ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 318 กลับไป
ตอนที่ 318 กลับไป [รีไรท์]
ฉู่หลิวเยว่ยักคิ้วประหนึ่งรู้สึกตกใจ
“งั้นหรือ? ไม่รู้ว่ารองแม่ทัพมู่เคยเจอกับอสูรร้ายประเภทเดียวกันกับถวนจื่อที่ใดหรือ? ถ้าเป็นพรหมลิขิต บางทีอีกฝ่ายอาจจะเป็นพรหมลิขิตของถวนจื่อก็เป็นได้”
มู่ชิงเห่อจ้องมองฉู่หลิวเยว่ ประหนึ่งกำลังคิดว่าคำพูดนี้ของนางนั้นออกมาจากใจจริงหรือไม่
“มันเป็นสัตว์อสูรร้ายของคนที่ข้าเคยรู้จักนะ แต่มันไม่ใช่ตัวเพียงพอนโลหิต มันคือ…”
เขานิ่งไปสักพักจู่ๆ ก็เผยรอยยิ้มที่อ่อนโยนออกมา
“ช่างมันเถิดถึงอย่างใดเขาก็ตายไปแล้ว ไม่จำเป็นต้องพูดถึงอีก”
ฉู่หลิวเยว่รู้สึกคับแค้นใจทันที
นางได้ยินเสียงของตัวเอง
“น่าเสียดายจริงๆ…ถ้าเป็นประเภทเดียวกันกับถวนจื่อแบบนี้ ต้องน่ารักสุดๆ แน่นอน แต่เหตุใดสัตว์อสูรตัวนั้นถึงตายหรือ? หรือว่ามันตายจากการต่อสู้”
มู่ชิงเห่อค่อยๆ เก็บรอยยิ้มที่มุมปากกลับไป ก่อนที่สีหน้าจะกลายเป็นเยือกเย็นเหมือนน้ำแข็ง
“เป็นเพราะนายของมันตาย มันคงตรอมใจตายไปด้วย แต่เป็นเพราะอสูรร้ายตัวนั้นก็มีความสามารถที่แข็งแกร่งเช่นกัน มันคือรู้ว่าการที่ตัวเองอยากตายนั้นไม่ได้ตายง่ายๆ จึงเลือกที่จะระเบิดตัวเองให้ตายไป”
ทุกๆ คำนั้นเป็นเหมือนมีดแหลมคมที่ทิ่มแทงเข้ามาในใจของฉู่หลิวเยว่อย่างโหดเหี้ยม
ถึงนางจะรู้ตั้งแต่แรกแล้ว แต่พอได้ยินด้วยตัวเอง นางจึงรู้สึกรับไม่ได้
“งั้นหรือ…ใช่แล้ว แล้วคนรู้จักคนนั้น ก็คือคนที่ข้าบอกว่าเจ้ากับนางมีความคล้ายกัน”
สีหน้าของมู่ชิงเห่อไม่ได้มีความรู้สึกใดๆ น้ำเสียงที่พูดออกมาก็เฉยชาสุดๆ ราวกับว่าเขากำลังพูดถึงเรื่องปกติเรื่องหนึ่งอย่างใดอย่างนั้น
ฉู่หลิวเยว่ฝืนขยับริมฝีปาก มือเท้าชาจนแทบจะขยับตัวไม่ได้
“อย่างงั้นหรือ”
“แค่ก…แค่กๆ”
จู่ๆ หรงเซียวที่อยู่ข้างๆ ก็ไอรุนแรงขึ้น
ฉู่หลิวเยว่จึงรีบหันไปมอง
“…หลีอ๋อง ท่านเป็นอันใดหรือ”
ไม่ง่ายเลยกว่าหรงเซียวจะหยุดไอได้ แล้วจึงยิ้มด้วยริ้มฝีปากที่ซีดเซียว
“ไม่มีอันใดหรอกเพียงแต่…รู้สึกเหนื่อยหน่อยๆ น่ะ…”
ฉู่หลิวเยว่รีบเอ่ยปากทันที
“ถ้าอย่างงั้นข้าส่งท่านกลับไปยังที่พักดีกว่า”
บนใบหน้าของหรงเซียวเต็มไปด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน
“ขอบใจเจ้ามาก”
ฉู่หนิงที่อยู่อีกฝั่งรู้สึกไม่วางใจ
“เยว่เอ๋อร์ เดี๋ยวพ่อตามเจ้าไปด้วยก็แล้วกัน”
พูดจบ พวกเขาก็กลับไปพร้อมกัน
มู่ชิงเห่อยังคงยืนอยู่ตรงนั้นและกำลังฉู่หลิวเยว่อยู่
ฉู่หลิวเยว่ก้าวไปได้ก้าวหนึ่งก็หันกลับมาถามว่า
“ท่านรองแม่ทัพมู่มีเรื่องอันใดอีกหรือไม่?”
