ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 379 เรียกเข้าพบ
ตอนที่ 379 เรียกเข้าพบ [รีไรท์]
ซือถูซิงเฉินสะบัดมือของหรงจิ้นออกอย่างไม่ต้องคิด
หรงจิ้นตกใจอย่างมาก “ซิงเฉิน?”
ก่อนหน้านี้นางยังยิ้มให้เขาด้วยความอ่อนโยนไม่ใช่หรือ? เหตุใดพริบตาเดียว ถึงกลายเป็นคนเย็นชาเช่นนี้ได้เล่า
ตอนนั้นเอง…เขายังเห็นความรังเกียจในแววตาของนางด้วย
ซือถูซิงเฉินยิ้มอย่างแอบแฝง แล้วพูดอย่างอ่อนโยนว่า
“ท่านอย่าเข้าใจผิดสิเพคะ ไม่ใช่ว่าข้าไม่อยากช่วย แต่เรื่องนี้มันใหญ่เกินไป ฝ่าบาทไม่ต้องการให้คนอื่นรู้เรื่องนี้…หากข้าทูลเชิญให้เสด็จพ่อออกหน้า ไม่แน่ว่าอาจจะทำให้ฝ่าบาททรงกริ้วมากกว่าเดิมเสียอีก สุดท้ายกลับกลายเป็นการปล่อยไก่ออกมา”
เมื่อหรงจิ้นได้ยินดังนั้น ก็ลังเลขึ้นมา
ที่ซือถูซิงเฉินพูดมาก็มีเหตุผล
ตอนนี้เสด็จพ่อตัดสินแล้วว่าเรื่องเสด็จแม่เป็นคนทำ หลังจากนี้พวกเขาจะต้องรับผิดชอบกับสิ่งพวกนี้ในภายหลัง แม้กระทั่ง…ตระกูลซือก็อาจจะไม่สามารถรักษาชีวิตเอาไว้ได้แล้ว
นี่ไม่ใช่เพียง “เรื่องอื้อฉาวในวงศ์ตระกูล” ธรรมดา
หากข่าวนี้แพร่สะพัดออกไป ชื่อเสียงทั้งหมดของราชวงศ์เย่าเฉิน จะต้องโดนทำลายอย่างย่อยยับแน่นอน
แต่ว่านอกเหนือจากทางนี้ เขาเองก็คิดหาทางอื่นไม่ออกแล้ว
“งั้น…งั้นควรทำอย่างใดดี?”
หรงจิ้นไม่เคยเห็นจักรพรรดิจยาเหวินโมโหขนาดนี้มาก่อนเลย
“ซิงเฉิน เจ้าต้องคิดหนทางช่วยข้าให้ได้นะ ตอนนี้พวกเราหมั้นกันแล้ว หากข้ากับเสด็จแม่เป็นอันใดไป…”
ตอนนี้ซือถูซิงเฉินเสียใจสุดๆ แล้ว
ถ้านางรู้ว่าเรื่องจะเป็นเช่นนี้ นางจะไม่ตอบจดหมายของหรงจิ้นเลยสักฉบับ
นางแสร้งทำเป็นครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า
“ท่านอย่าเพิ่งรีบร้อน เรื่องนี้ยังไม่ได้รับการตัดสิน จะต้องมีหนทางหวนคืนแน่นอน ไม่เช่นนั้น…ให้ข้ากลับไปที่แคว้นซิงหลัว ข้าจะไปปรึกษากับเสด็จพ่อก่อน แล้วค่อยดูว่าเรื่องนี้จะแก้ไขปัญหาได้อย่างใด?”
