ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 398 ค้นหา ตอนที่ 399 กุญแจ
ตอนที่ 398 ค้นหา / ตอนที่ 399 กุญแจ [รีไรท์]
ตอนที่ 398 ค้นหา
ขณะที่จักรพรรดิจยาเหวินกำลังมุ่งหน้าไปยังสุสานของจักรพรรดิอย่างรีบเร่ง ทางด้านหรงจิ้นก็อยู่ในตำหนักขององค์รัชทายาท และรอจนกระทั่งซือถูซิงเฉินกลับมา
เมื่อเห็นนางเดินเข้ามา หรงจิ้นก็รีบเอ่ยถามอย่างร้อนรน
“เป็นอย่างใดบ้าง? แผนการของเราราบรื่นหรือไม่?”
ซือถูซิงเฉินยิ้มบาง
“เป็นไปตามที่องค์ชายต้องการเลยค่ะ”
หรงจิ้นมีความสุขมาก ในที่สุดหัวใจที่ร้อนรนจนอยู่ไม่สุขของเขา ก็ถูกจับใส่กลับเข้าไปในร่างอย่างสงบดังเดิม
“ดีเหลือเกิน! ดีจริงๆ!”
ก่อนหน้านี้เขากังวลว่าท่านแม่ของเขาจะไม่ไว้ใจซือถูซิงเฉิน แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าทุกอย่างจะเป็นไปตามแผนที่วางไว้
เขาดึงร่างของซือถูซิงเฉินเข้าไปในตำหนักอย่างอดใจไม่ไหว และตรวจดูบริเวณโดยรอบอย่างระมัดระวัง ก่อนจะสั่งการให้คนเฝ้ายามอยู่ตรงลานด้านนอก
หลังจากแน่ใจว่าไม่มีใครได้ยินการสนทนาของพวกเขาแล้ว เขาจึงหันมองซือถูซิงเฉิน
“ท่านแม่ว่าอย่างใด?”
ซือถูซิงเฉินหลุบตาลงและเหลือบมองข้อมือของตนที่ถูกหรงจิ้นสัมผัส พลันเกิดความรู้สึกรังเกียจขึ้นในใจ แต่เมื่อคิดได้ว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะมาทำตัวงี่เง่า นางจึงเลือกที่จะปล่อยไป
“นั่งลงก่อนเถิด แล้วข้าจะค่อยๆ เล่าให้ท่านฟังเอง”
ขณะพูดซือถูซิงเฉินเองก็หาเก้าอี้ให้ตัวเอง แล้วนั่งลง
หรงจิ้นนั่งลงข้างนาง พลางจ้องมองนางด้วยสายตาคาดหวังและตื่นเต้น
ริมฝีปากของซือถูซิงเฉินโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้ม
“องค์ชาย ท่านคือ “บุตรแห่งสวรรค์” ที่คนเขาร่ำลือกันอย่างนั้นหรือ?”
หรงจิ้นตกตะลึง นัยน์ตาคู่คมเต็มไปด้วยอารมณ์ที่หลากหลาย
ท่านแม่ถึงขั้นยอมบอกซือถูซิงเฉินเกี่ยวกับเรื่องนี้ หมายความว่าท่านเชื่อนางหมดใจ และยอมให้นางยื่นมือเข้ามาช่วยแล้ว
เขาพยักหน้าเบาๆ และเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ พร้อมกับความเย่อหยิ่งที่ปรากฏขึ้นระหว่างคิ้วของเขา
“สำหรับเรื่องนี้ ตัวข้าเองย่อมทราบดีอยู่แล้ว”
ซือถูซิงเฉินจึงถามต่อ
“เช่นนั้น ท่านก็ต้องรู้ว่า “บุตรแห่งสวรรค์” หมายความว่าอย่างใด?”
