ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 302 หม้อยา
ตอนที่ 302 หม้อยา [รีไรท์]
จักรพรรดินีรีบพยุงจักรพรรดิจยาเหวิน ก่อนจะเอ่ยปากด้วยความกังวล
“ฝ่าบาท ท่านอย่าเป็นอันไปเพคะ!”
จักรพรรดิจยาเหวินจับข้อมือของจักรพรรดินีไว้แน่น ไม่ง่ายเลยกว่าเขาจะยืนตรงได้จึงรีบมองไปยังหอคอยจิ่วโยว ในใจมีทั้งความรู้สึกกังวลและโมโห
“เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้? นักเรียนคนอื่นๆ อยู่ที่นี่หมดแล้วไม่ใช่รึ? เหตุใดเขาถึงยังอยู่ในหอคอยอยู่อีก”
จั่วหรงมองหน้าแต่ละคนแล้วก็ไม่รู้ว่าควรทำอย่างใดดี
ตูม!
ทันใดนั้น เปลวไฟบนหอคอยจิ่วโยวก็ระเบิด จากนั้นจึงลุกลามขึ้นไปด้านบนเรื่อยๆ
จักรพรรดิจยาเหวินแน่นอกและในที่สุดก็ยับยั้งความโกรธเอาไว้ไม่อยู่จึงตะโกนเสียงดัง
“ร่างกายของเขาไม่แข็งแรง พวกเจ้ายังให้เขาเข้าไปในหอคอยอยู่อีก จิตใจของพวกเจ้าทำด้วยอันใดกันแน่ ถ้าเกิดอันใดขึ้นกับเขา พวกเจ้าไม่ได้ตายดีแน่!”
จักรพรรดิจยาเหวินเคารพอาจารย์และหัวหน้าสำนักของสำนักเทียนลู่มาโดยตลอด ไม่เคยใช้น้ำเสียงและคำพูดแบบนี้กับพวกเขามาก่อน
ฉะนั้นเสียงตะโกนครั้งนี้จึงทำให้ทุกคนถึงกับอึ้งและรู้ตัวว่าฝ่าบาทเป็นห่วงหลีอ๋องเพียงใด
จั่วหรงอธิบายอย่างประหม่า
“ได้โปรดฝ่าบาทจงใจเย็นเสียก่อน เรื่องนี้…เรื่องนี้…ที่จริงแล้วหลีอ๋องเป็นคนเข้าไปเอง…”
จักพรรดิจยาเหวินนิ่งไป จากนั้นสีหน้าแข็งกร้าวทันที
“เป็นไปได้อย่างใด?”
หรงซิวรู้ว่าตัวเองป่วยเหตุใดถึงได้คิดไม่ตก และเข้าไปในหอคอยจิวโยวแบบนั้น!
“ข้าไม่กล้าปิดบังฝ่าบาท ดังนั้นจึงต้องบอกความจริง อันที่จริงแล้วก่อนที่หอคอยจิ่วโยวจะเกิดการเปลี่ยนแปลงนักเรียนทุกคนก็ถูกไล่ออกมาหมดแล้ว จากนั้นเปลวไฟสีดำในหอคอยจิ่วโยวก็ลุกไหม้ขึ้นมา แต่ตอนนั้นเป็นตอนที่หลีอ๋องเข้าไปอยู่ในหอคอยจิ่วโยวพอดี”
เขากลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก
“ผู้อาวุโสเว่ยอวิ๋นพยายามรั้งเอาไว้แล้ว แต่…ไม่สามารถรั้งเอาไว้ได้…”
เป็นคำพูดง่ายๆ แต่กลับมีความหมายมากมายซ่อนอยู่
จักรพรรดิจยาเหวินตอบสนองทันที ก่อนจะเอ่ยปากถามด้วยความเหลือเชื่อ
“เจ้าหมายความว่า เขาทะลุเปลวไฟสีดำนั้นเข้าไปรึ!”
ด้วยความตกใจ น้ำเสียงของเขาจึงมีความสั่นเครืออยู่
จั่วหรงพยักหน้า
“ใช่ขอรับ”
เขาเป็นคนที่ขี้กลัวหรอกรึ?
หรงซิวทำแบบนี้ ไม่ได้เป็นการรนหาที่ตายหรอกรึ!
“ต่อมาพวกข้าจึงลองเข้าไป แต่เปลวไฟนั้นลุกโชนมากเกินไปจึงไม่มีปัญญาเข้าไปได้”
จั่วหรงพูดแล้วก็ก้มหน้าลง
ตัวเขาเองก็รู้ว่าการอธิบายแบบนี้ทำให้เขาดูขี้ขลาดมาก
แต่ถึงอย่างใดนี่ก็คือความจริง
แต่พวกเขากลับไม่สามารถดูแลหรงซิวให้ดีได้
ถ้าเกิดเรื่องขึ้นกับหรงซิวจริงๆ ล่ะ…
จักรพรรดิจจยาเหวินเงยหน้าขึ้น ก่อนจะเอียงคอมองเปลวไฟสีดำที่กำลังครอบหอคอยจิ่วโยวด้วยสีหน้าที่ซีดขาวและไม่พูดไม่จาอยู่นาน
ถ้าข้อมือของจักรพรรดินีที่ยืนอยู่ข้างหลังเขาถูกจับแน่นจนรู้สึกเจ็บ ไม่จำเป็นต้องมองก็เห็นความม่วงเขียวได้อย่างชัดเจน
แต่นางกลับอดทนด้วยท่าทางที่ไม่รู้จะทำอย่างใด
แต่ความเจ็บปวดนี้มันจะหนักหนาแค่ไหนกันเชียว?
