ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 372 ชีเจี่ยวเซี่ยง
ตอนที่ 372 ชีเจี่ยวเซี่ยง [รีไรท์]
เมื่อสิ้นเสียงนั้น ทุกคนต่างตกใจกันอย่างมาก
ฮองเฮาและคนอื่นๆ ต่างตกใจอ้าปากค้าง ใบหน้าเต็มไปด้วยความตกตะลึง
แม้กระทั่งจักรพรรดิจยาเหวินที่สงบนิ่งอยู่ กลับอดลุกขึ้นยืนไม่ได้
“เจ้าพูดว่าอันใดนะ? เจ้าเจอหรงเจินงั้นหรือ? เจอเมื่อไหร่กัน แล้วที่ไหน?”
หรงจิ่วเงียบไปครู่หนึ่งจากนั้นก็พูดขึ้นว่า
“เรื่องนี้ถามฮองเฮาเหนียงเหนียง น่าจะเหมาะสมกว่า”
ด้วยคำพูดเช่นนี้ ทำให้ทุกคนที่อยู่ในสถานการณ์ต่างมึนงง
ฮองเฮาสับสนมึนงง
“หรงจิ่ว นี่เจ้าหมายความว่าอย่างใดกันแน่?”
หรงจิ่วพูดขึ้นอย่างช้า “ข้าหมายความว่าอย่างใด เชื่อว่าฮองเฮาน่าจะรู้ดี ท่านรู้อยู่แล้วว่าตอนนี้
หรงเจินอยู่ที่ใด แต่ไม่ทราบว่าทำไมต้องแสร้งทำเป็นไม่รู้เช่นนี้ จะต้องเล่นใหญ่ขนาดนี้เลยหรือ?”
ฮองเฮาแทบจะเป็นลมเพราะคำพูดของหรงจิ่ว
คิ้วของนางที่วาดไว้อย่างสวยงามพันกันยุ่งเหยิง ดวงตาจับจ้องไปที่หรงจิ่ว ในที่สุดนางถึงได้รู้ว่า ที่เขามาที่นี่ครั้งนี้ เพื่อมาสู้กับนาง
น้ำเสียงของนางเย็นยะเยือกขึ้นทันที แผ่ด้วยอำนาจที่ใช้ปกครองวังหลัง
“หรงจิ่ว เจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้ากำลังพูดอันใดอยู่? ตั้งแต่หรงเจินหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย เปิ่นกงก็ทุกข์ใจทุกวันคืน จิตใจระส่ำระส่าย จนถึงวันนี้ ยังรู้สึกหวาดกลัวว่านางจะได้รับบาดเจ็บหรือไม่ แต่เจ้ากลับพูดสิ่งที่ไม่มีหลักฐานเช่นนี้ออกมาได้อย่างใด?”
เมื่อพูดจบ นางก็หันหน้าไปหาจักรพรรดิ สีหน้ามีทั้งความโกรธและเศร้าเสียใจ
“ฝ่าบาท หม่อมฉันไม่รู้จริงๆ ว่าตอนนี้หรงเจินอยู่ที่ใด ยิ่งไม่รู้ว่าองค์ชายสามไปได้ยินคำพูดเหล่านี้จากที่ไหนมา?”
จักรพรรดิจยาเหวินจ้องหรงจิ่วด้วยสายตาเย็นชา
“ที่เจ้าพูดเมื่อครู่นี้หมายความว่าอย่างใดกันแน่?”
หรงจิ่วกวาดสายตาไปมองฮองเฮา พร้อมพูดเสียงเรียบว่า
“ลูกหมายความว่า… ตั้งแต่ต้นจนจบนี่เป็นการแสดงละครของฮองเฮาแต่เพียงผู้เดียว นางเป็นคนซ่อนหรงเจิน และฉวยโอกาสใส่ร้ายใต้เท้าฉู่หนิงและลูกสาวพ่ะย่ะค่ะ”
คำพูดของหรงจิ่วมีพลังและเสียงดังกึกก้อง จนทำให้ทุกคนที่อยู่ที่นี่ได้ยินอย่างชัดเจน
หัวใจของฉู่หลิวเยว่สั่นไหวเล็กน้อย จึงหันไปมองหรงจิ่วอย่างอดไม่ได้
นางคิดไม่ถึงว่า หรงจิ่วจะพูดแบบนี้ออกมา…
“บังอาจ!”
หลังจากที่ตกตะลึงแล้ว ฮองเฮาก็เพิ่งรู้สึกตัว ใบหน้าเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว ในที่สุดที่อดไม่ได้จึงด่าออกมาชุดใหญ่
“เจ้าพูดเพ้อเจ้ออันใดกัน! หรงจิ่ว! เจ้าคิดว่าที่นี่คือที่ไหน คิดว่าเปิ่นกงคือใคร กล้าดีอย่างไรถือมาพูดจาซี้ซั้วแบบนี้!”