หรงจิ้นชะงักไปครู่หนึ่งและพูดโดยไม่ลังเล
“ก็หมายความว่า ผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดินอย่างใดเล่า! ในวันที่ข้าเกิดมานั้น คือวันที่ความเป็นสิริมงคลตกลงมาจากฟากฟ้า ท่านแม่เคยขอให้ท่านอาจารย์ชื่อดังทำนายดวงชะตาของข้า และอีกฝ่ายก็กล่าวไว้ว่า ข้าเป็นบุตรที่ได้รับเลือกจากสวรรค์ และถูกกำหนดให้เกิดมาเพื่อสืบทอดอุดมการณ์อันยิ่งใหญ่”
ดังนั้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เขาจึงมองว่าบัลลังก์มังกรนี้เป็นของเขามาโดยตลอด
ส่วนซือถูซิงเฉินที่ไม่คิดว่าหรงจิ้นจะตอบคำถามเช่นนี้ ก็ถึงตกตะลึงอยู่พักหนึ่ง
หรงจิ้นยื่นมือออกมาโบกตรงหน้านางราวกับเรียกสติ
“เจ้าเป็นอันใดไปหรือ ซิงเฉิน?”
“…เอ่อ ไม่มีอันใด ข้าไม่ได้เป็นอันใด…”
ซือถูซิงเฉินตอบกลับเสียงเบา ทว่าในใจกลับเต็มไปด้วยความแค้นเคือง
ดูเหมือนว่า จักรพรรดินีจะเอ็นดูและประคบประหงมลูกชายหัวแก้วหัวแหวนอย่างหรงจิ้นเกินเหตุ!
จนถึงตอนนี้ หรงจิ้นก็ยังไม่รู้และเข้าใจในหน้าที่ของตนดีเลยด้วยซ้ำ!
นางระงับการถากถางไว้ในใจและอธิบายว่า
“องค์ชาย แต่ความหมายของคำว่า “บุตรแห่งสวรรค์” ที่จักรพรรดินีบอกข้า ไม่ใช่เช่นนี้นะเพคะ”
หรงจิ้นขมวดคิ้วทันควัน “มิใช่เช่นนี้หรือ? แล้วมันหมายความว่าอย่างใดกัน?”
ซือถูซิงเฉินไม่ได้ตอบคำถามของเขาโดยตรง แต่เลือกที่จะถามกลับ
“องค์ชาย ท่านสังเกตเห็นดอกไม้ไฟที่เบ่งบานเหนือท้องฟ้าของเมืองหลวงในวันนี้หรือไม่?”
“เห็นสิ” เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ หรงจิ้นก็ถอนหายใจยาว “น่าจะเกิดเรื่องขึ้นที่สุสานของจักรพรรดิ”
หากเป็นเมื่อก่อน ในนามองค์รัชทายาทผู้แสนองอาจ เมื่อเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น เขาจะต้องออกไปตรวจสอบทันที
แต่ตอนนี้เขาถูกกักบริเวณในตำหนักของตัวเอง แม้แต่ก้าวออกจากประตูเขายังทำไม่ได้เลย ยังคิดอีกหรือว่าเขาจะทำอันใดได้?
พลันซือถูซิงเฉินก็เอ่ยเน้นช้าๆ
“ความจริงแล้ว “บุตรแห่งสวรรค์” อย่างท่าน มีความเกี่ยวข้องกับสุสานของจักรพรรดิ!”
…
“ทิศตะวันออกของแม่น้ำรั่ว จินเยี่ย[1]…จินเยี่ย…”
ในพื้นที่อันเงียบงัน ฉู่หลิวเยว่กำลังยืนอยู่หน้าบัลลังก์ โดยใช้แขนข้างหนึ่งกอดอก และอีกข้างหนึ่งค้ำปลายคางเอาไว้ พลางถูเบาๆ ราวครุ่นคิดถึงความหมายของคำในบรรทัดนี้
หากอิงตามคำกล่าวของชายผู้นั้นเมื่อครู่ ธารดาราที่อยู่เหนือศีรษะของนาง ซึ่งเต็มไปด้วยความเจิดจ้าทะลุผ่านอากาศนั้นคือ แม่น้ำรั่ว
แต่ประโยคนี้มันหมายความว่าอย่างใด?
ฉู่หลิวเยว่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง พลันนึกถึงบางสิ่งขึ้นมาได้
ท่อน้ำบนกำแพงหินก่อนที่นางจะมาเดินเข้ามาก็มีสีทอง ที่มาจากคำว่า “จิน” ด้วยไม่ใช่หรือ?
หรือว่า…สองอย่างนี้จะมีความสัมพันธ์กัน?
เมื่อคิดได้แบบนั้น ฉู่หลิวเยว่ก็รีบหมุนตัวหันกลับไปดูทันที!
