ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 385 กระบี่แห่งจักรพรรดิ
ตอนที่ 385 กระบี่แห่งจักรพรรดิ [รีไรท์]
ทันใดนั้นการเคลื่อนไหวของฉู่หลิวเยว่ก็หยุดชะงักอย่างกะทันหัน
แทบจะในเวลาเดียวกัน เงาร่างสีเขียวแดง ปรากฏขึ้นที่ด้านหน้าของฉู่หลิวเยว่อย่างรวดเร็ว
นั่นคือปีศาจแดงและถวนจื่อ
ถวนจื่อพุ่งไปด้านหน้าทางดาบไม้อย่างรวดเร็ว ร่างที่เต็มไปด้วยขนนุ่มฟูยืนบนดาบไม้อย่างง่ายดาย
วินาทีถัดมา มันอ้าปากกว้าง พร้อมงับลงไปอย่างแรง
“แคว่ก”
เสียงแตกของไม้ดังขึ้นมาอย่างชัดเจน ทำให้รู้ว่าดาบไม้เล่มนั้นถูกถวนจื่อกัดเข้าไปคำใหญ่แล้ว
ส่วนอีกด้านหนึ่งปีกของปีศาจแดงก็กระพืออย่างรุนแรง เปลวไฟสีฟ้ากลุ่มหนึ่งหล่นใส่ดาบไม้เล่มนั้น จนเกิดเสียงดัง “ตู้ม”
เป็นเสียงระเบิดดังขึ้นนั่นเอง
ถวนจื่อสัมผัสได้ว่ามีการเคลื่อนไหว มันจึงหันกลับไปมอง แล้วพบว่าเปลวไฟลูกนั้นเกือบจะไหม้หางของมันแล้ว!
มันมองไปที่ปีศาจแดงอย่างโกรธแค้น ปีศาจแดงก็มองมันด้วยสายตาเยาะเย้ย
ในตอนนั้นเอง ปีศาจทั้งสองก็ถอยไปคนละทิศคนละทาง ดาบไม้ที่หมายจะโจมตีฉู่หลิวเยว่ กลายเป็นแค่ก้อนขี้เถ้าก้อนหนึ่งเท่านั้น
ถวนจื่อกระโดดกลับไปเกาะที่ไหล่ของฉู่หลิวเยว่เป็นตัวแรก มันคว้าหางของตัวเองให้ฉู่หลิวเยว่ดู แล้วทำท่าเหมือนไม่ได้รับความเป็นธรรม
“โอ๊วๆ”
นกตัวนั้นช่างน่ารังเกียจยิ่งนัก
ฉู่หลิวเยว่มองมันครู่หนึ่งแล้วพูดว่า
“อื้อ ขนไหม้ไปสามเส้น เจ้ารู้ตัวช้าเกินไป แต่ไม่เป็นไรเดี๋ยวมันก็งอกขึ้นมาใหม่”
ถวนจื่อ “…”
ปีศาจแดงส่งเสียงร้องสองครั้ง จากนั้นก็กางปีกทั้งสองข้างตัวเองขึ้นอย่างภูมิใจ
สมน้ำหน้า!
ใครใช้ให้เจ้าเคลื่อนไหวช้าเช่นนั้นเล่า!
เวลาก็ผ่านมาตั้งนานแล้ว แต่เจ้ายังไม่พัฒนาเลยนะ!
