ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 386 ของปลอม
ตอนที่ 386 ของปลอม [รีไรท์]
วังหลวง ห้องทรงอักษร
จักรพรรดิจยาเหวินมองหนังสือเล่มเล็กในมือ พร้อมขมวดคิ้วแน่นขึ้น ในที่สุดก็มีเสียงดัง ตุ้บ เขาขว้างของสิ่งนั้นทิ้งไปอย่างแรง
“ฉู่หนิง เจิ้นให้เจ้าไปตรวจสอบตรอกชีเจี่ยวเซี่ยงอย่างเต็มที่ แต่เจ้าบอกว่าไม่พบสิ่งใดผิดปกติงั้นหรือ?”
ซูหนิงรีบคุกเข่าลงทันที แล้วยกมือทำความเคารพ พร้อมพูดว่า
“ฝ่าบาท ข้าน้อยใช้ทุกวิธีอย่างสุดความสามารถแล้ว แต่ในตอนนี้สืบค้นได้เท่านี้จริงๆ พ่ะย่ะค่ะ แม้ว่าจะมีโครงกระดูกนับร้อยในตรอกชีเจี่ยวเซี่ยง แต่นอกจากระบุว่าพวกเขาเป็นผู้บำเพ็ญเพียรแล้ว เรื่องฐานะ และตัวตนของพวกเขาล้วนหาไม่พบเลยพ่ะย่ะค่ะ อย่างใดก็ตามที่ทำกระทำแบบนี้จะต้องมีความชำนาญ และละเอียดรอบคอบแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ ข้าจึงไม่สามารถหาเบาะแสได้เลย แต่ยกเว้น…ศพที่ถูกแขวนอยู่ แต่โครงกระดูกชิ้นอื่นไม่มีแม้กระทั่งเสื้อผ้าที่บ่งบอกอันใดได้เลยพ่ะย่ะค่ะ”
คนที่ทำเรื่องเช่นนี้จะต้องเป็นคนที่รอบคอบอย่างมากแน่นอน
ฉู่หนิงไม่ได้นอนมาหลายวันแล้ว เขาถึงกับขุดพื้นที่ตรอกชีเจี่ยวเซี่ยงลงไปสามชุนเพื่อตรวจสอบ แต่นอกจากโครงกระดูกสีขาวแล้ว เขาไม่มีความคืบหน้าอื่นๆ เลยจริงๆ
จักรพรรดิจยาเหวินขมวดคิ้วแน่นอย่างหงุดหงิด
เขารู้ดีว่าเรื่องนี้ไม่สามารถตรวจสอบได้อย่างง่ายดายขนาดนั้น ตอนนี้รีบร้อนไปก็ไม่มีประโยชน์ แต่เมื่อนึกถึงโกศสำริดที่เปื้อนคราบเลือดใบนั้น ในใจของเขาก็เต็มไปด้วยความกังวล
ฉู่หนิงแอบมองจักรพรรดิจยาเหวินครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดต่อว่า
“จากการสืบค้นข้อมูลพบว่า จักรพรรดินีจะไปที่ตรอกชีเจี่ยวเซี่ยงสองเดือนต่อหนึ่งครั้ง ท่าทางดูมีลับลมคมใน อีกทั้งทุกครั้งที่ไปนางก็ใช้เวลาอยู่ที่นั่นไม่นาน ดังนั้นเวลาผ่านมานานขนาดนี้แล้ว แต่กลับไม่มีใครพบเลยสักคน”
ใบหน้าของจักรพรรดิจยาเหวินมืดครึ้มขึ้นอย่างมาก
ความจริงแล้ว เขาถามจักรพรรดินีด้วยตัวเองอยู่หลายรอบ แต่ปากของนางปิดสนิทมาก ตั้งแต่ต้นจนจบรู้เพียงแค่ว่านางทำด้วยตัวคนเดียว แต่ไม่เคยพูดว่านางเตรียมไว้ให้หรงจิ้นใช่หรือไม่ และยิ่งไม่พูดว่าทั้งหมดนั้นทำไปเพื่อสิ่งใด
ระหว่างนั้นพวกบ่าวรับใช้ที่อยู่ด้านล่างได้รับคำตอบรับอย่างกลายๆ แล้วว่าจะต้องทำการประหารจักรพรรดินี แต่ว่าตอนนี้ยังหาหลักฐานอันใดไม่ได้เลย
เพียงเขานึกขึ้นได้ว่าจักรพรรดินีหลอกลวงเขามาหลายปี อีกทั้งตนเองก็ไม่ได้รู้สึกระแคะระคายอันใดเลย ทำให้เขารู้สึกขนลุกตั้งแต่หัวจรดเท้า หัวใจของเขาสั่นไหวอย่างมาก
“ฝ่าบาท องค์ชายสามมาขอเข้าพบพ่ะย่ะค่ะ”
ขันทีหมินพูดขึ้นจากด้านนอกประตูอย่างระมัดระวัง
“ให้เขาเข้ามา”
จักรพรรดิจยาเหวินสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วมองไปประตูในขณะที่หรงจิ่วกำลังก้าวเข้ามา พร้อมถามว่า
“ทางเจ้าได้ข้อมูลอันใดมาบ้างหรือ?”
