ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 396 มีแค่เขาคนเดียว
ตอนที่ 396 มีแค่เขาคนเดียว [รีไรท์]
ภายในเขตวังหลวง
หรงจิ่วสาวเท้าฉับๆ ไปยังห้องทรงงานของจักรวรรดิอย่างรวดเร็ว
ข้าราชบริพารน้อยใหญ่ภายในวัง ล้วนหยุดทักทายเขาด้วยความเคารพ
ขณะนี้องค์รัชทายาทและจักรพรรดินีอยู่ในช่วงโดนกักบริเวณ ดังนั้นฝ่าบาทจึงรับสั่งให้องค์ชายสามอย่างเขา เป็นคนจัดการเรื่องราชกิจต่างๆ แทน ซึ่งทุกคนล้วนเห็นพ้องไปในทางเดียวกันว่า เมืองหลวงที่เคยเป็นดั่งสรวงสวรรค์แห่งนี้ กำลังจะเปลี่ยนไป
แต่เมื่อเห็นสีหน้าที่เคร่งเครียดของหรงจิ่ว พวกเขาก็รู้ได้ทันทีว่าคงมีเหตุด่วนเกิดขึ้นเป็นแน่ ทำให้คนในวังไม่กล้าเอ่ยปากพูด
หรงจิ่วก้าวเท้าอย่างว่องไว ในใจเขารู้สึกหงุดหงิดรำคาญเป็นอย่างมาก
เขาอุส่าห์คำนวณทุกอย่างไว้หมดแล้ว แต่กลับคิดไม่ถึงว่าตอนนั้นซือถูซิงเฉินจะอยู่ในตำหนักของจักรพรรดินีด้วย!
ถ้าตอนนั้นเขาเอะใจสักนิด เขาจะต้องพบความผิดปกติแน่นอน หรือไม่ก็ก้าวไปข้างหน้าอีกนิดหน่อย แล้วกระชากม่านกั้นออก เขาก็จะพบตัวซือถูซิงเฉินที่หลบซ่อนอยู่แล้ว!
แต่เขาไม่ได้ทำนี่สิ!
ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา สิ่งต่างๆ ดำเนินไปได้อย่างราบรื่น จนเขาประมาทแล้วเผลอลืมการดำรงอยู่ของคนผู้นี้!
ตอนแรกเขาเองก็ไม่ได้สนใจอันใด แต่พอมาคิดดูตอนนี้ กลับสัมผัสได้ว่ามีเรื่องลับลมคมนัยเต็มไปหมด!
ซือถูซิงเฉินทำสัญญาสมรสกับหรงจิ้น และแม้กระทั่งหลังจากเกิดเรื่องของหรงจิ้น พวกเขาไม่เคยขอให้ยกเลิกสัญญาการสมรส
หากนี่ไม่ใช่การสมรู้ร่วมคิด แล้วจะเป็นอันใดได้อีก!?
ซือถูซิงเฉินต้องรู้อันใดบางอย่างแน่ๆ ถึงได้เต็มใจช่วยจักรพรรดินีกับหรงจิ้นเช่นนี้!
ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยคิดว่าตัวเองจะต้องมานั่งตรวจสอบซือถูซิงเฉินเลย!
ทว่ายังไม่ทันถึงห้องทรงงาน หรงจิ่วกลับได้ยินเสียงฝีเท้าที่ดูเร่งรีบดังมาจากด้านหน้าเสียก่อน
เขาเงยหน้าขึ้น ก่อนจะเห็นจักรพรรดิจยาเหวินที่กำลังเดินอยู่ด้านหน้า
สีหน้าของจักรพรรดิจยาเหวินมืดมนและดุร้าย ท่าทางของเขาเคร่งเครียดและเต็มไปด้วยจิตสังหารที่แข็งแกร่ง ในแบบที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน!
หรงจิ่วตกใจสุดขีด มันเกิดเรื่องอันใดขึ้นอีก!?
“ลูกขอถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะ ท่านพ่อ!”
หรงจิ่วก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วแล้วโค้งคำนับ
จักรพรรดิจยาเหวินขมวดคิ้วเมื่อเห็นหรงจิ่ว
“เหตุใดเจ้ายังอยู่ในวังอีก?”