นางพูดไป พร้อมพุ่งเข้าหาหรงจิ่วอย่างรวดเร็ว พร้อมยกมือขึ้นมาหมายจะตบบ้องหูอีกฝ่าย!
“วันนี้เปิ่นกงจะสั่งสอนเจ้าด้วยตนเอง!”
“ฮองเฮา!”
จักรพรรดิจยาเหวินตำหนิเสียงดัง ทันใดนั้นเขาก็ตรึงฮองเฮาให้อยู่กับที่เดิม
ในตอนนั้นเองฮองเฮาก็ได้สติขึ้นมา พร้อมหันกลับไปมองอย่างตื่นตระหนก และเห็นว่าจักรพรรดิจยาเหวินมองนางด้วยความโมโห
“ในฐานะฮองเฮาการกระทำเช่นนี้ของเจ้า เรียกว่าอันใดได้”
ตอนนั้นเองฮองเฮาถึงได้สติขึ้นมา สิ่งที่นางทำตอนนี้ คือการเสียกริยาอย่างที่ฮองเฮาไม่พึงกระทำ
จักรพรรดิจยาเหวินรู้สึกผิดหวังอย่างมาก
หรงจิ่วเพิ่งพูดได้แค่สองประโยค ฮองเฮาก็ถูกกระตุ้นจนเป็นเช่นนี้แล้ว
กรีดร้องเสียงดัง เสียกริยา แล้วยังคิดจะทำร้ายคนอื่นต่อหน้าเขาอีกด้วย
นี่มันต่างจากแม่ค้าปากตลาดที่ด่าคนเขาไปทั่วที่ไหนกัน
ฮองเฮาหน้าซีดขาว นางรู้สึกถึงความโกรธเกรี้ยวของจักรพรรดิจยาเหวินแล้ว ในใจของฮองเฮาตอนนี้ทั้งหวาดกลัวและรู้สึกไม่เป็นธรรม
“ฝ่าบาท หม่อมฉันผิดไปแล้วเพคะ แต่หม่อมฉันไม่ได้ตั้งใจให้มันเป็นเช่นนี้ เมื่อครู่ฝ่าบาทได้ยินที่หรงจิ่วพูดหรือไม่เจ้าคะ แม้ว่าหม่อมฉันจะไม่ใช่แม่แท้ๆ ของเขา แต่ก็ถือว่าเป็นแม่บุญธรรม แต่เขากลับใส่ร้ายหม่อมฉัน…”
ฮองเฮาพูดไป น้ำตาก็ไหลรินออกมา มือข้างหนึ่งกำผ้าเช็ดหน้าแน่น กุมหน้าอก ราวกับว่านางรู้สึกเสียใจอย่างมาก ส่วนหรงจิ่วได้ยินคำว่าแม่บุญธรรม แววตาก็ปรากฏแรงอาฆาตขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
ไม่พูดถึงเรื่องนี้ก็ไม่เป็นไร แต่พอพูดมา…
ฮองเฮาหน้าด้าน ยังมีหน้ามีพูดแบบนี้อีกหรือ?
เขาสะบัดชายเสื้อพร้อมคุกเข่าลงพื้น เสียงดัง “ปัง”
“ทุกสิ่งที่ลูกพูดนั้นล้วนเป็นความจริง หากลูกพูดผิดไปแม้แต่ครึ่งคำ ขอให้ฟ้าผ่าห้าครั้ง”
นี่คือคำสาบาน
เมื่อกล่าวประโยคเหล่านี้ออกไปแล้ว ฮองเฮาที่กำลังร้องไห้อยู่ก็หยุดชะงักอย่างอดไม่ได้
ฉุ่หลิวเยว่หรี่ตามอง พร้อมส่งสายตาหมายจะถามให้ฉู่หนิง
ฉู่หนิงส่ายหน้าเล็กน้อย แสดงว่าตัวเขาเองไม่รู้ว่าสถานการณ์แบบนี้มันคืออันใด?
ฉู่หลิวเยว่ถอนสายตาออกมาแล้วหันไปมองที่หรงจิ่วอีกครั้ง
เรื่องนี้มันแปลกมากจริงๆ
หรงจิ่วไม่เคยคบค้าสมาคมกับพวกเขาสองพ่อลูกมาก่อน เหตุใดครั้งนี้เขาจึงช่วยพวกเราพูดอยู่ตลอด? ถึงขั้นไม่เสียดายชีวิตของตนเองเลย?
