ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 298 เปลวไฟพันปี
ตอนที่ 298 เปลวไฟพันปี [รีไรท์]
ซุนจ้งเหยียนถูกคำพูดนี้ทำเอาชะงักและไม่รู้สึกตัวไปสักพัก
เมื่อพูดแบบนี้แล้ว ตอนนี้หรงซิวไปถึงชั้นที่สี่แล้ว ส่วนฉู่หลิวเยว่ก็คงจะขึ้นไปถึงชั้นที่เจ็ดแล้วเช่นกัน!
เอ่อ…
“ท่านอาจารย์ลุง แล้วเราจะทำอย่างใดรึ?”
ถึงซุนจ้งเหยียนจะเคยเจอกับอุปสรรคต่างๆ มาก่อน แต่เมื่อเจอกับสถานการณ์แบบนี้ก็กระวนกระวายอยู่เหมือนกัน
เยี่ยจือถิงขมวดคิ้วแรงพลางสะบัดพัดที่ถืออยู่ในมือด้วยความร้อนรนใจไม่หยุด
“เจ้าเดรัจฉานนี้อยากจะออกมานัก ถ้าไม่สามารถเก็บมันได้ เกรงว่าคงจะไม่มีใครเข้าหอคอยจิ่วโยวได้อีก!”
อีกอย่างเขาก็ไม่มีความมั่นใจว่าจะสามารถปราบมันทั้งหมดภายใต้สถาการณ์ที่หอคอยแตกร้าวแบบนี้ได้
ต่อให้สามารถทำได้ ก็ต้องใช้เวลานานตั้งเท่าใด?
ฉู่หลิวเยว่และหรงซิวที่ติดอยู่นั้นจะสามารถรอดจนถึงตอนนั้นหรือไม่?
ตอนนี้เปลวไฟสีดำนี้ถูกปลดปล่อยออกมาจนท่วมครึ่งหนึ่งของหอคอยไปแล้ว และเกรงว่าพวกเขาจะถูกไฟล้อมไปแล้ว และเกรงว่าพวกเขาสองคนจะตกอยู่ในอันตรายเช่นกัน!
จู่ๆ เยี่ยจือถิงก็มองไปยังหอคอยจิ่วโยว
ทันใดนั้นเปลวไฟสีดำลูกหนึ่งลุกโชนขึ้นอีกครั้ง!
มันแผ่ความร้อนออกมาเพื่อกั้นเยี่ยจือถิงให้อยู่ข้างนอก!
แกร่ก!
บนหอคอยจิ่วโยวเกิดรอยร้าวอีกเส้นหนึ่ง
แล้วสะเก็ดไปก็ฟุ้งออกมาทันที
อากาศที่อยู่รอบๆ หอคอยจิ่วโยวร้อนระอุไปหมด แม้แต่ต้นไม้ที่อยู่ข้างๆ ก็เกิดไฟไหม้ขึ้นมา
แววตาของเยี่ยจือถิงจ้องหอคอยจิ่วโยวตาเขม็ง และจิตใจก็เริ่มเศร้าหมองลง
“ทุกคนฟังคำสั่งให้ดี เปิดใช้ค่ายกลผนึกสวรรค์อย่างเต็มกำลัง ปราบเดรัจฉานตัวนั้นให้ได้!”
เมื่อน้ำเสียงที่แก่ชราถูกส่งออกมาจากไกลๆ ก่อนจะสะท้อนก้องอยู่ท่ามกลางอากาศในสำนัก
“รับทราบ!”
ผู้อาวุโสและอาจารย์พากันขานรับ!
…
โลกภายนอกวุ่นวายถึงเพียงนี้ แต่ภายในหอคอยจิ่วโยวกลับเงียบสงบจนนน่าขนลุก
ชั้นที่เจ็ด!
