ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 280 ช่างมัน
ตอนที่ 280 ช่างมัน [รีไรท์]
“มันช่างเป็นเรื่องน่าบังเอิญจริงๆ!”
จักรพรรดิจยาเหวินเพิ่งจะโล่งใจ แต่เมื่อเห็นว่าไม่มีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้าของมู่ชิงเห่อ และกำลังมองฉู่หลิวเยว่ด้วยแววตาสงสัย
เขาถึงจะรู้ตัวว่าดูเหมือนจุดนี้จะไม่ได้ทำให้มู่ชิงเห่อดีใจ
“เจ้าเป็นอัจฉริยะสามด้านรึ ชำนาญด้านใดที่สุด?”
มู่ชิงเห่อถามอย่างเฉยชา
ในห้องจัดงานนั้นเงียบสงัด แววตามองสลับไปมาระหว่างมู่ชิงเห่อและฉู่หลิวเยว่
ท่าทางัเมื่อวานของมู่ชิงเห่อที่กระทำต่อฉู่หลิวเยว่ก็ไม่ธรรมดาแล้ว พอมาวันนี้ก็เลือกที่จะพูดเรื่องนี้อีก…
ถ้ายังจะบอกว่าเขาไม่ได้มีความรู้สึกอันใดกับฉู่หลิวเยว่นั่นก็คงจะเป็นเรื่องโกหกไปแล้ว
เพียงแต่ไม่รู้ว่าจะเป็นเรื่องดีหรือไม่ดี
ฉู่หลิวเยว่ยังไม่ทันได้เอ่ยปาก ซุนจ้งเหยียนที่อยู่ข้างๆ ก็เอ่ยปากเสียก่อน
“ในงานสมาคมเยาวชน หลิวเยว่คว้าที่หนึ่งของการแข่งขันต่อสู้ และการแข่งขันปรมาจารย์ลึกลับมาได้ และในเรื่องการแพทย์ก็…โดดเด่นเช่นกัน”
เมื่อวานเขาได้ยินจักรพรรดิจยาเหวินพูดว่าการมาครั้งนี้นั้นมาเพื่อคัดเลือกเหล่าอัจฉริยะบางส่วน
ต่อให้เขาไม่ชอบฉู่หลิวเยว่จริงๆ ถ้าเห็นแก่ศิลปะการต่อสู้แล้วของนางแล้วก็คงจะไม่ทำอะไรที่เกินไปนัก
มู่ชิงเห่อทำหน้านิ่ง
“อืม…ดูแล้วเป็นอัจฉริยะจริงๆ”
ฉู่หลิวเยว่สัมผัสได้ถึงความประชดประชันในคำพูดนั้น
เขาอยู่ข้างนางมาหลายปี ทุกคำพูดทุกอิริยาบถนั้นนางคุ้นเคยหมดแล้ว
ถึงแม้ว่าใบหน้าจะเป็นอัมพาตไร้ความรู้สึกอยู่ตลอดเวลา แต่ฉู่หลิวเยว่ก็สามารถเดาออกว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
ดูจากท่าทางแล้ว คงจะไม่เชื่อว่านางเป็นคนที่ได้ชื่อว่า ‘อัจฉริยะ’
“หรงซิวบอกว่าปีนี้เจ้าอายุสิบสี่ปี แล้วระดับการต่อสู้อยู่ในระดับไหนแล้วล่ะ?”
“ท่านรองแม่ทัพมู่ที่เคารพ ระดับสอง”
“ด้านปรมาจารย์ล่ะ?”
“ระดับสอง”
“แล้วสามารถทำยาได้ถึงระดับใด?”
“ซื่อผิ่น”
มู่ชิงเห่อถึงกับหัวเราะเยาะ
“ดูเหมือนว่ามีพรสวรรค์ด้านต่อสู้เหนือพรสวรรค์ด้านหมอแต่ก็แค่นั้น”
ฉู่หลิวเยว่คุกเข่าคำนับ
“ฝ่าบาทกับผู้อาวุโสซุนชมกระหม่อมเกินไปแล้ว หลิวเยว่ยังอ่อนหัดแบบนี้ย่อมไม่มีทางอยู่ในสายตาของท่านรองแม่ทัพมู่ได้หรอกเพคะ”
มู่ชิงเห่อเห็นท่าทางที่สงบของนางก็ไม่ได้โกรธเคืองแต่อย่างใด และความโกรธแค้นโมโหแปลกๆ ในใจก็ได้หายไปเยอะมากแล้ว
“ถือว่าเจ้ายังรู้ตัวเองดี”
นึกถึงตอนแรก ตอนที่นางคนนั้นอายุสิบสี่…
ไม่รู้ว่าจู่ๆ คิดอะไรออก แววตาของมู่ชิงเห่อถึงได้เย็นชาอย่างกะทันหัน
เหตุใดเขาถึงนึกถึงคนคนนั้นอีกแล้ว?
