ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 346 หอสมุด
ตอนที่ 346 หอสมุด [รีไรท์]
สำนักไท่เหยียน
ฉู่หลิวเยว่แหงนหน้าขึ้น และมองหอสมุดสูงห้าชั้นตรงหน้า
ตัวอักษรสีทองขนาดใหญ่หลายตัวบนแผ่นโลหะ ส่องประกายสะท้อนกับแสงแดด
“ที่นี่คือหอสมุด”
คนที่ยืนอยู่ข้างๆ ฉู่หลิวเยว่คือผู้อาวุโสมั่วชัง
เขาเองก็ไม่ชอบฉู่หลิวเยว่ แต่เพราะเฉิงหันไม่ต้องการเจอนาง สุดท้ายจึงส่งเขามารับหน้าแทน
เมื่อเห็นคนทั้งสอง ชายหนุ่มสองคนในชุดเครื่องแบบสำนักวิชาที่ยืนอยู่หน้าประตู ก็หันมาโค้งคำนับให้พวกเขาทันที
“คารวะ ท่านผู้อาวุโสมั่วชัง”
ผู้อาวุโสมั่วชังพยักหน้าตอบเล็กน้อย พลันเสมองฉู่หลิวเยว่ พร้อมเอ่ยทักด้วยท่าทีเย็นชา
“ในภายภาคหน้า เจ้าสามารถยืมหนังสือที่นี่ได้ตราบเท่าที่ต้องการ เข้ามากับข้าสิ”
ฉู่หลิวเยว่ไม่สนใจทัศนคติของเขา และเดินตรงเข้าไปด้านในราวไม่ใส่ใจคนเชิญ
ทันทีที่เข้าไปด้านใน ฉู่หลิวเยว่ก็กวาดตามองรอบผนังที่แออัดไปด้วยหนังสือและตำราร้อยพันแขนง
แม้แต่ชั้นวางของที่อยู่ตรงกลางก็เต็มไปด้วยหนังสือ
ร่างบางหันไปมองอย่างรวดเร็ว
ผู้อาวุโสมั่วชังหยุดฝีเท้าแล้วหันมองนางแวบหนึ่ง ทว่ากลับไม่เห็นสีหน้าตื่นตาตื่นใจของนาง อย่างที่เขาอุส่าห์คาดการณ์ไว้ว่าอีกฝ่ายต้องแสดงการออกมาแน่ๆ
เขาทำทีกระแอมไอพลางเอ่ยย้ำ
“ตรงนี่คือชั้นหนึ่ง และมีหนังสือที่เกี่ยวข้องกับการฝึกฝนศิลปะการต่อสู้อยู่หลายหมื่นเล่ม”
ฉู่หลิวเยว่พยักหน้าตอบนิ่งๆ
พอเห็นเช่นนั้น ผู้อาวุโสมั่วชังก็ยิ่งหงุดหงิดใจ
หอสมุดของพวกเราชาวสำนักไท่เหยียนได้ชื่อว่าเป็นมหาสมุทรแห่งความรู้ การที่สามัญชนธรรมดาจะมีโอกาสได้ถือครองหนังสือศิลปะการต่อสู้สักเล่มสองเล่มนั้นถือว่ายากมาก และแม้ว่าจะเป็นตระกูลขุนนาง ก็ยังถือครองได้เพียงร้อยสองร้อยเล่มเท่านั้น
แต่ในหอสมุดของพวกเขานั้นมีหนังสือนับหมื่นเล่ม!
ฉู่หลิวเยว่ยืนฟังจนจบก็ยังไม่มีปฏิกิริยาใดใดออกมาอยู่ดี!
ผู้อาวุโสมั่วชังรู้สึกเศร้าใจอย่างมาก จะแอบเย้ยหยันกับตัวเองก็ทำไม่ได้
แต่นางจะวางท่าได้นานสักแค่ไหนกันเชียว!
“ข้าได้ยินมาว่าที่สำนักเทียนลู่มีหนังสือมากมาย แม้ว่ามันจะไม่ดีเท่าของเรา แต่ก็ดูเหมือนจะมีหนังสือตั้งหลายพันเล่มเลยมิใช่รึ?”