ถวนจื่อโมโหอย่างมาก แต่เมื่อคิดว่าตนเองนั้นยังไม่เก่งพอ จึงต้องเสียเปรียบเช่นนี้ มันจึงทำได้เพียงหันหลังชี้ก้นไปทางปีศาจแดงอย่างโมโหเท่านั้น
ความจริงแล้วฉู่หลิวเยว่อยากจะวิจารณ์คำพูดของหงเยาที่พูดว่า “เอาอำนาจมาใช้แก้แค้น” แต่เมื่ออยู่ต่อหน้ามู่ชิงเห่อ นางก็รู้ดีว่าอันใดควรอันใดไม่ควร
แล้วที่ปีศาจแดงลงมือก็เพื่อช่วยนาง
นางค่อยๆ ลดแขนลง กล้ามเนื้อที่เคยแข็งเกร็งก็ผ่อนคลายลง
ในแววตาของมู่ชิงเห่อมีประกายความผิดหวังอยู่
เมื่อครู่เขาเห็นท่าทางของฉู่หลิวเยว่ จึงนึกว่า…
“รองแม่ทัพมู่ นี่ท่านกำลังจะทำอันใด?” ราวกับว่าฉู่หลิวเยว่ไม่ได้สังเกตถึงความผิดปกติเหล่านั้นเลย นางค่อยๆ ยิ้มขึ้นมาแล้วพูดว่า “เกรงว่าท่านจะประเมินข้าสูงเกินไปแล้วล่ะ ตอนนี้ข้ายังไม่สามารถรับกระบวนท่าใดๆ ของท่านได้หรอก โชคดีมากที่เมื่อครู่มีถวนจื่อและปีศาจแดง”
สีหน้าของมู่ชิงเห่อเย็นชาขึ้นเล็กน้อย เขาส่งสายตาเตือนปีศาจแดง
ปีศาจแดงที่เคยทำท่าภูมิใจก็ชะงักไปทันที
เมื่อครู่มันวู่วามเกินไป จึงพุ่งเข้าไปแบบนั้น!
ฉู่หลิวเยว่รู้สึกกังวลใจเล็กน้อย
ตอนที่นางเตรียมตัวลงมือแต่นางก็ตระหนักได้ว่าที่มู่ชิงเห่อทำเช่นนี้ก็เพื่อทดสอบนางอย่างแน่นอน
ในสถานการณ์เช่นนี้ สามารถเปิดเผยสัญชาตญาณของตนเองออกมาได้ง่ายมาก
นางออกกระบวนท่าไปแล้วครึ่งหนึ่ง! หากปล่อยกระบวนท่านี้ไปอย่างสมบูรณ์ มู่ชิงเห่อจะต้องจับได้แน่ว่ามีอันใดบางอย่างผิดปกติไป
ยังดีที่ถวนจื่อและปีศาจแดงลงมือได้ทันเวลา
ฉู่หลิวเยว่ตบที่ตัวของถวนจื่อเบาๆ เมื่อสัมผัสกับขนนุ่มฟูของมัน นางก็รู้สึกสงบใจขึ้นไม่น้อย
“เจ้าตามข้ามานี่หน่อย”
มู่ชิงเห่อกล่าวเสียงเย็น
ฉู่หลิวเยว่ชะงักไป “ตอนนี้หรือ?”
มู่ชิงเห่อเหลือบตามองนาง “เหตุใด เจ้ายังมีธุระที่อื่นต่ออีกหรือ?”
ฉู่หลิวเยว่ส่ายหน้า “ไม่มีเจ้าค่ะ”
ต่อให้มี เกรงว่ามู่ชิงเห่อเองก็จะไม่สนใจ
ในที่แห่งนี้ ยังจะมีใครกล้ายั่วโมโหเขาอีกหรือ
ต่อให้เป็นจักรพรรดิจยาเหวินก็ยังต้องหลีกทางให้เขา แล้วคนอื่นเล่า?
มู่ชิงเห่อพยักหน้า จากนั้นก็สาวเท้าไปด้านหน้า
ฉู่หลิวเยว่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็ตัดสินใจเดินตามไปอยู่ดี
“รองแม่ทัพมู่ ข้าขอถามอันใดท่านสักข้อได้หรือไม่ พวกเราจะไปที่ไหนกันหรือเจ้าคะ?”