ถ้าจะพูดให้ถูก ตามจริงยามนี้หรงจิ่วต้องเสด็จออกไปนอกวังหลวงแล้ว
หรงจิ่วตอบกลับทันที
“ท่านพ่อขอรับ ลูกเสด็จออกไปแล้ว แต่ก็ต้องย้อนกลับมา เพราะลูกมีเรื่องสำคัญต้องแจ้งให้ท่านทราบโดยด่วน!”
ทว่าจักรพรรดิจยาเหวินไม่ได้หยุดฟัง เขายังคงเดินหน้าต่อเรื่อยๆ
“มีเรื่องอันใด ไว้ข้ากลับมาค่อยคุย!”
ขณะพูด เขาก็เดินผ่านหรงจิ่วไปแล้ว
หรงจิ่วตกตะลึง นี่ นี่มันเกิดบ้าอันใดขึ้นกัน!?
“แต่ว่าท่านพ่อ ลูกมีเรื่องด่วนต้องแจ้งจริง…”
“ไอ้หยา องค์ชายสาม ได้โปรดรอให้ฝ่าบาทกลับมาก่อนเถิด!”
ขันทีหมินเดินตัดหน้าหรงจิ่ว พลันยกไม้ยกมือพูดโน้มน้าวเขาอย่างจริงจัง
“ท่านไม่เห็นหรือว่าฝ่าบาทกำลังเร่งรีบเพียงใด? กล่าวโดยย่อก็คือ ฝ่าบาททรงไม่มีเวลาฟังสิ่งที่ท่านพูดในตอนนี้! โปรดอดทนรอไปก่อน!”
หรงจิ่วถามด้วยความสงสัย
“ขันทีหมินโปรดขยายความ ที่…ท่านพ่อรีบร้อนเพียงนี้ จริงๆ แล้วเกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือ?”
“นี่ท่านยังไม่รู้หรือ!?”
ขันทีหมินโพล่งออกมาด้วยความตกใจ พลันมองไปรอบๆ อย่างรวดเร็ว แล้วชี้นิ้วไปที่ท้องฟ้าพลางลดเสียงต่ำ
“ท่านไม่เห็นการเคลื่อนไหวเมื่อครู่หรือ?”
หรงจิ่วตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเข้าใจในทันที
“สัญญาณนั่นมัน…”
“นั่นต้องเป็นสัญญาณจากสุสานจักรพรรดิแน่! เช่นนี้จะไม่ให้ฝ่าบาทรีบร้อนได้อย่างใด!?”
ขันทีหมินตบต้นขาตัวเองฉาดใหญ่
“สมุนเฒ่าผู้นี้ต้องรีบไปแล้ว องค์ชายสาม ท่านควรจัดการทุกอย่างด้วยตัวเองก่อนเถิด!”
เมื่อพูดจบ ขันทีหมินก็ไล่ตามจักรพรรดิจยาเหวินไปอย่างไว
หลังจากเพิ่งคุยกับฉู่เซียนหมิ่นไปเมื่อครู่ก่อน ในใจของเขาก็พลอยเต็มไปด้วยความตกใจ โมโหและเสียใจ ทว่าก่อนที่เขาจะได้คิดไตร่ตรอง เขาก็พาตัวเองกลับมาที่วังหลวงแล้ว
ขณะที่เดินทางกลับมา เขายังสังเกตเห็นดอกไม้ไฟขนาดใหญ่บนท้องฟ้า
แน่นอนเขารู้ว่ามันคือสัญญาณที่ใช้ในการส่งข่าว แต่เพราะเขาเอาแต่คิดเรื่องของซือถูซิงเฉิน เขาจึงไม่ได้ตระหนักว่า นี่เป็นสัญญาณเตือนจากทิศทางของสุสานของจักรพรรดิ
นี่มันหมายความว่า เกิดเรื่องบางอย่างขึ้นที่สุสานของจักรพรรดิ!