มู่ชิงเห่อนิ่งไปสักพัก ไม่พูดไม่ไม่จา ก่อนจะหันตัวเดินกลับไปทันที
ฉู่หนิงมองดูแผ่นหลังของเขา ก่อนจะเดินมาอยู่ข้างฉู่หลิวเยว่พลางกระซิบว่า
“เยว่เอ๋อร์ เจ้าเคยทำผิดต่อท่านรองแม่ทัพมู่มาก่อนหรือ?”
ฉู่หลิวเยว่แสยะยิ้มโดยไม่สนใจอันใด
“อาจจะใช่ แต่ก็ไม่ได้ร้ายแรงขนาดนั้น”
…
หลังจากที่จักรพรรดิจยาเหวินกลับไปแล้ว หรงเซียวก็กลับมาถึงอย่างรวดเร็ว ผู้คนที่เดิมทีแล้วเกาะกลุ่มกันดูสถานการณ์ก็ได้แยกย้ายกลับไปกันแล้ว และสำนักเทียนลู่ก็เริ่มเงียบสงัดอีกครั้ง
เยี่ยจือถิงมองวากปรักหักพังของหอคอยจิ่วโยวแล้ว ก็รู้สึกปวดหัวจนต้องนวดขมับ
ช่วงนี้สถานการณ์บ้านเมืองเริ่มจะไม่สงงบแล้ว…
“ผู้อาวุโสเยี่ย”
จู่ๆ ก็เสียงหนึ่งดังขึ้น
เยี่ยจือถิงเงยหน้าขึ้นมอง ก่อนจะขมวดคิ้วอย่างรวดเร็ว
“ฝูอวิ๋นซาน เฉิงหัน?”
“ผู้อาวุโสเยี่ย ไม่นึกเลยจริงๆ ว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น พวกข้ามาช้าเกินไปจึงไม่สามารถช่วยเหลืออันใดได้ แบบนี้ไม่ถูกต้องเอาเสียเลย…” ฝูอวิ๋นซานอธิบายด้วยความเสียใจ
เมื่อเฉิงหันมองไปยังซากปรักหักพังของหอคอยจิ่วโยวก็รู้สึกได้ใจสดๆ จึงอดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้พลางเอ่ยปากว่า
“นั่นสิ ตั้งแต่ที่มีสำนักทียนลู่ก็มีหอคอยจิ่วโยวแล้ว แต่มาวันนี้กลับถูกทำลายไป ผู้อาวุโสเยี่ยคงเสียใจ แต่เรื่องแบบนี้ทำอันใดไม่ได้ สัตว์อสูรตัวนั้นเก่งกาจเกินไป ท่านว่าใช่หรือไม่ผู้อาวโสเยี่ย?”
เยี่ยจือถิงรี่ตามองทั้วงสอง ก่อนจะหัวเราะออกมา
“ใช่ ครั้งนี้นั้นเป็นเพราะพลังของสำนักพวกข้าไม่เพียงพอจริงๆ ถึงทำให้เรื่องกลายเป็นแบบนี้ได้ อสูรร้ายตัวนั้นพลังแข็งแกร่งมาก ต่อให้พวกเจ้ายื่นมือเข้ามาช่วยเหลือตอนนั้น ก็คงจะไม่มีประโยชน์อันใด ถึงอย่างพลังน้อยนิดของพวกเจ้า…ฮ่าๆ ข้าพูดตรงเกินไปแล้ว พวกเจ้าไม่สนใจใช่หรือไม่?”
