ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 344 การมาถึง
ตอนที่ 344 การมาถึง [รีไรท์]
เสียงนั่นมันเป็นเสียงทุ้มต่ำของชายหนุ่มที่ฟังดูไม่แยแส แต่กลับเจือด้วยความเยือกเย็นอันน่าสะพรึงกลัวเอาไว้
มู่ชิงเห่อได้แต่เก็บซ่อนความเจ็บปวดในใจเอาไว้ พลันกัดฟันแน่น
“นายท่านโปรดวางใจ ข้าน้อยจะดำเนินการให้โดยเร็วที่สุด!”
“เจ้าเหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว”
คลื่นน้ำบนแผ่นกระจกกระเพื่อมขึ้นอย่างอุกอาจ พร้อมกลิ่นคาวเลือดที่เข้มข้นขึ้นจนแทบหายใจไม่ออก
“ผู้คนต่างคิดว่าเจ้าออกไปตามหาชีพจรตี้จิง แต่ข้ออ้างนี้เริ่มหมดอายุไขของมันแล้ว หากเจ้าไม่สามารถจัดการสิ่งต่างๆ ให้สำเร็จได้ก่อนกำหนด ฉะนั้น…ก็อย่าได้กลับมา เข้าใจหรือไม่?”
ริมฝีปากของของมู่ชิงเห่อซีดเผือดเพราะความเจ็บปวด
“…ข้าน้อย เข้าใจแล้วขอรับ”
จากนั้นคลื่นน้ำสีแดงเข้มก็ค่อยๆ จางหายไป มีแสงสีขาวอีกดวงหนึ่งเข้ามาห่อหุ้มมันไว้แทน
ผ่านไปครู่หนึ่ง กระจกทองสัมฤทธิ์รูปเพชรก็กลับมาเป็นปกติ
ตอนนั้นเองที่มู่ชิงเห่อรู้สึกว่าเหมือนความเจ็บปวดในร่างกายเขาจะบรรเทาลงแล้ว
ชายหนุ่มหลับตา วางกระจกทองสัมฤทธิ์รูปเพชรไว้อีกด้าน แล้วเอนหลังพิงเก้าอี้อย่างหดหู่
พลันปีศาจแดงที่ยืนอยู่บนขอบหน้าต่าง ก็บินโฉบลงมาเกาะบนไหล่เขา
มู่ชิงเห่อลืมตาและมองดูมัน
ปีศาจแดงเขยิบเข้ามาใกล้และเอาตัวถูไถคลอเคลียกับใบหน้าเขา
มู่ชิงเห่อเงียบไปนาน ก่อนที่จะกระซิบบอก
“วางใจเถิด อีกไม่นานหรอก…”
…
ฉู่หลิวเยว่กลับไปที่สำนักเทียนลู่แล้วเล่าแผนการที่นางตั้งใจจะไปสำนักไท่เหยียนให้เยี่ยจือถิงฟัง
แม้ว่าใจหนึ่งเยี่ยจือถิงจะไม่เห็นด้วยสักเท่าไหร่ แต่ก็รู้ว่านี่เป็นโอกาสเหมาะ หากยอมแพ้ตอนนี้คงน่าเสียดายแย่
และในที่สุด เขาก็ตัดสินใจว่าจะพาฉู่หลิวเยว่ไปส่งที่สำนักไท่เหยียนด้วยตนเอง
หากไม่ใช่เพราะตอนนี้ทางสำนักเทียนลู่กำลังยุ่งเรื่องจัดการกับหอคอยจิ่วโยว เขาก็อยากจะไปที่นั่นกับฉู่หลิวเยว่ แล้วพานางกลับมาพร้อมกัน
ฉู่หลิวเยว่จึงกล่าวย้ำว่านางจะอยู่ที่นั่นเพียงสิบวัน และจะกลับมาในไม่ช้า ฉะนั้นเยี่ยจือถิงถึงยอมคลายกังวล
จากนั้นผู้อาวุโสและศิษย์จึงเก็บสัมภาระและเดินออกไปด้วยกัน
…
ณ แคว้นซิงหลัว สำนักไท่เหยียน
เมื่องานสมาคมเยาวชนสิ้นสุดลง เฉิงหันและผู้อาวุโสคนอื่นๆ ก็ได้พาศิษย์ของตนกลับมายังสำนัก
ทว่าเนื่องจากทำคะแนนได้ไม่ดีนัก บรรยากาศภายในสำนักจึงค่อนข้างอึมครึมจนน่ากระอักกระอ่วนใจ
นอกจากนี้ เพราะเหิงจิ่งชั่วใช้พิษกู่โลหิตแดงขณะที่อยู่ในสมาคมเยาวชน จึงส่งผลให้อีกสองสำนักวิชาส่งผู้อาวุโสมาตรวจสอบสำนักไท่เหยียน
ดังนั้นบุคคลที่ใกล้ชิดและได้ติดต่อกับเหิงจิ่งชั่ว จึงถูกสอบสวนทีละคน
ซึ่งเหตุการณ์เช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นในสำนักไท่เหยียนมาก่อน จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่พวกเขาจะรู้สึกอับอายและตื่นตระหนกอย่างยิ่ง
ใครมันจะไปตรัสรู้ว่าเหิงจิ่งชั่วจะลงมือทำร้ายผู้อื่นกัน?
