ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 279 บังเอิญ
ตอนที่ 279 บังเอิญ [รีไรท์]
ในคืนนี้ ฉู่หลิวเยว่ตอนหลับไม่สนิทนัก
ระหว่างที่สะลึมสะลือ เหมือนว่านางจะฝันยาวมาก
ในความฝันนั้น มีหลายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
เมื่อถึงฉากสุดท้ายทุกอย่างก็ถูกเผา และแหลกสลายอยู่ในเปลว
เมื่อหรงซิวมาถึง ก็เห็นฉู่หลิวเยว่นอนอยู่บนเตียง ขมวดคิ้วแน่น และขดตัวเป็นก้อนพลางบ่นพึมพำแสงจันทร์ส่องผ่านหน้าต่างลงมา ลากเงาของนางเป็นเลือนร่างที่ยาว
ใบหน้าของเขาอยู่นั้นอยู่ในที่สว่างครึ่งหนึ่ง และที่มืดอีกครึ่งหนึ่ง แววตาลึกลับดั่งทะเลลึก แต่กลับเหมือนมีเปลวไฟที่เย็นเฉียบอยู่ในนั้น
เขาเดินเข้าไปปพลางอุ้มนางเข้ามาอยู่ในอ้อมกอด
ฉู่หลิวเยว่เหมือนอยู่ท่ามกลางทะเลทรายที่มีผู้คนพลุกพล่าน
หรงซิวก้มหน้าลงพลางจูบไปบนหน้าผากของนาง
“ไม่ต้องกลัวนะ ข้าอยู่นี่”
ฉู่หลิวเยว่ใช้สองมือจับเสื้อบริเวณอกเอาไว้แน่น แต่หางตากลับเหลือบมองลงข้างล่าง
แล้วหรงซิวก็ดูดน้ำตาหยดนั้นออกไป
ขมขื่นอยู่ที่ปลายลิ้น
เขาขยับถอยหลังเพื่อมองคนที่อยู่ในอ้อมกอด แล้วเสียงทุ้มต่ำก็แพร่กระจายอยู่ในสายลมกลางคืนที่เบาจนไม่ได้ยิน
“อันใดจะเกิดขึ้น มันก็จะเกิด”
…
เช้าของวันรุ่งขึ้น ฉู่หลิวเยว่ตื่นมาก็ได้กลิ่นหอมที่คุ้นเคยบนตัว
นางรู้ทันทีว่าหรงซิวมาหา
อันที่จริงแล้ว ต่อให้ไม่มีกลิ่นนี้นางก็เดาออกอยู่ดี
ในช่วงก่อนเที่ยงคืน นางก็กระสับกระส่าย และฝันร้าย แต่ในช่วงหลังเที่ยงคืน นางก็สามารถสงบสติอารมณ์ของนางกลับคืนมา และรู้สึกสบายใจขึ้น
ต้องมีหรงซิวอยู่เท่านั้น ถึงจะเป็นแบบนี้ได้
ระหว่างที่นางไม่รู้ตัว นางก็เคยชินกับการมีอยู่ของหรงซิวไปตั้งแต่แรกแล้ว และกลายเป็นที่พึ่งของนางไปแล้ว
แล้วความหวานเอ่อล้นออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจ
ฉู่หลิวเยว่สูดหายใจลึกๆ เดินไปอยู่ข้างหน้าต่าง แล้วมองไปยังลานอี๋เฟิง
ขณะนั้นหรงซิวกลับไม่ได้อยู่ในลานนั้น นางจึงทำได้เพียงมองดูต้นไม้ใบหญ้าเท่านั้น
ลมอ่อนพัดโชยมา ทำให้นางตื่นตัวขึ้นพอสมควร
ในเมื่อมาถึงขั้นนี้แล้ว ก็มีเพียงเส้นทางที่ต้องเดินหน้าต่อเท่านั้น
“หลิวเยว่”
ทันใดนั้นก็มีเสียงคนตะโกนเรียกชื่อนางมาจากชั้นล่าง
ฉู่หลิวเยว่ทำความสะอาดลวกๆ แล้วลงไปเปิดประตู
คนที่มาหาก็คืออาจารย์ไป๋เชิน
“อาจารย์ไป๋เชิน ท่านมาได้อย่างใดรึ?” สีหน้าของไป๋เชินดูซับซ้อน มีความดีใจที่มีความกังวลแฝงอยู่
จากนั้นเขาก็ยื่นคำเชิญให้กับนาง
“นี่คือคำเรียนเชิญจากพระราชวังในวันนี้ ฝ่าบาทจะเลี้ยงต้อนรับท่านผู้นั้น และเนื่องด้วยก่อนหน้านี้เจ้าสอบได้อันดับที่หนึ่งในการสอบกลางภาค อีกอย่างเจ้าก็โดดเด่นมากในงานสมาคมเยาวชนอีกด้วย ฉะนั้นจึงเชิญเจ้าไปด้วย”
เดิมทีนี่ถือเป็นเรื่องที่ดีเรืองหนึ่ง เพราะไม่ใช่ใครก็ได้ที่จะมีสิทธิ์ที่จะเจอกับเอกอคราชฑูตของราชวงศ์เทียนลิ่ง
แต่เมื่อคืนนี้ดูเหมือนว่ารองแม่ทัพมู่จะไม่ลงรอยกับฉู่หลิวเยว่ และไม่รู้ว่าเขาจะเอาเรื่องที่ฉู่หลิวเยว่ต่อปากต่อคำกับเขามาใส่ใจหรือไม่
ฉู่หลิวเยว่รับบัตรเชิญมา
“ขอบใจอาจารย์ไป๋เชินมาก คืนนี้ข้าจะไปให้ทันเวลา”
“หลิวเยว่” อาจารย์ไป๋เชินเอ่ยปากด้วยความลังเล
“ถึงเวลาแล้วเจ้า เจ้าก็ไปกับผู้อาวุโสซุนก็แล้วกัน จะทำอะไรก็ล้วนต้องระวังทั้งนั้น…”
“ท่านกังวลว่ารองแม่ทัพมู่จะเล่นงานข้ารึ?”