น้ำจากแม่น้ำรั่วไหลหยดลงเบาๆ อย่างเงียบเชียบ ฉู่หลิวเยว่ไม่สามารถมองเห็นได้ว่ามันไหลมาจากที่ใด และกำลังจะไหลไปยังที่ใด ทว่านางมองเห็นได้รำไรว่ามีดาวสว่างไสวบางดวง ตกลงมาแอ่งน้ำเป็นครั้งคราว
พอไหลมารวมกันแล้ว พวกมันก็จับกลุ่มและลอยไปมาบนกำแพงหินตรงนั้นอีกครั้ง
ในไม่ช้านางก็ค้นพบรูปแบบของมัน
ดวงดาวเหล่านั้นจะค่อยๆ เรียงตัวเข้าไปในท่อโลหะอย่างเป็นระเบียบตามเวลาที่กำหนด! และสุดท้ายก็จะหยดลงแอ่งน้ำด้านนอก!
ความจริงแล้วนั่นไม่ใช่หยดน้ำธรรมดา!
ฉู่หลิวเยว่ลังเลอยู่ครู่หนึ่งและในที่สุดก็นั่งบนบัลลังก์!
ครืน!
[1] จิน แปลว่า ทองคำ หรือสีทอง ซึ่งพ้องเสียงกับชื่อ จินเยี่ย ที่ปรากฏอยู่ด้านหลังบัลลังก์
ตอนที่ 399 กุญแจ
สิ้นเสียงดังกังวานนั่น พื้นที่รอบๆ ฐานบัลลังก์ก็แตกออกทันที!
รอยร้าวแผ่ขยายออกจากฐานบนบัลลังก์ กระจายไปทั่วทุกสารทิศ!
จากนั้นก็มีบางอย่างพุ่งออกมาจากรอยแตกนั่น!
ฉู่หลิวเยว่จ้องมองตาไม่กะพริบ ก่อนจะพบว่ามันคือ…ทรายสีทอง!
ทรายจำนวนนับไม่ถ้วนที่ส่องแสงสีทองจางๆ ราวกับน้ำพุ พุ่งทะลักออกมาจากใต้พื้นดินไม่หยุดหย่อน!
ทว่าทรายเหล่านี้ไม่ได้กระจายออกไปโดยรอบ แต่มันกลับค่อยๆ ก่อตัวสูงขึ้นเรื่อยๆ!
ตอนนั้นเองที่ฉู่หลิวเยว่ตระหนักได้ว่า นั่นไม่ใช่ทรายจริง แต่เป็น…หินแร่ผลึกที่ถูกบดละเอียด!
เศษหินแร่ผลึกที่ถูกบดละเอียดเหล่านั้นค่อยๆ รวมตัวกัน แล้วจับตัวกันเป็นก้อน พลันปรากฏเป็นผลึกบางๆ รูปทรงห้าเหลี่ยมขนาดเท่าเล็บมือ ที่ดูแปลกประหลาด
และผลึกบางห้าเหลี่ยมเหล่านี้ ก็มาเชื่อมต่อกัน ก่อตัวสูงขึ้นไปทีละชั้น
ทว่าผลึกบางๆ ด้านบนนั้นไม่ได้เชื่อมต่อกันอย่างใกล้ชิดทั้งหมด ตรงกันข้าม ผลึกส่วนใหญ่อยู่ห่างกันราวกับถูกรวมเข้าด้วยกันตามรูปแบบที่แปลกประหลาดบางอย่าง
และในไม่ช้า กำแพงสีทองที่เปรียบเสมือนรั้วก็ปรากฏขึ้นด้านหน้าฉู่หลิวเยว่!
แต่ยังไม่หมดแค่นี้!
ผนังด้านข้างที่เหลือเองก็กำลังแตกร้าว และมีทรายหลั่งไหลเข้ามา!
ฉู่หลิวเยว่รู้ว่าตนนั้นไม่สามารถนั่งนิ่งๆ หรือรอให้ผนังผลึกบางๆ สีทองทับถมไปมากกว่านี้ได้ มิเช่นนั้น ยามที่นางต้องการจะออกไป มันจะยากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า!
นางผุดลุกขึ้นยืนทันควัน เพื่อเตรียมก้าวออกจากบัลลังก์นี่
แต่เมื่อนางยืนขึ้น การเคลื่อนไหวทั้งหมดรอบตัวนางก็พลันหยุดลงทันที!