เมื่อได้ยินว่าหรงซิวถูกขังเอาไว้ในหอคอยจิ่วโยว ก็ลืมความเจ็บนี้ไปแล้ว
สถานที่ที่อันตรายแบบบนั้น หรงซิวเข้าไปแล้วยังจะมีชีวิตรอดอีกอยู่รึ?
เดิมทีก็ยังไม่รู้ว่าควรจัดการอย่างใดดี และไม่นึกว่าเขาจะส่งตัวเองไปตายแบบนั้น
จั่วหรงพูดอย่างชัดเจนว่าหรงซิวอยากจะเข้าไปเอง ถ้าอย่างงั้นหากเขาตายแล้ว และเป็นสิ่งที่โทษใครไม่ได้ และอย่างน้อยก็ไม่เกี่ยวข้องอันใดกับพวกเขาสองแม่ลูกอยู่ดี!
จักรพรรดินีเก็บความสุขเอาไว้ในใจ ก่อนจะขมวดคิ้วแล้วพูดปลอบใจ
“ฝ่าบาท ท่านอย่าเพิ่งใจร้อนไปหลีอ๋องมีความสามารถที่เขาทำแบบนี้ต้องมีเหตุผลของตัวเองแน่นอน ตอนนี้ท่านผู้อาวุโสเยี่ยอยู่ตรงนั้น คิดว่าหลีอ๋องต้องไม่เป็นอันใดแน่นอน”
แต่ตอนนั้นสิ่งที่พูดกลับไม่ได้เข้าไปในหูของจักรพรรดิจยาเหวินเลยสักคำ
ผู้อาวุโสเยี่ยอยู่ก็จริง แต่ใครจะดูไม่ออกว่าค่ายกลผนึกสวรรค์นั้นคงอยู่ได้ไม่นาน
อีกอย่าง…หอคอยจิ่วโยวก็เริ่มจะพังลงมาแล้วด้วย!
“รีบ…หาวิธีเร็วเข้ารีบหาวิธีช่วยหรงซิวออกมา!”
จักรพรรดิจยาเหวินตะโกน แล้วจู่ๆ ก็เหลือบไปเห็นเงาของมู่ชิงเห่อ
ดวงตาของเขาเป็นประกาย และทันใดนั้นเขาก็เห็นฟางเส้นสุดท้ายทันที
“ท่านรองแม่ทัพมู่…ท่านรองแม่ทัพมู่!”
มู่ชิงเห่อได้ยินก็มองไปยังจักรพรรดิจยาเหวินทันที
จักรพรรดิจยาเหวินเห็นทางนั้นมีความเคลื่อนไหวแล้ว เขาก็รู้ว่าจักรพรรดิจยาเหวินนั้นอยากจะช่วยเขาอยู่ แต่เขาก็ไม่ได้คิดจะลงมือทำอันใด
เมื่อเห็นการแสดงออกที่เย็นชา และไม่แยแสของมู่ชิงเห่อ จักรพรรดิจยาเหวินจึงรู้สึกไม่สบายใจอย่างมาก
แต่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนี้ เขาคิดอย่างอื่นไม่ได้จึงได้แต่อ้อนวอน
“ท่านรองแม่ทัพมู่ ท่านเป็นคนมีความสามารถ ท่านต้องทำได้แน่นอน…”
“ไม่ช่วย” มู่ชิงเห่อขัดจังหวะการพูดจักรพรรดิจยาเหวินโดยไม่ทันได้คิดอันใด
สีหน้าของจักรพรรดิจยาซีดขาวกว่าเดิม
ตอนนั้นเขาคิดอยากจะดิ้นรนต่อ แต่มู่ชิงเห่อก็พูดขึ้นอีกว่า
“ตอนนี้เขาไม่ได้ตกอยู่ในอันตรายใดๆ เหตุใดต้องช่วยด้วย?”
…
ภายในหอคอยจิ่วโยว
ตูม!
ปีศาจแดงถูกโจมตี จนตัวกระเด็นออกไปแล้วฟาดลงกับพื้นอย่างจัง!
เปลวไฟสีม้าของมันก็อ่อนแอลงมาก
“ปีศาจแดง!”