นางจะต้องออกจากที่นี่ให้เร็วที่สุด
รอข้ากลับไป ข้าจะแจ้งให้เสด็จพ่อทราบทันที จากนั้นก็ถอนหมั้นกับหรงจิ้นให้ได้
แต่หรงจิ้นกลับไม่รู้ความคิดของซือถูซิงเฉินเลยสักนิด คิดเพียงแต่ว่านางจะไปขอให้เสด็จพ่อของนางช่วยแล้ว ตอนนั้นเขารู้สึกซาบซึ้งใจอย่างมาก ความไม่พอใจและความสงสัยที่มีก่อนหน้านี้ ถูกสะบัดหายไปหมดแล้ว
“ดีๆ งั้นเจ้าจะต้องรีบหน่อยนะ ข้าจะรอฟังข่าวจากเจ้า”
หรงจิ้นพูดขึ้น ใบหน้าแสดงความซาบซึ้งใจ
“ซิงเฉิน มีแต่เจ้าคนเดียวเท่านั้นที่เต็มใจช่วยข้า…”
ในใจของซือถูซิงเฉินเต็มไปด้วยความรังเกียจ
“องค์ชายได้โปรดวางใจ จักรพรรดินียังรอท่านอยู่ตรงนั้น ท่านรีบไปเถอะ เรื่องที่เกิดภายในวันนี้ จะต้องเกิดผลกระทบต่อในจิตใจของนางอย่างหนักแน่นอน ท่านจะต้องดูแลนางให้ดีๆ นะ”
หรงจิ้นรู้สึกถึงกระแสความอบอุ่นที่พวยพุ่งออกมา เขาจึงมองไปที่ซือถูซิงเฉินอย่างซาบซึ้ง เขาไม่สามารถระงับความซาบซึ้งใจได้แล้ว ทันใดนั้นเองเขาก็คว้าซือถูซิงเฉินมาไว้ในอ้อมกอด
ซือถูซิงเฉินก็ตกใจกับการกระทำของเขา จนเกือบจะลงไม้ลงมือแล้ว
“ซือเฉิง…ข้าจะสัญญากับเจ้า รอให้เรื่องนี้จบ แล้วพวกเรามาจัดงานแต่งที่ยิ่งใหญ่กันเถอะ”
หรงจิ้นพูดอย่างชัดเจน
ร่างกายของซือถูซิงเฉินชะงักค้าง
หากด้านข้างไม่มีคนอยู่ นางคงรีบผลักหรงจิ้นออกไปตั้งนานแล้ว
นางหลับตาลง สะกดกลั้นความโกรธ
“ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาที่จะพูดเรื่องนี้ เราต้องแก้ปัญหาเรื่องจักรพรรดินีก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
หรงจิ้นได้ยินเช่นนั้น ในที่สุดก็ผ่อนคลายลง แล้วก้มลงมองนางด้วยสายตาลึกซึ้ง
“งั้น…ทั้งหมดนี้ต้องพึ่งเจ้าแล้ว”
พูดจบ หรงจิ้นก็หมุนตัวจากไป
ซือถูซิงเฉินรู้สึกคันยุบยิบเหมือนมดไต่ขึ้นเต็มตัว จนทำให้นางกรีดร้องเสียงแหลม
นางรอให้คนพวกนั้นเดินจากไปด้วยความยากลำบาก นางจึงหันไปพูดกับหรงจิ่วอย่างรวดเร็ว
“องค์ชายสาม ในเมื่อเรื่องมันมาถึงจุดนี้แล้ว องค์หญิงเช่นข้าคงจะไม่รบกวนท่านอีกแล้ว ขอตัวลาเพคะ”
เมื่อพูดจบนางก็หมุนตัวเดินจากไปทันที
หรงจิ่วก็พูดขึ้น
“องค์หญิงใหญ่ซือถู แบบนี้มันคงเสียมารยาทเกินไป เช่นนั้นให้ข้าส่งคนไปส่งท่านดีกว่า ว่าอย่างใด?”
ซือถูซิงเฉินรีบเดินออกไปทันที ราวกับไม่ได้ยินคำพูดเหล่านั้นของหรงจิ่ว
หลังจากนั้นไม่นาน เรือนแห่งนี้ก็เหลือเพียงฉู่หลิวเยว่และหรงจิ่วเท่านั้น
ฉู่หลิวเยว่คำนับหรงจิ่ว
“ครั้งนี้ต้องขอบคุณองค์ชายสามแล้ว”
หากหรงจิ่วไม่ยื่นมือเข้ามา ฉู่หนิงจะต้องได้รับโทษอย่างแน่นอน
หรงจิ่วเหลือบตามองฉู่หลิวเยว่อย่างครุ่นคิด
“ไม่ต้องขอบคุณข้าหรอก พวกเราต่างมีจุดประสงค์เป็นของตนเอง”
พูดจบแล้วเขาก็รีบสาวเท้าก้าวออกไปทันที
ฉู่หลิวเยว่เลิกคิ้วขึ้น
ก่อนหน้านี้นางไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าหรงจิ่วเป็นคนน่าสนใจมากขนาดนี้
อย่างน้อยเขาก็เป็นคนตรงไปตรงมาและจริงใจ
แต่ว่า…
เมื่อดูปฏิกิริยาของเขาเมื่อครู่นี้ นางจึงไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้ที่นี่มีสถานการณ์เป็นอย่างใดกันแน่
แววตาของนางสั่นไหวเล็กน้อย
ก่อนหน้านี้นางไม่ได้ซ่อนหรงเจินเอาไว้ที่นี่ แต่สองวันมานี้หรงเจินกลับมาอยู่ที่นี่ได้อย่างแปลกประหลาด อีกทั้งหรงจิ่วเป็นคนที่บังเอิญเห็นพอดีอีกด้วย…
สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ ความทรงจำของหรงเจินผิดเพี้ยนไป
เห็นได้ชัดว่านางจำเรื่องที่อยู่ป่าในภูเขานอกเมืองหลวงไม่ได้แล้ว อีกทั้งยังจำเป็นว่าจักรพรรดินีส่งนางมาไว้ที่นี่แทน
แล้วก็ซือเมิ้ง…เขาตายต่อหน้าต่อตาชัดๆ แต่นางกลับจำผิดทั้งหมด
หากหรงเจินไม่ได้กล่าวเช่นนั้น จักรพรรดิจยาเหวินไม่มีทางตัดสินความโทษของจักรพรรดินีได้ง่ายดายเช่นนี้
คนที่ทำเรื่องเช่นนี้ได้ ทั้งเมืองหลวงนี้ …มีเพียงคนคนเดียวเท่านั้น
…หรงซิ่ว
ฉู่หลิวเยว่ทำปากยื่นเล็กน้อย
เมื่อวานนางอยู่กับหรงซิ่วนานขนาดนั้น แต่หรงซิ่วกลับไม่พูดเรื่องนี้ขึ้นมาเลย
ใครจะไปคิดเล่าว่า ตั้งแต่ต้นจนจบ เรื่องนี้จะอยู่ในการควบคุมของหรงซิ่วที่ไม่เคยปรากฏตัวออกมาเลย?
