเลย?”
ฉู่หลิวเยว่เหลือบสายตามองเขาด้วยความเย็นชา
“เจ้ายังไม่เคยโดนสัตว์อสูรล้อม ถึงว่าเป็นโชคดีของเจ้าอยู่นะ”
ซือหยาง “…”
“หลิวเยว่ หลิวเยว่?”
ขณะที่พวกเขาสองคนกำลังคุยกันอยู่นั้น เสียงที่คุ้นเคยก็ดังขึ้นจากด้านข้าง
ฉู่หลิวเยว่หันกลับไปมอง เป็นจั่วหรงที่มานั่งอยู่ด้านข้างของพวกเขาตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้?
“อาจารย์จั่วหรง ท่านตามหาข้ามีเรื่องอันใดหรือ?”
จั่วหรงโบกมือให้นาง
ฉู่หลิวเยว่ลุกขึ้นยืน จากนั้นก็เดินไปอยู่ที่ด้านข้างของอาจารย์จั่วหรง
เมื่อเห็นว่าโดยรอบนั้นไม่มีใครสนใจ จั่วหรงจึงลดเสียงแล้วพูดว่า
“หลิวเยว่ เจ้าไม่อยากเข้าร่วมการแข่งขันเซียนหมอในวันนี้จริงๆ หรือ?”
เมื่อเห็นท่าทางระมัดระวังและคาดหวังของอาจารย์จั่วหรง ฉู่หลิวเยว่จึงหัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้
“ท่านมาหาข้าเพราะเรื่องนี้หรอกหรือ? ข้าไม่ได้ลงทะเบียน ข้าจะเข้าร่วมได้อย่างใด?”
เป็นเพราะว่านางเคยไปที่หอโอสถสวรรค์เพื่อเอาใบเทียบยาใบนั้นออกมาให้ จั่วหรงจึงคาดหวังกับนางไม่น้อย
น่าเสียดายที่นางไม่ได้สนใจ
จั่วหรงมองสีหน้าราบเรียบของนาง ก็รู้ว่านางได้ตัดสินใจไปแล้ว จึงรู้สึกเสียใจเล็กน้อย
“หากเจ้าเข้าร่วมละก็…”
เขาเชื่อว่าฉู่หลิวเยว่มีพรสวรรค์ด้านการหลอมโอสถ หากนางเข้าร่วม นางจะต้องโดดเด่นอย่างแน่นอน
แต่ว่านางไม่ค่อยสนใจด้านนี้เลย
เขาโน้มน้าวอีกสองสามประโยค เมื่อเห็นว่านางไม่สนใจ เขาจึงได้แต่ยอมแพ้ไป
“…ก็ได้! ในเมื่อเจ้าไม่ต้องการ เช่นนั้นคนนอกก็ไม่บังคับเจ้าแล้ว หากกลับไปแล้วเจ้าต้องการสมุนไพรอันใด ก็ไปที่หอโอสถสวรรค์นะ”
ฉู่หลิวเยว่ยิ้มแทนคำขอบคุณ ในใจกลับคิดว่าสมุนไพรธรรมดาก็หาได้ที่หอโอสถสวรรค์ แต่ถ้าพิเศษกว่านั้น นางไปที่เจินเป่าเก๋อจะสะดวกกว่า
หลังจากที่ขอตัวลาจากจั่วหรง นางก็หมุนตัวเดินออกมา กำลังคิดว่าจะกลับไปนิ่งที่เดิม แต่ตอนนั้นเองนางก็หยุดชะงัก
เมื่อครู่เหมือนกับว่ามีสายตาที่ดูอันตรายสายหนึ่ง เพ่งเล็งสายตามาที่นาง!
ฉู่หลิวเยว่ตื่นตัวขึ้นโดยทันที! และรีบกวาดสายตาไปรอบข้างอย่างรวดเร็ว
จากนั้นนางก็พบว่าปราณที่น่าอันตรายพวกนั้นได้หายไปแล้ว
นางยืนมองอยู่ตรงนั้นสักพัก และไม่พบสิ่งผิดปกติเลย
“หลิวเยว่ เจ้าเป็นอันใดไปหรือ?”