ถึงจะไม่ใช่พิษกู่โลหิตเลือด แต่เขาอาจใช้พิษอื่นๆ ก็ได้!
สรุปแล้วก็โดนกล่าวโทษทั้งสำนัก และเฉิงหันเองก็ถูกแรงกดดันจากทุกด้านเข้าโจมตีเช่นกัน
แม้แต่ยอดเขาโอสถที่เขาฟูมฟักดูแลอย่างพิถีพิถันมาโดยตลอด ก็ยังถูกส่งมอบให้กับซือถูซิงเฉินรับช่วงดูแลมันต่อ
ตามจริงยอดเขาโอสถ คือหนึ่งในยอดเขามากมายที่อยู่ด้านหลังสำนักไท่เหยียน
แต่ที่ถูกเรียกว่า ยอดเขาโอสถ ก็เพราะมันหล่อเลี้ยงสมุนไพรล้ำค่าทุกชนิดจากสวรรค์และโลกเอาไว้
อย่างไรก็ตาม แม้ว่ายอดเขาโอสถแห่งนี้จะอยู่ในภายใต้อาณาเขตของสำนักไท่เหยียน แต่มันกลับถูกจัดให้เป็นพื้นที่ส่วนบุคคลของเฉินหัน ฉะนั้นอย่าว่าแต่ลูกศิษย์เลย แม้แต่ผู้อาวุโสในสำนักวิชาเองก็ไม่มีสิทธิ์เข้าไปยุ่มย่ามในเขตยอดเขาโอสถ
ซือถูซิงเฉินใช้เวลาอยู่บนยอดเขาโอสถสองวันเต็มๆ ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าลืมนำบางอย่างติดไปด้วย พลันคิดกลับลงไปเอาสิ่งๆ นั้น
นางเดินลงมาจากภูเขา และทันทีที่ลงไปถึงเชิงเขา นางก็เห็นร่างที่คุ้นเคยสองสามคนยืนอยู่ไม่ไกล
พวกเขาเป็นกลุ่มวัยรุ่นหนุ่มสาว ถึงจะสวมชุดเครื่องแบบของสาขาอื่น แต่เนื่องจากพวกเขามีความสัมพันธ์ที่ดีกับนาง และมีการติดต่อกันบ่อยๆ ซือถูซิงเฉินจึงจำได้อย่างรวดเร็ว
นางกำลังจะก้าวไปทักทาย พลันต้องชะงักที่ได้ยินอีกฝ่ายเอ่ยถึงชื่อของตัวเอง
“เหตุใดสองวันนี้จึงไม่เห็นซิงเฉินเลย?” ชายหนุ่มคนหนึ่งเอ่ย
ซือถูซิงเฉินกำลังจะอ้าปากพูด ทว่ายังไม่ทันได้เอื้อนเอ่ย เสียงหัวเราะของหญิงสาวนางหนึ่งก็ดังขึ้นเสียก่อน
“ตอนนี้นางจะกล้าโผล่หน้าออกมางั้นหรือ”
ซือถูซิงเฉินตัวแข็งทื่อทันที ราวกับโดนน้ำเย็นๆ สาดรดศีรษะ
นางเดินถอยหลังไปสองก้าวและซ่อนตัวอยู่หลังต้นไม้
“เจ้าพูดเกินไปแล้ว เสี่ยวอวิ๋น ซิงเฉินไม่ได้ทำอันใดผิด เหตุใดเจ้าถึงว่าร้ายนางเยี่ยงนั้น?” ชายหนุ่มคนนั้นตอกกลับอย่างไม่พอใจ