เมื่อนางคิดถึงอนาคตที่กำลังจะเกิดต่อไป นางก็สะอึกขึ้นมา
วิธีความคิดของหรงซิ่วนั้น ลึกซึ้งกว่าที่นางคาดไว้มาก…
แต่ว่า…ความรู้สึกที่มีคนมีคอยให้ท้าย วางกลยุทธ์และจัดการปัญหาให้ทั้งหมดนั้น ก็ถือว่าไม่เลวเลย
มุมปากของฉู่หลิวเยว่ยกยิ้มขึ้น นางกลับไปมองที่โกศใบนั้นอีกครั้ง และครุ่นคิดว่า
จักรพรรดินีทำของสิ่งนี้ขึ้น เพื่ออันใดกันแน่?
หรือเพียงเพราะแค่อยากยกระดับการบำเพ็ญเพียรของหรงจิ้นเท่านั้น?
แต่ว่าแม้ว่าหรงจิ้นจะบำเพ็ญเพียรด้วยตนเอง ความจริงแล้วก็ไม่ได้ถือว่าเป็นปัญหาใหญ่
ถ้าบอกว่าที่นี่มีคนตายมากกว่าร้อยศพ ก็หมายความว่า จักรพรรดินีเริ่มทำเช่นนี้มาตั้งนานแล้ว
แต่นางกำลังทำอันใดอยู่?
ทันใดนั้นเอง สมองของฉู่หลิวเยว่ก็มีแสงสว่างวาบขึ้น
ก่อนหน้านี้หรงเจินเคยพูดเรื่องความลับของหรงจิ้นออกมาอย่างหนึ่งไม่ใช่หรือ หรือว่า…จะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนั้น?
…
ตระกูลซือ
กลางลานฝึกซ้อม เด็กในตระกูลซือก็กำลังซ้อมอยู่อย่างขยันขันแข็ง
ซือเย่จือก็ยืนอยู่ด้านล่างของลาน พร้อมให้คำแนะนำเป็นระยะๆ
สิ่งที่ทำให้ตระกูลซือเป็นตระกูลหนึ่งในสี่ของตระกูลใหญ่ได้ นั่นก็เพราะว่าพวกเขามีทายาทใหม่ๆ เพียงพอ
คนเหล่านี้เป็นคนหนุ่มสาวที่อายุสิบกว่า ยี่สิบทั้งนั้น และแต่ละคนก็มีความสามารถโดดเด่น
เมื่อเทียบกับตระกูลอื่น เรื่องนี้ถือเป็นจุดเด่นของตระกูลซือ
แม้ว่าจะไม่สามารถเทียบกับซือถิงได้ แต่ซือเย่จือก็พึงพอใจอย่างมาก
ทันใดนั้นเอง ทหารยามที่คนหนึ่งที่เฝ้าอยู่ด้านนอก ก็วิ่งเข้ามาด้วยท่าทางร้อนรน
“ท่านประมูข ฝ่าบาทเรียกให้เข้าพบด่วนขอรับ”
ซือเย่จือชะงักไปทันที
ในเวลานี้ ฝ่าบาทมีเรื่องอันใดถึงต้องเรียกให้เข้าวังอย่างเร่งด่วนเช่นนี้?
“รู้หรือไม่ว่าเรื่องอันใด?”
ทหารยามผู้นั้นส่ายหน้า แต่ท่าทางกลับดูประหม่าเล็กน้อย
“ขันทีหมินกำลังรออยู่ด้านนอกขอรับ ดูท่าทางจะเป็นเรื่องเร่งด่วนมาก”
ซือเย่จือขมวดคิ้ว
ดูท่าทางร้อนรนของทหารยามผู้นี้แล้ว อาจจะไม่ใช่ “เรื่องเร่งด่วน” ธรรมดาๆ เสียแล้ว
เขาตอบเสียงเรียบ
“เข้าใจแล้ว ข้าจะรีบไป”