แม้ว่าตลอดทั้งปี หรงจิ่วจะไม่ได้อยู่ในเมืองหลวง แต่เขาก็รู้ว่ายอดเขาซีจิน ซึ่งเป็นที่ตั้งของสุสานจักรพรรดินั้นได้รับการคุ้มกันอย่างแน่นหนาจากกองทัพมาโดยตลอด ซึ่งอาจกล่าวได้ว่า เป็นการปกป้องที่แลกด้วยชีวิตก็ว่าได้
เมื่อสัญญาณนี้ปรากฏขึ้นอย่างกะทันหัน นั่นหมายความว่าทางนั้นกำลังเจอปัญหาใหญ่เป็นแน่!
หากจักรพรรดิจยาเหวินไม่ร้อนรนสิแปลก
ทว่าในขณะที่หรงจิ่วกำลังคิดว่าเขาควรจะกลับไปที่ตำหนักของจักรพรรดินี เพื่อยืนยันว่าซือถูซิงเฉินอยู่ที่นั่นจริงหรือไม่ จักรพรรดิจยาเหวินที่กำลังเร่งฝีเท้าอยู่ ก็จำต้องหยุดชะงัก เมื่อใครบางคนเข้ามาขวางทางไว้
คราวนี้คนที่เข้ามาคือ องค์รักษ์ที่อยู่ในชุดเกราะพร้อมรบตลอดเวลา
ตลอดทางเขารีบวิ่งมาด้วยความร้อนรน พร้อมสีหน้าตื่นตระหนก พลันคุกเข่าลงต่อหน้าจักรพรรดิจยา
เหวิน แล้วตะโกนด้วยความอัปยศ
“ฝ่าบาท! สถานการณ์เลวร้ายพ่ะย่ะค่ะ!”
จักรพรรดิจยาเหวินรู้สึกราวกับว่าศีรษะของเขาถูกค้อนหนักตีเข้าให้ จนสมองระบมด้วยความเจ็บปวด!
สถานการณ์เลวร้าย?!
ไหนจะเรื่องสุสานของจักรพรรดิ ยังมีเรื่องที่เลวร้ายกว่านี้อีกหรือ!?
“ว่ามา!”
จักรพรรดิจยาเหวินบังคับให้ตัวเองสงบลง พลันตะโกนลั่น
องค์รักษ์คนนั้นคุกเข่าลงกับพื้น ร่างกายของเขาสั่นเทา
“ฝ่าบาท จักรพรรดินี… จักรพรรดินีสิ้นพระชนม์แล้วพ่ะย่ะค่ะ!”
เกิดความเงียบขึ้นอย่างกะทันหันทั่วทั้งบริเวณ
และการแสดงออกของจักรพรรดิจยาเหวินก็พลันหยุดชะงักทันที
หรงจิ่วที่ได้ยินเช่นนั้น ก็พลันเงยหน้าขึ้นมอง ก่อนจะเห็นว่าองค์รักษ์ผู้นั้น คือองค์รักษ์ที่ประจำการหลักอยู่ที่ตำหนักของจักรพรรดินี!
เมื่อครู่เขาบอกว่า…จักรพรรดินีสิ้นพระชนม์อย่างนั้นหรือ!?
หรงจิ่วเกิดลางสังหรณ์ไม่ดีขึ้นในใจ!
เขาย้ำเท้าสองสามก้าวเข้าไปประจันหน้ากับองค์รักษ์ผู้นั้น
“เมื่อครู่เจ้าพูดว่าอย่างใด!? พูดมาอีกครั้งเดี๋ยวนี้!”
องค์รักษ์ตกใจกับคำถามที่กะทันหันของเขา พลันหดตัวลงแล้วพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“จักรพรรดินี จักรพรรดินีทรง…ปลิดชีพตัวเองพ่ะย่ะค่ะ!”
“เจ้าคนไร้ค่า!”
ในที่สุดจักรพรรดิจยาเหวินก็รู้สึกตัว และเตะเข้าที่แผ่นอกขององค์รักษ์อย่างไร้ความปราณี
“ข้ากำชับเจ้าไปแล้วมิใช่หรือ ไม่ว่าจะเกิดเหตุอันใดขึ้น เจ้าก็ต้องดูแลจักรพรรดินีให้ดี!?”