ฉู่หลิวเยว่เดาความกังวลของไป๋เชินออก
นางยกมุมมากขึ้น
“ท่านวางใจเถิด คนที่อยู่ในตำแหน่งอย่างเขา ต่อให้อยากจะทำอันใดกับข้าคงไม่ตั้งใจรอให้ถึงวันงานเลี้ยงหรอก”
ไป๋เชินคิดไปคิดว่าก็รู้สึกว่าเป็นเรื่องจริง
“ที่เจ้าพูดก็มีเหตุผล แต่ถึงอย่างใดก็ระวังไว้จะดีกว่า…”
ไป๋เชินกำชับอีกครั้งก่อนจะเดินจากไป
ฉู่หลิวเยว่กล่าวคำขอบคุณแล้วก็มองไปยังบัตรเชิญในมืออีกครั้ง
นางค่อยๆ แสยะมุมปากแล้วยิ้มออกมา
วันนี้เป็นวันที่นางรอคอมาเนิ่นนานมากแล้ว
…
เวลากลางวัน เป็นเวลาครึ่งชั่วโมงก่อนที่งานเลี้ยงจะเริ่ม ภายในห้องงานเลี้ยง ทั้งซ้ายขวาสองฝั่งก็มีคนนั่งอยู่เต็มหมดแล้ว
มีเพียงที่นั่งข้างหน้าเท่านั้นที่ยังว่างอยู่
ชายเสื้อที่ทำเงาเกิดจากผู้คนยกสุราให้กัน
ทุกคนพูดคุยกันและบรรยากาศก็ดูกลมกลืนกันมาก
แต่ที่จริงแล้วแววตาของทุกคนต่างมองไปข้างบนอยู่เรื่อยๆ
วันนี้พวกเขาทั้งหมดต่างก็มาเพื่อต้อนรับการมาถึงของรองแม่ทัพมู่
“ท่านแม่ ครั้งนี้ท่านต้องช่วยข้าแล้วล่ะ!”
หรงเจินหลบอยู่หลังมเหสีพลางอ้อนวอนไม่หยุด
“รองแม่ทัพมู่คนนั้นเก่งขนาดนั้น ต้องสามารถทำให้ข้าหายดีได้แน่นอน!”
เมื่อวานขณะอยู่ในสนามนั้นนางเห็นอย่างชัดเจนว่า ความสามารถของรองแม่ทัพมู่แข็งแกร่งกว่าคนที่นางเคยเจอมาทุกคน
ในใจของมเหสีมีความหวังมากขึ้นจึงตบที่มือของนางเบาๆ พลางพูดปลอบใจ
“เจ้าวางใจเถิด แม่ต้องหาโอกาสไปขอร้องให้กับเจ้าให้ได้ แต่รองแม่ทัพคนนั้น…ดูแล้วท่าทางเย็นชา ไม่รู้ว่าเขาจะยอมช่วยหรือไม่”
“จะไม่ช่วยได้อย่างไรเล่า เขาต้องช่วยแน่นอนอยู่แล้ว!”
ตาของหรงเจินเป็นประกายพร้อมกับใบหน้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความชื่นชม
“เสด็จแม่ ไม่ว่าอย่างใดข้าก็รู้สึกว่าถึงแม้เขาจะดูเย็นชา แต่…”
แก้มทั้งสองข้างของนางก็แดงขึ้นมา
ในใจของมเหสี อึ้งไปสักพัก
ดูจากท่าทางของหรงเจินแล้ว เห็นได้ชัดว่าตกหลุมรักมู่ชิงเห่อเข้าแล้ว!
นางบ้าไปแล้วจริงๆ
“เจินเจิน เจ้า เจ้า…เขาเป็นใครกัน ไม่ใช่คนที่เราสามารถไปแตะต้องได้หรอกนะ! เจ้ารีบเอาความคิดนี้ออกจากหัวเสีย!”