ฉู่หลิวเยว่รีบขึ้นไปข้างหน้า
ปีศาจแดงดิ้นรนที่จะลุกขึ้นจากพื้น แต่สุดท้ายก็ล้มลงกับพื้นอีก
บนปีกของมันมีแผลที่มีเลือดไหลอยู่แผลหนึ่ง
ฉู่หลิวเยว่อุ้มมันขึ้นมาก่อนจะหันกลับไปมอง
ในหม้อยาใสใบนั้น เปลวไฟสีดำที่กลายเป็นภูตผีแปลกประหลาดก็เบาลงมากเช่นกัน
ทั้งสองต่อสู้กันอย่างดุเดือด และสุดท้ายก็เสมอกัน!
ฉู่หลิวเยว่รู้ว่าปีศาจแดงก็เคยต่อสู้กับอีกฝ่ายมาก่อน แถมยังได้รับบาดเจ็บอีกด้วย ฉะนั้นในใจของนางจึงไม่กล้าดูถูกมัน แต่นึกไม่ถึงว่า ปีศาจแดงโจมตีอย่างเต็มแรง แต่พลังก็ยังเท่ากับฝ่ายตรงข้ามอยู่ดี!
ถ้าปล่อยให้ของสิ่งนี้หลุดออกมา ก็ไม่รู้จริงๆ ว่าจะทำให้เกิดเรื่องวุ่นวายอะไรขึ้น…ในขณะเดียวกัน ฉู่หลิวเยว่ก็เห็นว่าบนหม้อยาใสใบนั้นมีลำแสงลำหนึ่งแวบผ่าน!
ครั้งนี้ชัดเจนกว่าครั้งก่อนๆ ฉู่หลิวเยว่ถึงขั้นมองออกว่าลำแสงลำนั้นเหมือนว่ากำลังทำให้เกิดรอยแปลกๆ ขึ้นตรงขาตั้งของหม้อยา
ไม่รู้ว่านางคิดไปเองหรือไม่ นางรู้สึกเพียงว่าหลังจากที่เกิดลำแสงนั้น รอยบนหม้อยาก็ดูเหมือนจะชัดเจนขึ้นอีก ปีศาจแดงนอนอยู่ในอ้อมอกของฉู่หลิวเยว่ แต่กลับจ้องหม้อยาใสใบนั้นด้วยแววตาที่ไม่พอใจ
ก่อนหน้านี้ที่แพ้ไปครึ่งหนึ่งก็ขายขี้หน้านกมากแล้ว นึกไม่ถึงว่าครั้งที่สองก็จะไม่ชนะอีก ถ้าเรื่องรู้ถูกแพร่ออกไป ชื่อเสียงของมันยังจะเหลืออยู่หรือไม่!
มันขยับตัว และคิดจะสู้อีกครั้ง แต่กลับกระพือปีกที่ไม่มีแรงไปหนึ่งที
ฉู่หลิวเยว่จึงเอ่ยปาก
“ตอนนี้เจ้าดีรับบาดเจ็บอยู่…อยู่นิ่งๆ หน่อย”
ปีศาจจึงเก็บปีกอย่างเชื่อฟังทันที
แต่เมื่อนึกถึงการต่อสู้ครั้งนี้ก็รู้สึกว่าตัวเองไม่มีปะโยชน์ ก่อนจะเอาหัวมุดหลบ
ฉู่หลิวเยว่พูดด้วยความเข้าใจว่า
“เจ้าอยากจะให้ข้าช่วยล้างแค้นหรือไม่?”
ปีศาจแดงจึงชะโงกหน้าออกมาและตอบรับด้วยแววตาปริบๆ
ถวนจื่อมองมันแล้วก็ยิ้มด้วยความเย้ยหยัน
ไร้ประโยชน์!
ปีศาจแดงจ้องมันตาเขม็งทันที
ฉู่หลิวเยว่ตบที่หัวของมันเบาๆ ก่อนจะหัวเราะด้วยความอดไม่ได้
“ได้แล้ว รออยู่ที่นี่ก็แล้วกัน”
ปีศาจแดงจึงบินไปอยู่อีกฝั่งด้วยความอาลัยอาวรณ์
เมื่อเขามาถึงเขาไม่ลืมที่จะเงยหน้าขึ้นมองที่เปลวไฟสีดำ ที่ดูหยิ่งผยองและกำลังมองหาผู้สนับสนุน
ฉู่หลิวเยว่กุมขมับ
เหมือนว่าปีศาจแดงจะยังไม่รู้ว่าตอนนี้นางไม่ใช่นางคนเดิมแล้ว
นางไม่แน่ใจว่าจะชนะหรือไม่
เมื่อนึกถึงตรงนี้ฝ่ามือจอบนางก็พลิกขึ้น
เมื่อใจถูกกระตุ้น เปลวไฟสีแดงก่ำก็ลุกโชนขึ้น และในขณะเดียวกัน
จู่ๆ บนหม้อยาใบใสก็ปล่อยลำแสงออกมา!
รอยด้านบนนั้นก็เริ่มชักเจนขึ้น
ตูม!