ราวกับว่ามีใครบางคนกดปุ่มหยุดเวลา เพื่อหยุดเหตุการณ์ทั้งหมดนี้
ฉู่หลิวเยว่หยุดชะงัก พร้อมท่าทางที่เริ่มเคร่งเครียด
พลันก้าวไปข้างหน้าอย่างระมัดระวัง
หึ่ง!
จู่ๆ ก็มีเสียงอื้ออึงดังขึ้น!
พร้อมกับความว่างเปล่าตรงหน้าที่กำลังเกิดความผันผวน!
เส้นริ้วสีทองเสมือนสายน้ำ แผ่กระจายออกไปเงียบๆ แล้วหายแวบไป
ฉู่หลิวเยว่ตกใจสุดขีด จู่ๆ ก็มีค่ายกลเกิดขึ้นที่นี่!?
ยิ่งกว่านั้น เมื่อพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว ค่ายกลนี้ ไม่ใช่สิ่งที่ตัวนางในปัจจุบันสามารถทำลายได้อย่างแน่นอน!
นางหันมองด้านข้างอีกครั้ง พลันขยับสองที
ปรากฏว่าบริเวณฐานบัลลังก์ทั้งหมด ถูกค่ายกลปกคลุมไว้หมดเสียแล้ว!
ฉู่หลิวเยว่ทรุดตัวนั่งบนบัลลังก์อีกครา
สสารทั่วทั้งสี่ทิศ กำลังก่อร่างสร้างตัวกันไม่หยุด!
เสียงของทรายละเอียดที่ไหลออกมาจนเกิดเสียงสวบสาบ แสงสีทองสว่างส่องทั่วพื้นที่ราวกับช่วงกลางวันที่แสงแดดเจิดจ้า
ทว่าหัวใจของฉู่หลิวเยว่กลับค่อยๆ จมลงสู่ก้นบึ้งอันมืดมิด
นางกวาดตามองไปรอบๆ แล้วสังเกตกำแพงผลึกสีทองบางๆ ที่ก่อตัวทับถมกันสูงเกินศีรษะมนุษย์ไปเล็กน้อย ภาพด้านหน้าทั้งหมดดูเหมือนกับเขาวงกตลึกลับที่คดเคี้ยว!
และนาง… ติดแหงกอยู่กลางเขาวงกตแห่งนี้!
ปึง!
ทว่า จู่ๆ ถวนจื่อก็กระโดดออกมา แล้วพุ่งตัวเข้าใส่ค่ายกล
จากนั้นก็เกิดเสียงกระทบอื้ออึง ตามมาด้วยร่างของเจ้าถวยจื่อที่กระเด็นตกลงมา
ฉู่หลิวเยว่ยื่นมือไปคว้าร่างของมันไว้อย่างรวดเร็ว
ถวนจื่อลูบหัวตัวเองปอยๆ
เจ็บจริงๆ เลย!
“ถวนจื่อ เจ้าไม่เป็นไรใช่หรือไม่?” ฉู่หลิวเยว่ถามด้วยความเป็นห่วง
ถวนจื่อยืนขึ้นด้วยความโมโหและพุ่งตัวใส่ค่ายกลตรงหน้าอีกครั้ง! ขณะเดียวกันก็พลันอ้าปากและกัดลงอย่างดุเดือด
ก๊อก!
ฉู่หลิวเยว่เบิกตากว้าง
เสียงมัน…ฟังดูแปลกๆ นะ…
เมื่อเห็นว่าตัวของถวนจื่อเหมือนจะติดอยู่กับค่ายกลตรงหน้า และขยับตัวดิ้นหนีไม่ได้ ฉู่หลิวเยว่จึงเอ่ยเรียกอีกครั้ง “ถวนจื่อ?”
ไม่ต้องรอให้มันตอบสนอง ฉู่หลิวเยว่ก็สังเกตได้เองว่าหางของมันกำลังสั่นเครือ
นางเริ่มกังวลมากขึ้นเรื่อยๆ พลางเอื้อมมือไปคว้าตัวถวนจื่อกลับมา
ถวนจื่อจึงใช้อุ้งเท้าน้อยๆ ของมันปิดหน้าปิดตาทันที
ฉู่หลิวเยว่รีบดึงกรงเล็บเหล่านั้นออก
“เหตุใดเจ้าถึงทำตัว…”
ทว่าพูดยังไม่ทันจบ นางกลับต้องเงียบเสียงลง
หนึ่งคนกับหนึ่งสัตว์ร้ายจ้องหน้ากันนิ่งๆ พร้อมดวงตาทั้งสี่ดวงที่ประสานกันอย่างแน่วแน่
และเพื่อบรรเทาความอับอาย ถวนจื่อจึงค่อยๆ ยิ้มเผล่ออกมา
ฉู่หลิวเยว่เงียบไปครู่หนึ่ง เมื่อเห็นฟันขาวซี่เล็กๆ นั่นถูกย้อมเป็นสีแดง
“เจ้าทำฟันหักหรือ?”