ชั้นที่เจ็ดนี้ไม่เหมือนกับชั้นอื่นๆ มันเป็นที่โล่งกว้างและเป็นที่โล่งกว้างใหญ่ยักษ์ที่สมบูรณ์แบบ
แต่ตอนนั้นฉู่เหลิวเยว่ก็ยืนมองสถาการณ์ที่อยู่ตรงหน้าในที่โล่งกว้างด้วยความรู้สึกตกตะลึงในใจจนจิตใจไม่สงบอยู่นาน และข้างหน้าของนางนั้นก็เป็นที่ตั้งหม้อต้มยาสามขาโปร่งใสขนาดใหญ่
ไม่รู้ว่าหม้อต้มยาใบนี้ทำมาจากอันใด ทำมาจากหินหรือหยก เพราะนอกจากจะไม่มีสีแล้วยังมีรูปภาพแปลกๆ แกะสลักอยู่บนผิวด้วยหรืออาจจะเป็นเพราะผ่านยุคสมัยมานานแล้ว จึงทำให้รูปภาพบนนั้นเลือนลางไป
ฉู่หลิวเยว่มองอยู่นาน ก็มองไม่ออกว่ารูปภาพบนนั้นคือรูปอันใด
แต่นั่นมันไม่ใช่เรื่องสำคัญ สิ่งที่สำคัญก็คือในหม้อใบนี้มีเปลวไฟสีดำอยู่ลูกหนึ่ง ซึ่งกำลังลุกโชนอย่างบ้าคลั่งอยู่!
เหตุผลที่อากาศทั้งห้องนี้ร้อนระอุก็เป็นเพราะเปลวไฟสีดำลูกนี้ และเปลวไฟข้างในนั้นก็กำลังพุ่งออกไปด้านนอกด้วยความบ้าคลั่ง
ถ้าตอนนั้นฉู่หลิวเยว่สามารถออกไปได้ก็คงจะรู้ว่าชั้นล่างของหอคอยจิ่วโยวได้ถูกครอบไปด้วยเปลวไฟสีดำอันบ้าคลั่งนี้หมดแล้ว ซึ่งเป็นเปลวไฟที่ออกมาจากหม้อยาใบนี้
แต่นางสามารถมั่นใจได้ว่าเปลวไฟนี้เหมือนกับเปลวไฟที่แกะสลักบนผนังหอคอยจิ่วโยวไม่มีผิด
วันแรกที่นางเข้ามาในหอคอยจิ่วโยวนั้น นางก็เคยถูกเปลวไฟลวงตาเผานางไป และเกือบจะพรากชีวิตของนางไปเช่นกัน
พอดูจากวันนี้แล้วมันก็คือสิ่งนี้นี่เอง และบรรยากาศที่อบอวลไปด้วยกลิ่นไอของความดุร้ายยังคงหลั่งไหลออกจากหม้อยาใสใบนั้น!
ฉู่หลิวเยว่สูดหายใจ ก่อนหน้านี้ที่ถวนจื่อกินรั้วกั้นชั้นที่เจ็ดเข้าไปแล้ว นางก็ตามถวนจื่อขึ้นมายังชั้นที่เจ็ดด้วยเช่นกัน เมื่อขึ้นมาแล้วจึงเห็นทั้งหมดที่อยู่ตรงหน้าตอนนี้
นางไม่เคยคิดเลยว่าชั้นที่เจ็ดของหอคอยจิ่วโยวจะซ่อนเปลวไฟสีดำแบบนี้เอาไว้ จากที่นางรู้จักหอคอยจิ่วโยวมา ของสิ่งนี้ถือเป็นสิ่งที่คงอยู่ในนี้มาตั้งแต่แรกแล้ว
ช่างน่าแปลกใจเหลือเกิน
ถ้ำเทียนหยวนฝูเป็นสถานที่ฝึกที่แปลกประหลาดมาก ไม่มีใครที่จะขังสัตว์อสูรไว้ที่นี่แน่นอน และคงไม่มีใครที่คิดจะทิ้งเปลวไฟอันแปลกประหลาดไว้ที่นี่ด้วยเช่นกัน
ของสิ่งนี้เป็นสิ่งที่เยือกเย็นจนน่าขนลุก ถึงแม้ว่าจะอยู่ห่างไกลพอสมควรในใจของฉู่หลิวเยว่ก็ยังคงรู้สึกขนลุกอยู่ดี
เป็นเรื่องยากที่จะจินตนาการว่าตอนนั้นใครคือคนที่อยู่ในหอคอยจิ่วโยว และจัดวางของพวกนี้เอาไว้ ทันใดนั้นก็มีแสงสว่างสีแดงสองจุดเกิดขึ้นในเปลวไฟลูกนั้น ต่อมาฉู่หลิวเยว่ก็รู้สึกว่านั่นไม่ใช่แสงสีแดงแต่อย่างใด แต่ในคือดวงตาสีแดงต่างหาก
นางเคยเห็นดวงตาคู่นี้มาก่อน!