บนโลกใบนี้มีนางเท่านั้นที่เป็นอัจฉริยะทั้งสามเซียน แล้วจะมีสักกี่คนที่สามารถเทียบเคียงกับนางได้?เขาไม่ได้พูดอันใดต่อ เพียงแต่เดินขึ้นไปบนที่ประทับของตัวเองด้วยสีหน้าเย็นชา
จักรพรรดิจยาเหวินที่อยู่ข้างๆ สัมผัสได้ถึงลมหายใจที่เย็นเฉียบของเขา ทำให้รู้สึกสงสัยมากขึ้น
เกิดอะไรขึ้นกัน?
เมื่อครู่นี้ยังคุยดีๆ อยู่เลยไม่ชีรึ?
แต่ละคำพูดของฉู่หลิวเยว่นั้นก็ดูมีกาลเทศะ ไม่มีปัญหาใด แต่เหตุใดมู่ชิงเห่อถึงดูเหมือนจะไม่ถูกชะตากับนางสักเท่าไร?
ต่อให้การต่อสู้ของฉู่หลิวเยว่จะไม่สามารถเทียบกับคนในราชวงศ์เทียนลิ่งได้ แต่ก็ถือว่าเป็นคนที่โดดเด่นที่สุดในแคว้นเย่าเฉินแล้ว
จักรพรรดิจยาเหวินไม่เข้าใจ และคนอื่นๆ ก็ไม่เข้าใจยิ่งกว่า
ในสายตาของมู่ชิงเห่อนั้น ฉู่หลิวเยว่ที่เก่งถึงขั้นนี้แล้วยังเป็น ‘แค่นั้น’
แล้วคนอื่นๆ ที่เหลือจะไม่ย่ำแย่กว่ารึ?
แต่พอนึกดีๆ แล้ว ท่านรองแม่ทัพมู่คนนี้ดูเหมือนจะอายุเพียงยี่สิบกว่าปีเท่านั้น แต่ความสามารถของเขากลับแข็งแกร่งเกินเอื้อม จึงเริ่มเข้าใจมากขึ้น
ดูแล้วราชวงศ์เทียนลิ่งแข็งแกร่งกว่าที่เราคิดไว้มากจริงๆ…
…
เมื่อรองแม่ทัพมู่ และจักรพรรดิจยาเหวินนั่งประจำที่แล้ว ทุกคนจึงค่อยๆ นั่งลง
ทั้งสองนั่งอยู่ข้างหน้า คนที่อยู่ตรงกลางนั้นคือจักรพรรดิจยาเหวียนพอดี
ทุกคนทีอยู่ภายในห้องงานเลี้ยงระวังตัวมากขึ้น
ถึงแม้ว่าจะมีผู้คนมากมายอยากจะแสดงออกให้ดีจนได้รับสายตาที่ปกติจากรองแม่ทัพมู่ แต่เมื่ออยู่ภายใต้การห้ามปรามของเหล่ามหาอำนาจทุกคนจึงรออย่างอดทน
ในใจของมู่ชิงเห่อก็รู้สึกหงุดหงิด
เมื่อวานหลังจากที่เขากลับไปก็รู้สึกว่าตัวเองจะเสียมารยาทไปหน่อย
ฉู่หลิวเยว่เป็นใครกัน?
ก็เป็นแค่หญิงสาวธรรมดาในแคว้นเล็กๆ อย่างแคว้นเย่าเฉินก็เท่านั้น
เขามาที่นี่เพื่อมาทำเรื่องสำคัญ แต่หลังจากเจอกับฉู่หลิวเยว่แล้วกลับนึกถึงเรื่องไร้สาระมากมาย จนทำให้อารมณ์ของเขายุ่งเหยิงไปหมด
เขาสนใจฉู่หลิวเยว่มากเกินไปแล้ว
หรือว่าเพราะฉู่หลิวเยว่ทำให้นึกถึงคนคนนั้นง่ายเกินไป
ทั้งๆ ที่นอกจากกดวงตาเพียงคู่เดียวก็ไม่มีส่วนไหนที่เหมือนอีกแล้ว แต่ว่า…
มู่ชิงเห่อรินสุราหนึ่งแก้วก่อนจะค่อยๆ จิบทีละนิด
ขณะที่ฉู่หลิวเยว่กำลังเงยหน้าขึ้นก็เหลือบไปเห็นใบหน้าที่กำลังคิดหนักของมู่ชิงเห่อโดยที่ไม่รู้ว่ากำลังคิดอันใดอยู่
สายตาของนางหยุดอยู่ที่แก้วสุราใบนั้น และกำลังหัวเราะเยาะอยู่
เพราะเมื่อก่อนมู่ชิงเห่อไม่เคยแตะต้องสุราแม้แต่หยดเดียว
พอมาวันนี้เพิ่งจะผ่านไปแค่ปีเดียวกลับเกิดสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปมากมายถึงเพียงนั้น
เมื่อมู่ชิงเห่อสัมผัสได้ถึงสายตาของนาง จึงเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง
“เจ้ามองอันใด?”