เขาแกล้งพลั้งปากถาม
ฉู่หลิวเยว่พยักหน้าอีกครั้ง
“ใช่ แต่ที่นี่มีหนังสือหลายเล่มที่สำนักเทียนลู่ของเราไม่มี”
ผู้อาวุโสมั่วชังยิ้มเยาะอย่างพอใจ เขาเตรียมเอ่ยเยินยอสำนักตัวเองต่อ แต่ฉู่หลิวเยว่ดันเอ่ยแทรกเสียก่อน
“ท่านอาจารย์เคยพูดไว้ว่า แม้สำนักวิชาจะมีขนาดใหญ่โต แต่ก็ควรเว้นพื้นที่ว่างไว้บ้าง จะได้ไม่กลายเป็นกองทิ้งขยะ”
ผู้อาวุโสมั่วชังจุกจนแทบกระอักเลือด
กองขยะงั้นรึ
แม่นางฉู่หลิวเยว่นี่ รู้ตัวหรือไม่ว่ากำลังพูดอันใดออกมา
“เจ้า เจ้าเรียกที่นี่ว่ากองขยะงั้นหรือ”
ฉู่หลิวเยว่หัวเราะเบาๆ
“ท่านอย่าเข้าใจผิดสิ ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น ข้าแค่จะบอกว่า ส่วนหนึ่งของที่นี่เท่านั้นที่เป็นเช่นนั้น”
“นี่เจ้า!”
ผู้อาวุโสมั่วชังพยายามระงับความโทสะในใจ และตะโกนพูดด้วยเสียงที่ลึกล้ำ
“ฉู่หลิวเยว่! รักษามารยาทด้วย หากเจ้าอาจหาญพูดจาดูหมิ่นอีกครั้ง แม้เจ้าจะได้ที่หนึ่งในงานสมาคมเยาวชน แต่เราก็ไล่เจ้าออกจากตำแหน่งได้!”
ฉู่หลิวเยว่จ้องเขาด้วยสายตาจริงจัง
“ท่านผู้อาวุโสมั่วชัง ท่านคิดมากเกินไปแล้ว ไม่ใช่ว่าข้าไม่เคารพสำนักวิชาของท่าน แต่เพราะ… หนังสือหลายเล่มที่นี่ไม่คุ้มค่าต่อการสะสมจริงๆ”
พูดจบนางก็เดินไปยังกำแพงด้านหนึ่ง แล้วหยิบหนังสือออกมา
“วิชาหมัดหู่หลาง สำหรับจอมยุทธระดับหวง ขั้นกลาง”
“ศิลปะการต่อสู้ของจอมยุทธถูกแบ่งออกเป็น เทียน ตี้ ซวน และหวง สี่ระดับ โดยแต่ละระดับจะแบ่งออกเป็นสามขั้น นั่นคือ ขั้นต้น ขั้นกลางและขั้นสูง ระดับฮวงเป็นระดับต่ำสุด และถ้าเป็นขั้นกลางอีกก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย โดยทั่วไปแล้ว ศิลปะการต่อสู้ระดับนี้ มีไว้สำหรับจอมยุทธระดับสองมิใช่รึ?”
ริมฝีปากของฉู่หลิวเยว่เหยียดโค้งขึ้น
“แต่สำนักของเรา รับเฉพาะจอมยุทธระดับสามขึ้นไปเท่านั้น ดังนั้น จึงไม่มีหนังสือประเภทนี้อยู่ในสำนักของเราเลยสักเล่ม”
ผู้อาวุโสมั่วชังสำลักน้ำลายจนพูดไม่ออก
จำนวนศิษย์ที่เข้ามาสมัครสำนักเขามีมากกว่าสำนักเทียนลู่หลายเท่า ทว่ามาตรฐานกลับสู้สำนักเทียนลู่ไม่ได้
ปัจจุบันสำนักไท่เหยียนมีจอมยุทธระดับสองอยู่เยอะมาก
นอกจากนี้ เพราะพวกเขากระตือรือร้นที่จะสะสมหนังสือประเภทต่างๆ มาโดยตลอด จนเป็นสำนักที่มีจำนวนหนังสือมากที่สุดในบรรดาสามสำนัก และพวกเขาภูมิใจกับมันโดยไม่ได้สนใจสิ่งอื่นเท่าที่ควร
แต่พอเรื่องดังกล่าวออกมาจากปากฉู่หลิวเยว่ จู่ๆ หอสมุดที่เขาภูมิใจ กลับกลายเป็นของไร้ค่าเสียอย่างนั้น!?