จั่วหรงเห็นว่าฉู่หลิวเยว่หมุนตัวเดินจากไป แต่ทันใดนั้นก็ชะงักกึก เขาจึงอดถามขึ้นมาไม่ได้
หรือว่านางจะเกิดเปลี่ยนใจขึ้นมา…
ฉู่หลิวเยว่หันกลับมายิ้มให้เขา
“ไม่มีอันใดเจ้าค่ะ”
เมื่อพูดจบ นางก็กลับที่นั่งของตนเองทันที
ตั้งแต่ต้นจนจบ สีหน้าของนางดูปกติอย่างมาก
การกระทำเล็กๆ ของนางไม่ได้ดึงดูดสายตาของผู้คนเลย
หลังจากที่นางนั่งลงบนเก้าอี้แล้ว ร่างกายของฉู่หลิวเยว่ก็ยังตึงเครียดอยู่ แววตาค่อยๆ เย็นชาลง
ความรู้สึกของนางไม่มีทางผิดพลาด เมื่อครู่มีจิตสังหารสายหนึ่งที่น่าสะพรึงกลัวจริงๆ และมันพุ่งตรงมาที่นางด้วย
จากการคาดเดาของนาง อีกฝ่ายจะต้องเป็นคนที่มีฝีมือแข็งแกร่งอย่างแน่นอน
ความกดดันที่ทำให้คนหายใจไม่ออก…อย่างน้อยต้องเป็นจอมยุทธระดับหก!
แต่ว่า…คนคนนั้นคือใครกันแน่?
แม้ว่าในช่วงนี้นางจะล่วงเกินคนเอาไว้มาก แต่ต้องบอกก่อนว่า ในแคว้นเย่าเฉินนั้น ยังไม่เคยมีจอมยุทธระดับหกปรากฏตัวออกมาก่อนเลย!
ฉู่หลิวเยว่ลูบขนของถวนจื่ออย่างอ่อนโยน ทันใดนั้นในสมองก็นึกอันใดขึ้นมาได้
ช้าก่อน!
นางลืมศัตรูของตนเองที่แอบซ่อนในความมืดไป
คนคนนั้นจะต้องเป็นคนที่วางยาพิษเลี่ยวจงซูแน่นอน
ฉู่หลิวเยว่ไม่รู้ว่าตนเองได้ไปยั่วโมโหบุคคลที่ลึกลับ และแข็งแกร่งขนาดนั้นตั้งแต่เมื่อไร
เหมือนว่าฝ่ายตรงข้ามจะวางแผนเอาไว้อย่างดี แค่รอให้นางเหยียบกับดักแล้วฆ่านางให้หมด!
หรือว่า…ในงานสมาคมเยาวชนครั้ง คนที่อยู่เบื้องหลังคนนั้น ก็มาด้วยหรือ?
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ นางจึงหันไปมองทางฉู่เซียนหมิ่นอย่างอดไม่ได้
ฉู่เซียนหมิ่นไม่ได้นั่งอยู่ข้างๆ หรงจิ้น แต่นั่งอยู่กับสำนักเทียนลู่
แม้ว่านางจะแต่งงานของจวนองค์รัชทายาทไปแล้ว อีกทั้งได้ปรนนิบัติอยู่ข้างกายของหรงจิ้นมาตลอด
แต่ในฐานะที่นางเป็นสนม จึงไม่มีสิทธิที่จะนั่งเคียงข้างองค์รัชทายาท
ราวกับว่าฉู่เซียนหมิ่นสัมผัสถึงอันใดบางอย่างได้ จึงเงยหน้าขึ้นมา
พวกนางสองคนก็สบสายตากัน
ฉู่เซียนหมิ่นจึงตัวสั่นขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
ไม่รู้ว่าเหตุใด นางรู้สึกว่าสายตาของฉู่หลิวเยว่เหมือนจะมองทะลุทุกสิ่งทุกอย่าง
นางเกือบจะลูบคอของตนเองอย่างไม่รู้ตัว
บาดแผลที่โดนมีดสั้นยังเหลือไว้เป็นรอยแผลเป็น เมื่อลูบไปก็รู้สึกหยาบ กระด้าง มันจึงเป็นเครื่องเตือนใจนางว่า ฉู่หลิวเยว่เป็นคนที่น่ากลัวมากแค่ไหน
นางรีบหลบสายตาของอีกฝ่ายอย่างตื่นตระหนก
ฉู่หลิวเยว่หรี่ตาลงเล็กน้อย
เมื่อดูจากปฏิกิริยาของฉู่เซียนหมิ่นแล้ว..เรื่องนี้จะต้องมีลับลมคมในอยู่อีกแน่นอน
นางแสร้งทำเป็นมองไปรอบๆ อย่างไม่ได้ตั้งใจ แต่ก็ยังไม่พบสิ่งผิดปกติเหมือนเดิม
อีกทั้งตอนนี้ ในสนามก็ยังมีเสียงหนึ่งดังขึ้น
ตู้ม!