ในฐานะองค์ชาย คำพูดของเขามีน้ำหนักไม่น้อย
แน่นอนว่าท่าทางของจักรพรรดิจยาเหวินก็เปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน
หากหรงจิ่วพูดคำสาบานเช่นนี้ออกมาแล้วล่ะก็… เรื่องที่เขาพูดก็มีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นเรื่องจริง
“ฮองเฮา นี่มันเรื่องอันใดกันแน่?”
ในที่สุดจักรพรรดิจยาเหวินก็หมดความอดทนแล้ว จึงถามขึ้นมาอย่างโมโห
“หม่อมฉันไม่รู้จริงๆ…”
“ในเมื่อฮองเฮาเหนียงเหนียงไม่ยอมรับ เช่นนั้นลูกก็ขอเตือนอันใดสักหนึ่งประโยค ไม่ทราบว่าท่านยังจำชีเจี่ยวเซี่ยงได้หรือไม่?”
หรงจิ่วพูดอย่างเนิบนาบ
จู่ๆ ฮองเฮาก็ชะงักไป จากนั้นก็หันมามองหรงจิ่วด้วยความตกใจ
เหตุใดเขาถึงรู้จักที่นั่น?
จักรพรรดิจยาเหวินพูดขึ้นมา “หากเจิ้นจำไม่ผิดล่ะก็ ก่อนหน้านี้ชีเจี่ยวเซี่ยงเป็นสถานที่ที่คึกคักมากที่สุดในเมืองหลวง แต่หลังจากเกิดเหตุฆาตกรรม ที่นั่นก็ค่อยๆ เงียบเหงาขึ้น”
“เสด็จพ่อทรงปรีชามากพ่ะย่ะค่ะ ชีเจี่ยวเซี่ยงในตอนนี้แทบจะรกร้าง ไร้ผู้คน แต่ว่าไม่รู้ว่าเหตุใดฮองเฮาถึงชื่นชอบที่นั่นเป็นพิเศษ หลังจากที่ลูกกลับมาเมืองหลวง เพราะว่าไม่ได้มีเรื่องให้ทำมากนัก จึงออกไปเดินเตร่ในเมืองหลวงบ้างเป็นบางครั้ง และได้เดินทางไปที่ชีเจี่ยวเซี่ยงโดยไม่ได้ตั้งใจ และเห็นฮองเฮาเหนียงเหนียงอยู่ที่นั่นสองครั้ง”
หัวใจของฮองเฮากระตุกไป
จักรพรรดิจยาเหวินเหลือบสายตามองไปที่ฮองเฮาเหนียงเหนียง
“พูดต่อ”
“ครั้งแรกคือเมื่อครึ่งเดือนก่อน ในตอนนั้นลูกเห็นฮองเฮาเหนียงเหนียงจากที่ไกลๆ ยังคิดว่ามองผิดอยู่เลย สถานที่แบบชีเจี่ยวเซี่ยงทั้งรกร้างเสื่อมโทรม ปกติไม่มีใครไปที่นั่นเลย ทำให้ลูกได้แต่เก็บความสงสัยไว้ ลูกรออยู่บริเวณใกล้ๆ ผ่านไปประมาณครึ่งชั่วยาม ก็เห็นว่าฮองเฮาเหนียงเหนียงเดินออกมา ลูกจึงรีบติดตามไป คอยดูว่านั่นมันเกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่? แต่กลับพบเรื่องที่น่าตกใจมากกว่านั้น ภายในชี
เจี่ยวเซี่ยงมีม่านพลังที่แข็งแกร่งมากอยู่”
สีหน้าของฮองเฮาซีดขาว
หรงจิ้นเองก็เหมือนจะคิดอันใดขึ้นมาได้ ม่านตาดำของเขาจึงหดเล็กลง
“…เพราะกลัวว่าจะโดนจับได้ ลูกจึงจากมา หลังจากนั้นหนึ่งเดือน หรือก็คือสิบวันก่อน ในใจของลูกยังมีความสงสัยอยู่ อดทนไม่ไหว จึงไปที่ชีเจี่ยวเซี่ยงอีกครั้ง แต่คิดไม่ถึงว่าจะเจอฮองเฮาเหนียงเหนียงออกมาจากที่นั่นพอดี”
เมื่อฉู่หลิวเยว่ฟังมาถึงตรงนี้ จึงหันหน้าไปมองฮองเฮา นางตกตะลึงพรึงเพริด ราวกับวิญญาณได้หลุดออกจากร่างไปแล้ว
“เมื่อเจอนางติดต่อกันสองครั้ง ลูกจึงสงสัยขึ้นมาก แต่เพราะยังไม่มีหลักฐาน ดังนั้นจึงไม่กล้าพูดออกไป แต่ที่บังเอิญไปมากกว่านั้น เมื่อวันก่อนลูกได้เจอหรงเจิน และสถานที่ที่นางไปเป็นที่สุดท้ายก็คือชีเจี่ยวเซี่ยง”