“เจ้าจะไปรู้อันใด! ไม่เพียงแต่หนังสือศิลปะการต่อสู้ระดับสูงเท่านั้นที่มีควรค่าแก่การสะสม! แต่หนังสือสำนักไท่เหยียนของข้าทุกเล่มนั้นครอบคลุมทุกเรื่อง ครบเครื่องประหนึ่งอักษร ‘全[1]’ เลยก็ว่าได้!”
ฉู่หลิวเยว่ยิ้มเยาะ ทว่าไม่เอ่ยตอบ
หากหอสมุดเล็กๆ นี่เรียกว่า ‘ครอบคลุม’ อย่างนั้น ห้องหนังสือส่วนตัวของนางในวังเมื่อชาติที่แล้วเล่า ควรเรียกเช่นไร…
เมื่อเห็นรอยยิ้มบนหน้าฉู่หลิวเยว่ ผู้อาวุโสมั่วชังยิ่งหงุดหงิดในใจกว่าเดิม
ฉู่หลิวเยว่ไม่ได้ตอบกลับแต่อย่างใด ทว่าเขากลับรู้สึกอับอายขายหน้าเสียเอง
“นี่แค่ชั้นหนึ่ง รอเจ้าขึ้นไปข้างบนก่อนเถิด เจ้าไม่กล้าพูดเช่นนี้อีกแน่!”
เขาสะบัดแขนเสื้อ พลันก้าวเท้าไปด้านหน้า แล้วเดินขึ้นบันไดไป
ฉู่หลิวเยว่ขมวดคิ้วนิดๆ
“ขอให้เป็นเช่นนั้นแล้วกัน”
ผู้อาวุโสมั่วชังชะงักฝีเท้า
หากรู้เช่นนี้คงไม่ให้มาหรอก!
ฉู่หลิวเยว่คนนี้ เพียงลั่นวาจา ก็สามารถทำให้คนฟังโมโหจนแทบขาดสติ!
ทางที่ดีตอนนี้นางไม่ควรอวดดีเกินไป มิเช่นนั้น เขาคงต้องสั่งสอนให้นางหลาบจำเสียบ้าง!
สองร่างเดินขึ้นไปยังชั้นสอง ซึ่งชั้นสองมีขนาดใหญ่พอๆ กับชั้นหนึ่งทว่ามีหนังสือน้อยกว่า
และแทนที่ด้วยกลุ่มพลังงานแสงที่เปล่งประกายระยิบระยับ
“กลุ่มพลังงานแสงเหล่านี้เป็นศิลปะการต่อสู้อย่างหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ระดับของพวกมันนั้น สูงกว่าตำราด้านล่างมาก”
ในที่สุดผู้อาวุโสมั่วชังก็รู้สึกเชิดหน้าชูคออย่างเต็มอกได้เสียที
“ข้าขอบอกเจ้าอีกอย่าง ข้างในนี้มีต้นฉบับหนังสือที่หายสาบสูญตั้งแต่สมัยโบราณอยู่ไม่น้อย ทว่า จะเปิดอ่านได้หรือไม่นั้น ก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของเจ้าแล้ว”
กระจุกแสงเหล่านั้นล้วนเป็นพลังเวทย์ที่สอดคล้องกับระดับพลังปราณของสิ่งต่างๆ ที่อยู่ในนั้น ยิ่งพลังปราณสูงเท่าใด เครือข่ายเวทย์ป้องกันก็จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น
หากว่าตามพลังของฉู่หลิวเยว่ แม้แต่ทักษะการต่อสู้ในระดับซวนยังไม่สามารถปลดล็อคได้ นับประสาอันใดกับเรื่องอื่น?