สิ่งเหล่านั้นที่จักรพรรดินีได้กระทำลงไป ต่อให้ตายเสียพันครั้งก็ยังไม่สามารถชดใช้ได้ ทว่าเขายังไม่ทันจะได้สอบปากคำนางให้ชัดเจน นางก็มาชิงตายไปเสียก่อน แล้วหลังจากนี้เขาจะทำเช่นไรเล่า!?
“เจ้ามัน! พวกเจ้าทำงานกันประสาอันใด!”
องค์รักษ์คนนั้นอดทนต่อความเจ็บปวด พลางเอ่ยตอบเสียงสั่น
“ฝ่าบาท กระหม่อมยืนเฝ้ายามอยู่ด้านนอกตลอดเวลา และทุกครึ่งชั่วยาม กระหม่อมก็จะเข้าไปตรวจสอบด้านใน แต่ แต่ว่า…กระหม่อมไม่ทราบเลยว่า เหตุใดร่างของจักรพรรดินีจึงกระแทกกับกำแพงเช่นนี้…เมื่อพวกกระหม่อมได้ยินความเคลื่อนไหวด้านใน จักรพรรดินีก็…”
พวกเขาทำผิดพลาดมหันต์!
สภาพของจักรพรรดินีในช่วงสองสามวันที่ผ่านมานั้นช่างย่ำแย่ ถึงแม้จะได้รับการทรมานจนเจ็บปวดมากมายเพียงใด แต่ก็ยังอดทนและแบกรับมันไว้อย่างหนักแน่น
แต่ใครจะไปคิดว่าจู่ๆ นางจะคิดสั้นขึ้นมากะทันหัน!?
มันเหมือนกับว่านางตัดสินใจแน่วแน่แล้ว การทุบตีนั้นรุนแรงมาก ใบหน้าและศีรษะของนางอาบไปด้วยเลือด หัวกระโหลกของนางเกือบแตกออกเห็นก้อนเนื้อสมอง
พวกเขาจะไปคาดการณ์เรื่องแบบนี้ล่วงหน้าได้อย่างใด?
เดิมที่จักรพรรดิจยาเหวินเคร่งเครียดกับเรื่องที่เกิดขึ้นในสุสานของจักรพรรดิ และยิ่งตอนนี้มาได้ยินข่าวของจักรพรรดินี โลหิตที่ไหลเวียนอยู่ในช่วงอกและช่องท้อง ก็พุ่งพรวดอย่างควบคุมไม่ได้ พร้อมดันอวัยวะภายในจนทำให้เขากระอักเลือดออกมาดัง “โฮก”
“ฝ่าบาท!”
“ท่านพ่อ!”
ขันทีหมินและหรงจิ่วอุทานออกมาทันที
ขันทีหมินขยับไปยืนอยู่ข้างจักรพรรดิจยาเหวิน และพยุงร่างที่โซเซอ่อนแรงของเขาอย่างรวดเร็ว
“ฝ่าบาท! โปรดคำนึงถึงพระวรกายของท่านด้วย!”
มุมปากของเขามีเลือดสีเข้มไหลรินออกมา สีหน้าของจักรพรรดิจยาเหวินซีดเผือด
เขาจ้องไปที่องค์รักษ์ผู้นั้นและถามทีละคำ
“วันนี้ มีผู้ใดเข้าไปในตำหนักของจักรพรรดินีบ้าง!?”
เขาแน่ใจว่าจักรพรรดินีไม่ได้ฆ่าตัวตายอย่างกะทันหันอย่างแน่นอน!
เรื่องนี้จักต้องมีเงื่อนงำซุกซ่อนอยู่แน่!
และจู่ๆ ก็มีความคิดหนึ่ง แวบเข้ามาในหัวของหรงจิ่ว
หรือจะเป็น…ซือถูซิงเฉิน…
เสียงขององค์รักษ์สั่นคลอน
“กราบ กราบทูลฝ่าบาท วันนี้…มีเพียงองค์ชายสามที่เสด็จเข้าไปในตำหนักของจักรพรรดินี พ่ะย่ะค่ะ”
หรงจิ่วชะงักทันที พลันตวัดตามององค์รักษ์คนนั้น!