แล้วรอยยิ้มบนใบหน้าของหรงเจินก็หายไปทันที
“เสด็จแม่ แม่พูดแบบนี้หมายความว่าอย่างใด เขาเป็นคนที่เก่งที่สุดเท่าที่ข้าเคยเห็นมาก่อนเชียวนะ! แม้แต่พี่ชายก็ยังเทียบไม่ได้เลยด้วยซ้ำ เหตุใดข้าถึงจะ…”
พระมหาสีรีบดึงมือของนางก่อนจะรีบหันซ้ายหันขวารอบหนึ่ง เมื่อเห็นว่าไม่มีใครสังเกตเห็น ถึงจะโล่งใจขึ้นหน่อย
“ยังจะให้หมายความว่าอย่างใดอีกล่ะ? เจ้ารู้อยู่แก่ใจ! แม่จะบอกเจ้าแค่คำเดียวว่า ครั้งนี้เป็นเพียงแค่การร้องขอให้เขาช่วยให้เจ้าหายดีเท่านั้น เจ้าห้ามคิดเป็นเรื่องอื่นเด็ดขาด! ”
มู่ชิงเห่อคนนั้นดูแล้วก็หน้าตาเจ้าชู้ อย่าว่าแต่เขาจะไม่สนใจหรงเจินเลย ต่อให้เขาสนใจก็สามารถเล่นกับใจของหรงเจินได้อย่างง่ายดาย!
หลายปีผ่านไป หรงเจินเอาแต่ใจตัวเองมาก ถ้าไปอยู่กับคนแบบนี้เข้าอาจจะตายโดยไม่รู้ตัวก็เป็นได้!
“ไม่ว่าอย่างใดก็ห้ามพูดถึงอีก ถ้าวิธีนี้ไม่ได้ผลก็ต้องทำตามวิธีของฉู่หลิวเยว่เท่านั้น”
สีหน้าของพระมหาสีดูเคร่งขรึมขึ้น
หรงเจินก็ไม่กล้าโวยวายอีก ทำได้เพียงขมวดคิ้วเท่านั้น
“รู้แล้วน่า แต่ฉู่หลิวเยว่ช่างเป็นหญิงเจ้าเล่ห์จริงๆ เมื่อวานนี้นางถึงกับกล้าที่จะยั่วท่านผู้นั้นต่อหน้าผู้คนมากมายขนาดนั้น”
พระมหาสีมองเพื่อเตือนนาง
หรงเจินจึงหุบปาก แต่ในใจกลับเกลียดฉู่หลิวเยว่มากขึ้นอีกขั้นหนึ่ง
ถ้าวันนี้นางเห็นว่าฉู่หลิวเยว่ยังกล้าทำแบบนี้อยู่อีก นางกับฉู่หลิวเยว่ได้เห็นดีแน่
…
หลังจากที่ฉู่หลิวเยว่มาถึงพร้อมกับผู้อาวุโสซุน ก็นั่งลงบนที่นั่งของตัวเอง ก่อนจะรออย่างสงบ
นางสามารถสัมผัสได้ถึงแววตาไม่น้อยที่มองมาที่ตัวเอง แต่นางก็ไม่ได้สนใจ
นางค่อยๆ ยกแก้วสุราในมือขึ้น
จนกระทั่ง…
“ท่านรองแม่ทัพมู่แห่งราชวงศ์เทียนลิ่งเสด็จ!”
นางหันหน้าไปมอง
มู่ชิงเห่อกำลังเดินเข้ามาจากนอกประตู โดยมีจักรพรรดิจยาเหวินเดินตามอยู่ข้างหลัง และกำลังคำนับเพื่อเชิญให้เขาขึ้นแท่นประทับ
ทันใดนั้น ในห้องงานเลี้ยงก็เงียบสงัด
ทุกคนต่างพากันคำนับอย่างพร้อมเพรียงกัน
แววตาของมู่ชิงเห่อก็กวาดมองไปยังทุกคน
เขาควบคุมตัวเองไม่ได้จนสายตาสะดุดอยู่ที่ฉู่หลิวเยว่อีกครั้ง
จักรพรรดิจยาเหวินนึกว่าเขายังโมโหเรื่องเมื่อวานอยู่ จึงเอ่ยปากอย่างจริงจัง
“รองแม่ทัพมู่ ครั้งนี้ท่านมาเพื่ออยากจะหาอัจฉริยะสักหน่อยใช่หรือไม่ขอรับ? ฉู่หลิวเยว่ที่อยู่ในที่นี้เป็นคนที่เก่งที่สุดในบรรดาพวกเขาแล้ว! ท่านคงไม่รู้ว่านางเป็นอัจฉริยะสามด้านทั้งด้านการต่อสู้ ปรมาจารย์ลึกลับและด้านการแพทย์เลยทีเดียว!”
มู่ชิงเห่อถึงกับอึ้ง
“งั้นรึ? บังเอิญดีจัง ข้ามีคนรู้จักคนหนึ่ง เขาก็เป็นอัจฉิระสามด้านเช่นกัน”