“ถึงแล้วเดี๋ยวเจ้าก็รู้เอง”
คำตอบของมู่ชิงเห่อนั้นเย็นชาและเผด็จการอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าฉู่หลิวเยว่ไม่มีสิทธิต่อรองเลย
ฉู่หลิวเยว่ขมวดคิ้วเบาๆ
เวลามู่ชิงเห่อทำสิ่งต่างๆ ก็จะเป็นเช่นนี้ นางจึงไม่ได้รู้สึกประหลาดใจ แต่ว่า…หากนางไม่รู้ว่าตนเองจะไปที่ไหน นางจะรู้สึกสบายใจได้อย่างใด
แต่เห็นได้ชัดว่ามู่ชิงเห่อก็ไม่คิดที่จะอธิบายให้นางฟัง
เมื่อเดินถึงหน้าจวน ทันใดนั้นเองเจี่ยนเฟิงฉือก็ปรากฏตัวขึ้นมา
“อ้าว นี่เจ้าจะพาเด็กคนนี้ไปที่ไหนหรือ?”
เขายิ้มอย่างหยอกล้อ
มู่ชิงเห่อก็มองเขาด้วยสายตาเย็นชา
“นี่ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าควรจะยื่นมือมายุ่ง”
เจี่ยนเฟิงฉือยกมือขึ้นทั้งสองข้าง
“โอ้ นี่ไม่เหมือนตอนที่เจ้าเชิญข้ามาเลยนี่นา มู่ชิงเห่อนี่เจ้าใช้อุบายข้ามแม่น้ำแล้วรื้อสะพานทิ้งสินะ เจ้านี่ใช้มันอย่างชำนาญเลยจริงๆ”
แม้ว่าจะดูว่าเป็นการหยอกล้อ แต่สีหน้าของมู่ชิงเห่อกลับแข็งค้างขึ้นมาทันที
ราวกับว่าเจี่ยนเฟิงฉือตระหนักได้ถึงอันใดบางอย่างแล้ว เขาจึงกระแอมไอออกมาหนึ่งครั้ง แล้วหันมามองฉู่หลิวเยว่
“คุณหนูฉู่ ข้ามีเรื่องอยากจะถามเจ้าสักเล็กน้อย”
“เชิญคุณชายเจี่ยน”
“คือว่า…” เจี่ยนเฟิงฉือยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาลูบคาง ดูเหมือนว่าเขาจะพูดติดอ่างเล็กน้อย “คือว่า…ข้าหน้าตาแย่หรือไม่?”
“หา?”
ฉู่หลิวเยว่คิดว่าตัวเองได้ยินผิดไป นางเบิกตากว้างเล็กน้อย แต่เมื่อมองเห็นท่าทางครุ่นคิดของเจี่ยนเฟิงฉือ นางถึงเข้าใจว่าเขาพูดประโยคนั้นออกมาจริงๆ นางไม่ได้ได้ยินผิดไป
เจ้าหมอนี่เป็นบ้าอันใดเนี่ย?
มีใครไม่รู้บ้างว่าจุดแข็งลำดับสองของเขาคือหลอมโอสถ ส่วนอันดับหนึ่งนั้นคือหลงตัวเอง?!
ดวงตาดอกท้อ บุคลิกสง่างามและเอาแต่ใจ แม้ว่านางจะไม่ค่อยชอบเสียเท่าไหร่ แต่ก็ต้องยอมรับว่า หน้าตาและรูปร่างของเจี่ยนเฟิงฉือนั้นเป็นเลิศจริงๆ
ไม่เช่นนั้น เขาจะไปไหนมาไหน จะมีพุ่มดอกไม้เป็นพื้นหลังอยู่ได้อย่างใด?