ถวนจื่อปิดปากของมันอย่างรวดเร็วและส่ายหัวพร้อมจิตใจที่สิ้นหวัง
ไม่ใช่ ไม่ใช่เสียหน่อย!
ก็แค่ออกแรงกัดเยอะไปหน่อย ฟันเลยหลุดออกมานิดเดียว และมีเลือดปนนิดหน่อยเท่านั้น!
ฉู่หลิวเยว่ “…”
นางถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ พลางตบหัวถวนจื่อเบาๆ แล้วมองไปยังค่ายกลสีทองอ่อนที่อยู่ตรงหน้า
นางรู้ดีว่าฟันของถวนจื่อแข็งแรงมากเพียงใด ทว่าตอนนี้ แม้แต่กำลังของถวนจื่อ ก็ยังสร้างความเสียหายให้ค่ายกลนี่ไม่ได้เลย…
และเมื่อหันมองความแข็งแกร่งในปัจจุบันของตัวเองแล้ว นางจะได้ออกไปจากที่นี่แน่หรือ?
ฉู่หลิวเยว่ขมวดคิ้วและครุ่นคิดอยู่นาน ก่อนจะเผลอเอนตัวไปด้านหลังโดยไม่รู้ตัว
พลันสะดุ้งสุดตัวกับสัมผัสด้านหลัง
ใช่แล้ว นางเกือบลืมไปเสียสนิท ที่ด้านหลังบัลลังก์ยังมีข้อความอยู่อีก!
รอเดี๋ยวนะ รอเดี๋ยว!
ดวงตาของฉู่หลิวเยว่เป็นประกายขึ้นมาทันที
ประโยคเมื่อครู่นี้มันเขียนไว้ว่าอย่างใดนะ?
“ทิศตะวันออกของแม่น้ำรั่ว…จินเยี่ย!”
จิน…ทองคำ…
ตำนานกล่าวไว้ว่า เมื่อครั้งสวรรค์และโลกยังไม่เป็นระเบียบ ธาตุทั้งห้าจึงถือกำเนิดขึ้น
นั่นคือ ธาตุทอง ธาตุไม้ ธาตุน้ำ ธาตุไฟ และธาตุดิน!
หรือคำว่า “จิน” ในที่นี้จะหมายความถึงธาตุทั้งห้า!?
ธาตุทั้งห้าถูกสร้างขึ้นมาให้สมดุล และสามารถควบคุมหรือปรามซึ่งกันและกันได้ ซึ่งไฟสามารถเอาชนะทองคำได้!
นางจับเจ้าถวนจื่อวางไว้บนไหล่ของตัวเอง พลางหยิบหม้อน้ำเทวศักดิ์สิทธิ์ออกมาอีกครั้ง!
ภายในหม้อน้ำมีเปลวไฟแห่งกรรมอันโปร่งใส เผาไหม้อย่างเงียบๆ อยู่ในนั้น
หลังจากนั้น ฉู่หลิวเยว่ก็กลั้นหายใจ และใส่ความคิดและความแข็งแกร่งทั้งหมดของตนลงในหม้อน้ำเทวศักดิ์สิทธิ์!
เปลวไฟไหลเวียนเป็นจังหวะเดียวกับหัวใจ ก่อนจะได้ยินเสียง “พรึบ” ดังขึ้นมา เพลิงแห่งกรรมลุกโชติช่วงและพุ่งตัวสูง! พลันทะยานออกจากหม้อ แล้วพุ่งเข้าใส่ค่ายกลตรงหน้าอย่างรวดเร็ว!
เปรี้ยง!
พลังงานอันแข็งแกร่งทั้งสองปะทะกันจนเกิดเสียงดังกังวาน!
และค่ายกลสีทองอ่อนนั่นก็ค่อยถูกเผาและพังทลายลง!