ฉู่หลิวเยว่ลุกขึ้นพลางหัวเราะ
“ท่านรองแม่ทัพมู่มาจากแดนไกล คงลำบากแย่ เรื่องเมื่อคืนนั้นเป็นเพราะหลิวเยว่ใจร้อนเกินไป ข้าขอดื่มเพื่อเป็นการขอให้ท่านจงอภัยแก่ข้า”
พูดจบก็ยกแก้วสุราขึ้นมาอยู่ตรงหน้าแล้วดื่มหมดแก้วทันที
“สอพลอ!”
หรงซิวโมโหจนแอบด่าในใจ
ตั้งแต่มู่ชิงเห่อเดินเข้ามา ฉู่หลิวเยว่ก็เอาแต่ใช้วิธีต่างๆ มาดึงดูดความสนใจของเขา ตอนนี้ยังยั่วท่านอย่างโจ่งแจ้งไปอีก
คนอยู่ที่นี่เยอะขนาดนี้ ใครบ้างที่จะมีสิทธิ์ขอชนแก้วแบบนาง
มู่ชิงเห่อจึงมองไปยังแก้วสุราในมือ
แล้วกลิ่นหอมก็พัดโชยเข้ามาในจมูก
เขาขมวดคิ้วด้วยความรังเกียจก่อนจะวางแก้วลง
“เคร้ง”
แก้วที่ทำจากหยกสีเขียวหล่นลงบนโต๊ะจนเกิดเสียงแสบแก้วหูดังนี้
ภายในห้องจัดงานเงียบสงัด ทุกคนพากันมองหน้ากัน
นี่กำลัง…โมโหอีกแล้ว?
“ข้าไม่ดื่ม”
มู่ชิงเห่อพูดอย่างเย็นชา แต่ละคำนั้นเยือกเย็นยิ่งกว่าอันใด สีหน้าของฉู่หลิวเยว่ถึงกับประหลาดใจ ว่ายังไม่ได้ดื่มรึ?
แล้วเมื่อกี้ที่เขารินสุรา…ก็คงเพราะคิดเรื่องอื่นอยู่สินะ?
ขณะที่เขากำลังครุ่นคิดบางอย่างอยู่ ก็มักจะหยิบของผิดเพราะจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
ดูแล้วเรื่องนี้ก็เหมือนแต่ก่อนไม่มีผิด
จักรพรรดิจยาเหวินเหมือนจะคิดสักอย่างออก จึงรีบเอ่ยปากบอกบ่าวที่อยู่ข้างๆ
“ดูแลกันอย่างใด ใครเป็นคนเอาสุรามาวาง”
“ขอประทานอภัยฝ่าบาท!”
บ่าวคนหนึ่งรีบคุกเข่าอย่างร้อนรน ก่อนจะรีบร้องขออภัย
แต่ในใจของนางก็รู้สึกหนักใจเหมือนกัน เพราะใครจะรู้ว่าแขกผู้สูงเกียรติท่านนี้จะไม่ดื่มสุรา?
เป็นถึงหัวหน้าทหารไม่ใช่รึ? เหตุใดถึงไม่ดื่มนะ?
ฉู่หิวเยว่รีบก้มหน้าลง และมีร่องรอยความตื่นตระหนกเกิดขึ้นบนใบหน้าของนาง
“เป็นความไม่รู้ของหลิวเยว่เอง ทุกอย่างเป็นความผิดของข้า ได้โปรดท่านรองแม่ทัพมู่อย่าโทษฝ่าบาทและคนอื่นๆ เลยเพคะ”
หรงเจินหัวเราะเยาะ
“นางยังกล้าอวดดีอยู่อีก!”
เดิมทีมู่ชิงเห่อก็ไม่ลงลอยกับนางอยู่แล้ว ตอนนี้ยังก่อเรื่องแบบนี้ขึ้นอีกดูสิว่านางยังจะกล้าอวดดีอยู่หรือไม่! ก็แค่ได้ที่หนึ่งจากงานสมาคมเยาวชนไม่ใช่รึ? มีอันใดให้น่าอวดดีทไม่เห็นหรือไงว่าคนอื่นเค้าไม่ชอบเจ้า?
หรงเจินกลับไม่ได้คิดว่าถ้ามู่ชิงเห่อไม่ชอบฉู่หลิวเยว่ ก็คงไม่มีใครในงานเลี้ยงนี้ที่จะเข้าตาเขาได้อีกแล้ว
สีหน้าของมู่ชิงเห่อเคร่งขรึมสักพัก และในขณะที่ทุกคนกำลังคิดว่าเขาจะลงโทษฉู่หลิวเยว่อย่างใดนั้นกลับได้ยินเขาบอกว่า
“ช่างมัน”