“คุณชายเจี่ยนงดงามดั่งหยก สง่างาม เป็นอิสระ ห่างไกลกับว่า “น่าเกลียด” ยิ่งนัก”
เจี่ยนเฟิงฉือขมวดคิ้วแน่นขึ้น
“ข้าเองก็คิดเช่นนั้น…แต่มีคนบอกว่าข้าหน้าตาน่าเกลียด”
ฉู่หลิวเยว่ถามขึ้นมาอย่างสงสัยเล็กน้อย
“ไม่ทราบว่าผู้นั้นคือ…”
ช่างมีตาหามีแววไม่
สายตามีประกายเจี่ยนเฟิงฉือล้ำลึกขึ้น ริมฝีปากบางพูดชื่อของคนผู้หนึ่งออกมา
“มู่หงอวี่”
ฉู่หลิวเยว่ “…”
เหมือนว่าในระหว่างที่นางไม่อยู่ มีเรื่องน่าสนใจเกิดขึ้นมากมายจริงๆ…
เจี่ยนเฟิงฉือผู้นี้เป็นคนที่โอ้อวดว่าตนเองอยู่เหนือผู้อื่นมาตลอด โดยเฉพาะความมั่นใจในหน้าตาของตนเอง เขาใช้ชีวิตมาตั้งหลายปี นี่น่าจะเป็นครั้งแรกที่คนอื่นบอกว่า “น่าเกลียด” มิน่าล่ะเขาถึงคิดมากเช่นนี้
น่าเสียดาย หากว่ากันตามนิสัยของมู่หงอวี่แล้ว คนที่เขาไม่สนใจมากที่สุดก็น่าจะเป็นคนประเภทนี้
ที่เขาได้ยินคำพูดนี้ ก็น่าจะเป็นตอนที่เจี่ยนเฟิงฉือไปช่วยรักษาพระชายาผิงเจียง แล้วมู่หงอวี่อาจจะเหลืออดเหลือทนจึงพูดเช่นนั้นออกไป
เห็นได้ชัดเลยว่ามู่หงอวี่ไม่ชอบเจี่ยนเฟิงฉือผู้นี้ขนาดไหน
ฉู่หลิวเยว่ชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็เกลี่ยกล่อมว่า “หงอวี่เป็นคนพูดจาตรงไปตรงมา ท่านไม่ต้องไปใส่ใจหรอก”
เจี่ยนเฟิงฉือ “…”
นี่กำลังปลอบใจเขาใช่หรือเปล่าเนี่ย?
“ได้ยินนางพูดว่า มีคนที่ชื่อหรงซิ่วอันใดนั่น ดีกว่าคุณชายเช่นข้าหลายสิบเท่าเลยไม่ใช่หรือ?”
มุมปากของฉู่หลิวเยว่กระตุกกึกๆ
ถ้านางได้ยินไม่ผิด ที่เจี่ยนเฟิงฉือพูดถึง…คือ หรงซิ่ว?
“อ่า…จริงสิ นางยังบอกอีกว่าคนผู้นั้นคือคู่หมั้นของเจ้าไม่ใช่หรือ?”
เจี่ยนเฟิงฉือถามขึ้นพร้อมจ้องหน้านาง
ฉู่หลิวเยว่จึงนึกได้ว่า หลังจากที่เจี่ยนเฟิงฉือมาที่นี่ เขายังไม่เคยเจอหรงซิ่วเลยไม่ใช่หรือ?
นางกระแอมไอหนึ่งครั้ง
“ใช่แล้วเจ้าค่ะ องค์ชายหลีเป็นคู่หมั้นของข้าเอง”
เจี่ยนเฟิงฉือครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็เดินออกไปด้านนอกทันที
“ข้าจะไปดูหน้าเขาเสียหน่อย หรงซิ่วผู้นั้น เป็นคนอย่างใดกันแน่?”
ฉู่หลิวเยว่กำลังจะพูดอันใดสักอย่าง แต่ทันใดนั้นเอง ก็มีระลอกคลื่นเกิดขึ้นที่ด้านข้างของนาง
เมื่อนางหันกลับไปมอง ก็เห็นเป็นกระบี่ยาวเล่มหนึ่งปรากฏขึ้นอยู่กลางอากาศ
และมีมู่ชิงเห่อยืนอยู่บนนั้น ใบหน้าดูเคร่งครึ้มและเย็นชา
“ขึ้นมา”