…
ขณะที่ฉู่หลิวเยว่กำลังเผชิญกับสถานการณ์อลม่านอยู่ในสุสานของจักรพรรดิ บรรยากาศด้านนอกยอดเขาซีจินกลับเงียบสงบ ต่างจากด้านในสุดขั่ว
จงฉีและคนอื่นๆ ยืนอยู่บนยอดเขา พลางจ้องมองวงแหวนที่ยังคงหมุนช้าๆ ด้วยใบหน้าที่มืดมนสุดๆ
เนื่องจากคล้อยหลังสองร่างที่หลุดหายเข้าไปในวงแหวน ก็ไม่มีการเคลื่อนไหวอื่นใดเกิดขึ้นอีก
พวกเขาไม่สามารถผ่านวงแหวนเข้าไปในสุสานของจักรพรรดิได้ และทำได้เพียงยืนมองมันจากด้านข้างเท่านั้น มันเกินความสามารถของพวกเขาแล้วจริงๆ
และไม่มีผู้ใดรู้ว่าสถานการณ์ปัจจุบันภายในสุสานของจักรพรรดิเป็นเช่นไร
ยิ่งความเงียบก่อตัวมากขึ้นเท่าไหร่ พวกเขาก็ยิ่งกระสับกระส่ายมากขึ้นเท่านั้น
ทว่าไม่นานก็เกิดเสียงเปรี้ยงราวฟ้าผ่าขึ้นกลางอากาศ!
จงฉีรีบเงยหน้าขึ้นมองอย่างฉับไว และเมื่อเห็นผู้มาเยือน สีหน้าของเขาก็แปรเปลี่ยนไปด้วยความยินดี
“เยี่ยเหล่า!”
ซึ่งผู้มาเยือนที่ว่าก็คือ เยี่ยจือถึง
เดิมที่เขากำลังซ่อมแซมหอคอยจิ่วโยวอยู่ที่สำนักวิชา แต่เมื่อเขาเห็นดอกไม้ไฟแจ้งเตือน เขาก็รู้ทันทีว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นกับสุสานของจักรพรรดิ ดังนั้นเขาจึงรีบมาที่นี่
ขณะที่เยี่ยจือถิงกำลังจะอ้าปากเอื้อนเอ่ย สายตากลับสังเกตเห็นวงแหวนอาคมที่หมุนอยู่รอบๆ ยอดเขาซีจินเสียก่อน พลันตกอกตกใจ
“สุสานจักรพรรดิถูกเปิดออกอย่างนั้นหรือ!?”
จงฉีกัดฟันยืนกันปากแน่นไม่ขยับเขยื้อน พร้อมก้มศีรษะลง
“ขออภัยเยี่ยเหล่า ทั้งหมดเป็นความผิดของข้า…สองคนนั้นจึงสบโอกาสทำเช่นนี้ได้!”
สีหน้าของเยี่ยจือถึงจริงจังขึ้นมาทันควัน
“สองคนหรือ? ระบุตัวตนได้หรือไม่?”
จงฉีละอายใจอย่างมาก “…ไม่ พวกเขาเคลื่อนไหวเร็วมาก กว่าเราจะรู้ตัว พวกนั้นก็ขึ้นมาถึงยอดเขาแล้วเปิดสุสานของจักพรรดิภายในได้อย่างรวดเร็ว พวกเรามาไม่ทัน…”
เยี่ยจือถิงถึงกับประหลาดใจ
“จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างใด? เพราะหากไม่มีกุญแจ ก็ไม่สามารถข้ามผ่านค่ายกลของยอดเขาซีจินได้ แล้วพวกเขาจะลอบผ่านเข้ามาเงียบๆ ได้อย่างใด?”
จงฉีและคนอื่นๆ ยืนเงียบเป็นเป่าสาก
แต่จู่ๆ เยี่ยจือถิงก็เงียบไป
หรือว่า…สองคนนั้นจะมีกุญแจผ่านค่ายกลยอดเขาซีจินอยู่กับตัว!?
ทว่ากุญแจนั่นมีเพียงดอกเดียวเท่านั้น และผู้ที่ถือครองมันมาตลอดก็มีเพียงฝ่าบาทเท่านั้น!
“นอกจากฝ่าบาทแล้ว ยังมีคนอื่นถือครองกุญแจอีกหรือ!”