มันก็คือดวงตาของนกอินทรีย์
นางเคยรู้สึกถึงแรงข่มขู่ของดวงตาคู่นี้นับครั้งไม่ถ้วน ฉะนั้นนางจึงมองออกทันที
แต่ครั้งนี้เมื่อได้เห็นเองกับตาแล้วก็รู้สึกตกใจกว่าครั้งก่อนๆ มาก
อากาศที่เยือกเย็นจนขนลุกปกคลุมตัวนางจนนางไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้
ฉู่หลิวเยว่รู้สึกว่าเลือดในร่างกายของนางนั้นแข็งตัวไปหมดแล้วอย่างใดอย่างนั้น มีเพียงหัวใจเท่านั้นที่ยังคงเต้นอยู่
นางเดินไปข้างหน้าอย่างควบคุมไม่ได้ ทันใดนั้นถวนจื่อที่อยู่บนไหล่ของนางก็กระโดดขึ้น ก่อนจะขู่เตือนด้วยเสียงกรีดร้อง
ฉู่หลิวเยว่นิ่งไปก่อนจะรู้สึกตัวและหยุดเดิน
ตอนนั้นนางตกใจจนเหงื่อตก เพราะเมื่อครู่นี้นางถูกดวงตาคู่นั้นสะกดจิตเข้าแล้ว
ถ้าเข้าไปใกล้กว่านี้เกรงว่าจะเป็นอันตรายเข้า
นางขมวดคิ้วก่อนจะมองไปยังเปลวไฟที่กำลังลุกโชนอย่างบ้าคลั่ง แล้วเอ่ยปากถามทีละคำ
“เจ้าคือใครกันแน่ แล้วเหตุใดถึงจ้องข้าอยู่แบบนั้น?”
และเสียงที่ตอบกลับมาก็เป็นเพียงเสียงนกร้องเท่านั้น
เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายไม่คิดจะตอบคำถามนี้ของนาง
ฉู่หลิวเยว่มองไปยังถวนจื่อ
“ถวนจื่อ เจ้ามองออกหรือไม่ว่ามันคือตัวอะไรกันแน่?”
ถวนจื่อบินวนสำรวจไปรอบหนึ่งก็ส่ายหัวเช่นกัน
ฉู่หลิวเยว่รีบครุ่นคิดทันที
เมื่อชาติที่แล้วนางเคยเห็นอสูรระดับสูงมาก่อน แต่เหล่าอินทรีย์นั้นดูเหมือนว่าจะไม่คล้ายคลึงสักเท่าใด ตอนนี้นางจึงไม่สามารถมั่นใจในสภาพที่แท้จริงของอีกฝ่าย แต่นางก็มั่นใจว่า สัตว์อสูรตัวนี้อยากจะออกไปจากที่นี่!
ไม่รู้หม้อยาใสใบนี้นั้นเป็นสิ่งที่นำมาขังมันเอาไว้หรือว่านำมาเลี้ยงมันกันแน่!
ฉู่หลิวเยว่จึงไม่กล้าแตะต้องมัน
ขณะที่นางกำลังครุ่นคิด ดวงตาสีแดงคู่นั้นก็เต็มไปด้วยแววตาแห่งความอาฆาต
จากนั้นเปลวไฟสีดำลูกหนึ่งก็กลายเป็นปีกขนาดยักษ์แล้วบินมาหานางทันที
ดวงตาที่ดุดัน คมปากที่เล็กแหลม!
เพียงพริบตาเดียวก็พุ่งมาอยู่ตรงหน้าของฉู่หลิวเยว่
ฉู่หลิวเยว่ตกใจจนก้าวถอยหลังทันที!
จากนั้นแรงข่มขู่อันน่าสะพรึ่งกลัวก็ทำให้นางเกือบจะขยับตัวไม่ได้
ถ้าช้ากว่านี้อีกเพียงวินาทีเดียว ร่างของนางก็คงถูกปีกคู่นั้นปกคลุมไปแล้ว
ถวนจื่อที่มีเหงื่อเปียกโชกก็กำลังจะพุ่งชนเข้าไปทันที
ทันใดนั้น ในจุดตันเถียนของฉู่หลิวเยว่ก็มีหยดน้ำลอยขึ้นมา และจู่ๆ ก็หมุนอย่างรวดเร็ว!