ฉู่หลิวเยว่ย้อนถาม
“ท่านหมายความว่า ข้าสามารถอ่านทุกอย่างในนี้ได้หมดเลยใช่หรือไม่?”
ผู้อาวุโสมั่วชังหัวเยาะเสียงเย็นเยือก
“ถ้าเจ้าเปิดได้ ก็แล้วแต่เจ้า!”
ฉู่หลิวเยว่เหมือนจะไม่ได้ยินการเสียดสีของเขา พลันรอยยิ้มที่จริงใจก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของนาง
“ช่างเป็นสำนักที่ใจกว้างเสียจริง”
ผู้อาวุโสมั่วชังตกตะลึง ก่อนจะสัมผัสได้ถึงความผิดปกติบางอย่าง
ทว่าคิดอย่างไรเขาก็คิดไม่ออก จึงได้แต่ยอมแพ้ ไม่คิดเล็กคิดน้อยอีก
เขาชี้นิ้วขึ้นข้างบน
“ชั้นสามทั้งชั้นเป็นที่ของตำราระดับซวน ส่วนชั้นสี่เป็นชั้นของใบสั่งยาหาวัตถุดิบของโอสถ แต่ข้ามีธุระอื่นต้องไปจัดการ ฉะนั้นข้าจะไม่พาเจ้าขึ้นไปดูแล้ว เจ้าต้องขึ้นไปเอง”
เขากลัวว่าหากอยู่กับฉู่หลิวเยว่นานกว่านี้ เขาอาจจะโมโหจนความดันขึ้นก็เป็นได้
ฉู่หลิวเยว่ไม่สนใจ ร่างบางทำเพียงเงยหน้าขึ้นแล้วถามด้วยความสงสัย
“แล้ว…ชั้นห้าเล่า?”
ผู้อาวุโสมั่วชังพลันทำสีหน้าจริงจังทันที
“ชั้นห้า มีเพียงเจ้าสำนักเท่านั้นที่ขึ้นไปได้ ถึงเจ้าจะได้สิทธิ์เข้าออกหอสมุดได้อย่างอิสระหนึ่งเดือนเต็ม แต่นั่นไม่รวมชั้นห้า”
ฉู่หลิวเยว่หยักหน้ารับรู้
“สี่ชั้นนี่คงเพียงพอให้เจ้าอ่านอย่างแน่นอน หากเจ้าทำตามกฎของที่นี่ เราก็จะไม่ทำให้เจ้าลำบากใจ แต่ถ้าพบว่าเจ้าคิดทำการใดนอกเหนือจากหาตำรา… ก็อย่าหาว่าเราหยาบคายกับเจ้าแล้วกัน”
ฉู่หลิวเยว่ยิ้มรับเบาๆ
“ท่านวางใจได้ เวลาในการค้นคว้ามีไม่มาก ข้าไม่เสียเวลาไปทำอย่างอื่นแน่นอน”
ได้ยินเช่นนั้นผู้อาวุโสมั่วชังก็รู้สึกโล่งใจ เขาเอ่ยอีกสองสามประโยค จากนั้นก็ขอตัวลากลับไป
ไม่นานก็เหลือเพียงฉู่หลิวเยว่คนเดียว ท่ามกลางหอสมุดอันกว้างขวาง
ตากลมมองไปยังกลุ่มพลังงานแสงตรงหน้า พลางใช้มือหนึ่งพับแขนเสื้อขึ้น ส่วนอีกข้างก็เตะลงบนปลายคางเบาๆ
“เริ่มจากตรงไหนดีล่ะ…”
[1] 全 อ่านว่า “เฉวียน” หรือ “แฉวน” แปลว่า ทั้งหมด สมบูรณ์ ครอบคลุมแบบร้อยเปอร์เซ็น