หลังจากที่หรงจิ่วเข้ามา และเห็นว่าฉู่หนิงคุกเข่าอยู่ที่พื้น ก็รู้ได้ทันทีว่า ทางนั้นน่าจะค้นอันใดไม่เจอเลย
เขาจึงทำความเคารพก่อน แล้วค่อยๆ พูดขึ้นอย่างช้าๆ
“ลูกได้ไปสอบสวนพวกบ่าวสอบในตำหนักจักรพรรดินีด้วยตนเองแล้ว ได้ข้อมูลมาเล็กน้อย บางทีอาจจะมีประโยชน์ได้บ้าง”
ในที่สุดจักรพรรดิจยาเหวินก็ได้สติขึ้นมา
“รีบพูดมา” หรงจิ่วกล่าว “ตามคำบอกเล่าของนางกำนัลรับใช้ที่อยู่ข้างกายของจักรพรรดินี จักรพรรดินีจะเก็บกล่องใบหนึ่งติดตัวตลอด ไม่ยอมให้ใครแตะต้อง บางครั้งก็จะจักรพรรดินีจะขังตัวเองอยู่ในตำหนัก ตอนแรกคนในตำหนักก็ไม่เคยคิดเรื่องนี้เป็นจริงเป็นจัง แต่ต่อมามีขันทีคนหนึ่งเข้าไปโดยไม่ได้ตั้งใจ ในที่สุดก็ได้รู้ว่า จักรพรรดินีที่อยู่ข้างในกำลังดูของที่อยู่ในกล่องใบนั้น”
จักรพรรดิจยาเหวินครุ่นคิดอยู่สักพักหนึ่ง
“นั่นมันเป็นกล่องอันใดกันแน่? นางถึงให้ความสำคัญขนาดนั้น เหตุใดข้าถึงไม่เคยรู้มาก่อน?”
หรงจิ่วยิ้มเยาะอยู่ภายในใจ
ความสัมพันธ์ระหว่างจักรพรรดิจยาเหวินกับจักรพรรดินีล้วนไม่มีเยื่อใยต่อกันเลย โดยเฉพาะจักรพรรดิจยาเหวินที่กลัวว่าจักรพรรดินีจะล่วงรู้ความคิดของเขา
หากเขาเคยสนใจจักรพรรดินีสักนิด เขาต้องไม่ยอมให้จักรพรรดินีก่อเรื่องวุ่นวายใต้หนังตาของตัวเองหรอก
จักรพรรดินีมักจะเข้าออกที่ตรอกชีเจี่ยวเซี่ยงอยู่เป็นประจำ แม้กระทั่งเรื่องที่ฆ่าผู้บำเพ็ญเพียรอย่างต่อเนื่อง และโกศสำริดยังไม่รู้เรื่อง นับประสาอะไรกับกล่องไม้เล็กๆ เล่า?
อยากจะปิดบังจักรพรรดิจยาเหวิน นั้นง่ายดายอย่างมาก
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ เขาก็อดหัวเราะเยาะในใจไม่ได้
ก็เพราะเช่นนี้จักรพรรดินีจึงสามารถฆ่ามารดาของเขาได้อย่างไร้เสียง และนางกลับไม่เคยได้รับโทษใดๆ เลย
จักรพรรดิจยาเหวินก็ไม่ได้ทำดีต่อมารดาของเขาเท่าไรนักหรอก!
หรงจิ่วสะกดกลั้นอารมณ์ที่พุ่งพล่านของตัวเองลง ทำให้ใบหน้าเรียบสงบ
“ลูกถามเรื่องนี้มาไม่ได้ แต่ในเมื่อเป็นของของจักรพรรดินี นางกำนัลพวกนั้นก็ไม่กล้าถาม แต่…ขันทีที่พบเรื่องนี้โดยบังเอิญ หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ตกลงไปในทะเลสาบ และจมน้ำตายไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ หลังจากนั้นบ่าวที่อยู่ในตำหนักจักรพรรดินีต่างก็ปิดเรื่องนี้เป็นความลับมาโดยตลอด”
ในครั้งนี้เขาต้องใช้วิธีการบางอย่าง จนในที่สุดก็ได้คำตอบเหล่านี้มา
“ลูกคิดว่าหากสามารถหากล่องใบนั้นเจอ ปัญหาหลายอย่างก็สามารถคลี่คลายออกมาได้”
สีหน้าของจักรพรรดิจยาเหวินดูเคร่งขรึมขึ้น
“กล่องที่เจ้าพูดถึง กับเรื่องที่ตรอกชีเจี่ยวเซี่ยงมีความเกี่ยวข้องกันหรือไม่?”