สีหน้าของฝูอวิ๋นซานดูประหม่าไปทันที
เขาจึงแอบสายตาบอกเฉิงหันหนึ่งที จากพลังสัมผัสของเยี่ยจือถิงน้น รู้ตั้งแต่แรกออยู่แล้วว่าพวกเขาทั้งสแงคนอบอยู่ข้างๆ ทั้งๆ ที่พวกเขาสามารถยื่นมือเข้ามาช่วยได้ แต่กลับไม่มีท่าทีใดๆ เยี่ยจือถิงก็ต้อโกรธแค้นพวกเขาอยู่แล้ว
เฉิงหันถูกเหน็บแนมจนแทบเก็บสีหน้าไม่อยู่ แต่เมื่อคิดดูอีกทีสุดท้ายคนที่ได้รับความเสียหายมากที่สุดก็คือสำนักเทียนลู่
เรื่องแค่นี้จะทำให้เขาดีใจได้นานแค่ไหนเชียว
ฉะนั้นสำหรับคำพูดของเยี่ยจือถิงนั้น เขาก็ไม่ได้สนใจอยู่แล้ว
“ผู้อาวุโสเยี่ย ท่านจศีลนานขนากนั้น เกรงว่าจะไม่รู้ความเคลือนไหวของโลกภายนอกนัก ถึงความสามารถของพวกข้าจะสู้ท่านไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้ต่ำต้อยเหมือนอย่างที่ท่านว่า”
“ฮ่าๆ ข้าก็แค่พูดเล่น เหตุใดเจ้าถึงคิดจริงเช่นนั้นล่ะเฉิงหัน ก็เหมือนกับที่เจ้าแพ้ให้ข้าในตอนนั้น จากนั้นก็บอกว่าจะเอาลูกศิษย์มาเอาชนะลูกศิษย์ของข้า ก็เป็นแค่เรื่องล้อเล่นไม่ใช่หรือ?”
เฉิงหันหน้านิ่งทันที
เยี่ยจือถิงจึงถามด้วยความสงสัย
“เหตุใดหรือ…หรือว่าไม่ใช่? ข้าได่ยินมาว่า ด้านการแพทย์ที่ลูกศิษย์ของเจ้าทำยาเม็ดนั้น ก็เป็นลูกศิษย์ของข้าเป็นคนทำนี่ ถ้าเจ้ายังคิดจะแก้แค้นในเรื่องตอนนั้นอยู่ พวกเจ้าก็คงจะไม่ให้ลูกศิษย์ของเจ้ารับที่หนึ่งเอาไว้หรอกใช่หรือไม่?”
เฉิงหันสีหน้าเปลี่ยนไปและคิดอันใดบางอย่างออกทันที
ไม่เจอนานหลาย เยี่ยจือถิงก็ยังคงไม่ยอมให้อภัยอยู่ดี
ปากนี้ช่างทำให้คนรู้สึกเกลียดเสียจริง
“จู่ๆ ข้าก็นึกขึ้นได้ว่า พรุ่งนี้สำนักของพวกข้าก็ต้องกลับไปแล้ว มีบางเรื่องที่ยังไม่ทันได้ทำ และสถานการณ์ของสำนักเทียนลู่ก็แย่แบบนี้ พวกข้าอยู่ไปก็เป็นภาระเปล่าๆ ถ้าอย่างงั้นคงต้องขอตัวกลับก่อน”
เฉิงหันพูดจบก็หันตัวเดินจากไป
ฝูอวิ๋นซานก็รู้สึกลำบากใจ ก่อนจะพูดเสริมเล็กน้อยและไม่คิดที่จะอยู่ต่อ
เฉิงฟันเดินไปได้สองสามก้าวแล้ว จู่ๆ ก็รู้สึกว่าข้างๆ มีคนหายไปคนหนึ่ง นั่นก็คือซือถูซิงเฉิน
เขามองดูรอบๆ แต่ก็ไม่เห็นเงาของซือถูซิงเฉินเลยสักนิด
“พวกเจ้าเห็นซิงเฉินหรือไม่?”
เขาหันไปถามนักเรียนที่คุ้นหน้า
“เหมือนว่านางเพิ่งจะกลับไปนะ คงจะกลับไปที่โรงเตี๊ยมแล้วกระมัง”
เฉิงหันคิดๆ ดูแล้วก็รู้สึกว่าใช่
เมื่อครู่นี้ได้เห็นกับตาตัวเองแล้วว่าหรงเซียวและฉู่หลิวเยว่ได้ประกาศว่าจะอภิเษกสมรสกันแล้ว ในใจของนางก็คงจะเจ็บปวด การที่นางกลับไปก็เป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว
ในเวลาแบบนี้ ทำให้ตัวเองจิตใจสงบก็ดีเหมือนกัน
เฉิงหันสูดหายใจเข้าลึก
“เราไปกันเถอะ”