“เหอะ ข้าทำเกินไปงั้นรึ? ตอนนี้ใครๆ ก็รู้ว่าที่นางชนะ และได้อันดับหนึ่งตำแหน่งเซียนแพทย์ในงานสมาคมเยาวชนไป ก็เพราะยาของฉู่หลิวเยว่ ดีนะที่ครั้งนี้ข้าไม่ได้ไปด้วย มิเช่นนั้นได้มีการนองเลือดแน่ๆ! เหลือเชื่อจริงๆ เหตุใดนางยังกล้าเชิดหน้าชูคอกลับมาที่สำนักวิชาอีก?” แม่นางผู้นั้นหัวเราะเย้ยหยัน พลางเสียดสีนางอย่างโจ่งแจ้ง
“ใช่แล้ว! ข้าได้ยินมาว่าตอนนั้นฉู่หลิวเยว่ไม่ได้แตะต้องนางเลย เป็นนางเองที่พลังไม่พอจนเกือบกลั่นยาอายุวัฒนะไม่ได้! สุดท้ายนางก็โยนปัญหาทุกอย่างให้ฉู่หลิวเยว่ แล้วใครจะไปคิดว่าฉู่หลิวเยว่จะทำสำเร็จ อีกทั้งยังทำให้นางชนะได้ที่หนึ่งด้วย! ถ้าเป็นข้านะ ข้าคงไม่กล้ารับตำแหน่งนั่นหรอก!”
ใบหน้าของชายหนุ่มคนแรกแดงก่ำ
“แต่ความสามารถและความแข็งแกร่งของซิงเฉินเองก็ยอดเยี่ยมเช่นกัน! ขณะที่กำลังว่าร้ายนางอยู่ที่นี่พวกเจ้าเทียบนางได้งั้นหรือ”
“พวกเราเทียบนางไม่ติด ถึงได้ยอมเออออกับนางอยู่เช่นนี้ไงเล่า แต่ครานี้นางทำให้คนทั้งสำนักต้องเสียชื่อ! เจ้าจะให้เราทำเป็นไม่รู้สึกรู้สาเลยงั้นหรือ จางหลิง พวกเรารู้ว่าเจ้าชอบนาง แต่เจ้าไม่สังเกตบ้างหรือ ว่านางไม่เคยเหลียวมองเจ้าเลย?”
เด็กหนุ่มโดนโต้กลับจนพูดไม่ออก
“วิสัยทัศน์ของซือถูซิงเฉินนั้นสูงลิ่ว มีชายหนุ่มมากความสามารถหลายคนขอนางแต่งงาน แต่นางกลับไม่มีทีท่าสนใจชายใดเลย”
“แต่ก็นะ ชื่อเสียงของนางพังทลายไปครึ่งหนึ่งแล้ว มาดูกันว่ายังจะมีคนชอบนางอยู่อีกมากหรือไม่?”
ซือถูซิงเฉินตัวสั่นด้วยความโกรธ นางกำมือแน่นจนเล็บจิกเข้าเนื้ออุ้งมือ
แค่นี้นางยังได้รับความอัปยศอดสูไม่พออีกหรือ!?
ไม่คิดเลยว่าคนพวกนี้จะพูดถึงนางเช่นนี้ด้วย!
ทั้งสำนักไท่เหยียน หรือแม้แต่ทั่วทั้งแคว้นซิงหลัว เกรงว่าผู้คนทั้งหมดคงคิดเช่นนี้ไม่ต่างกัน!
ทว่าขณะที่นางกำลังคิดถึงวิธีจัดการกับคนเหล่านี้ สองหูกลับได้ยินแม่นางผู้หนึ่งพูดว่า
“ใช่แล้ว ได้ยินว่าวันนี้ฉู่หลิวเยว่ผู้นั้นจะมาที่สำนักวิชาของเรางั้นรึ?”