“เรื่องนี้เป็นเพียงการคาดเดาของลูกเท่านั้น ตอนนี้ยังไม่มีเบาะแสอื่นๆ นี่จึงเป็นเส้นทางเดียวที่มีอยู่พ่ะย่ะค่ะ”
จักรพรรดิจยาเหวินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วรู้สึกว่าสิ่งที่เขาพูดมาก็มีเหตุผล
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ หรงจิ่ว เจ้าไปหาจักรพรรดินี แล้วเอาของสิ่งนั้นมาให้ได้”
หรงจิ่วลังเลไปครู่หนึ่งแล้วพูดขึ้นว่า
“เสด็จพ่อ ในเมื่อจักรพรรดินีให้ความสำคัญกับกล่องใบนี้มาก น่าจะไม่สามารถเอาออกมาอย่างง่ายดายหรอกพ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้าก็บอกนางไปว่า หากนางยอมมอบมาแต่โดยดี ข้าจะให้โอกาสหรงจิ้นอีกครั้งหนึ่ง หากนางยังดึงดันอีกละก็..ปล่อยให้นางคิดวิธีเอาเอง”
แววตาของหรงจิ่วส่องประกายสว่างวาบ
“รับด้วยเกล้าพ่ะย่ะค่ะ” เมื่อพูดจบ เขาก็ทูลลาทันที
จักรพรรดิจยาเหวินมองฉู่หนิงที่คุกเข่าอยู่ที่พื้น
“ฉู่หนิง ทางด้านของเจ้าก็ต้องรีบค้นหาอย่างเร่งด่วน หากสืบไม่พบก็เริ่มต้นค้นหาจากที่อื่น ไปตรวจสอบทุกคนที่อยู่ใกล้ชิดกับจักรพรรดินีและหรงจิ้นมาให้หมด”
“พ่ะย่ะค่ะ”
หลังฉู่หนิงออกไปแล้ว จักรพรรดิจยาเหวินก็ผ่อนคลายลง พร้อมเอนตัวพิงพนักเก้าอี้
ฉู่หนิง ไม่ว่าจะทำอะไรก็ดี แต่เสียอย่างเดียว…ฝีมือยังไม่มากพอ
เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว ประสิทธิภาพการทำงานของหรงจิ่วนั้นสูงกว่าไม่น้อยเลยทีเดียว
คาดไม่ถึงว่านี่คือประสบการณ์ที่เขาได้รับมาจากกองทัพซีเป่ย
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ จักรพรรดิจยาเหวินก็รู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย
ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยคิดถึงตำแหน่งของหรงจิ่วมาก่อน เพราะว่าเขาไม่ชอบลูกชายคนนี้ อีกทั้งตัวของเขาแผ่จิตสังหารรุนแรงเกินไป ในบางครั้งจักรพรรดิจยาเหวินเองก็รู้สึกหวาดกลัวเล็กน้อย
แต่เมื่อดูจากสถานการณ์ตอนนี้…หรงจิ้นไม่รอดอย่างแน่นอน ในบรรดาองค์ชายที่เหลือ หรงจิ่วเป็นคนที่เหมาะสมที่สุด
ต่อให้เขาเป็นคนที่เย็นชาฆ่าไม่เลือก ก็ยังดีกว่าคนที่อ่อนแอไม่เอาไหน
น่าเสียดาย…
จักรพรรดิจยาเหวินถอนหายใจครั้งหนึ่ง ราวกับจะแก่ลงไปสิบปี
หากหรงซิวร่างกายแข็งแรงมันจะดีแค่ไหนกันนะ
…
ตำหนักของจักรพรรดินี
สถานที่ที่เคยหรูหรา ผู้คนพลุกพล่าน ตอนนี้เงียบราวกับป่าช้า เหลือเพียงทหารยามที่ขังจักรพรรดินีไว้ด้านในนี้เท่านั้น
ตอนที่ซือถูซิงเฉินมาถึง นางก็อดหวั่นใจไม่ได้
จักรพรรดิจยาเหวินเกลียดจักรพรรดินีถึงเพียงนี้เลยหรือ…
เมื่อมีทหารยามคนหนึ่งมองเห็นซือถูซิงเฉิน เขาก็รีบก้าวมาด้านหน้าทันที
“องค์หญิงใหญ่ซือถู ช้าก่อนพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทมีคำสั่ง ห้ามใครก็ตามเข้าใกล้ที่นี่เด็ดขาด”
ซือถูซิงเฉินหยิบป้ายคำสั่งจากในแขนเสื้ออกมา พร้อมวางท่าเย่อหยิ่งสมเป็นองค์หญิงใหญ่
“ข้าได้รับคำสั่งมา”
ทหารยามผู้นั้นมองป้ายหยกครู่หนึ่ง เมื่อมั่นใจแล้วว่านี่คือป้ายคำสั่งของฝ่าบาทจริงๆ พวกเขาก็รีบเปิดทางให้ทันที
“เชิญพ่ะย่ะค่ะ”
ซือถูซิงเฉินเก็บป้ายคำสั่งลง แล้วเดินเข้าตำหนักไปอย่างใจเย็น