ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 407 การลงทัณฑ์
ตอนที่ 407 การลงทัณฑ์ [รีไรท์]
พลันใบ้ไม้จำนวนหนึ่งที่กำลังร่วงหล่นอยู่ด้านหน้าจักรพรรดิจยาเหวิน ก็ลอยขึ้นไปบนอากาศในพริบตา
พร้อมกับวงแหวนขนาดเหล็กกว่าบนยอดเขาซีจิน ที่ปรากฏขึ้นมาให้เห็น และไม่เพียงแต่มีขนาดเล็กเท่านั้น แต่มันยังมีลวดลายอักขระที่อ่านได้ง่ายกว่ามากด้วย
จากนั้นก็มีอักขระแปลกๆ ปรากฏขึ้นบนฝ่ามือของจักรพรรดิจยาเหวิน และค่อยๆ ลอยไปตกลงบนวงแหวนนั่น
เกิดเสียงหวีดหวิวดังขึ้นมาแผ่วๆ และในที่สุดวงแหวนด้านหน้าก็เริ่มหมุนช้าๆ
จักรพรรดิจยาเหวินเอ่ยด้วยความตื่นเต้น
“มันเปิดแล้ว”
เยี่ยจือถิงเองก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก
จักรพรรดิจยาเหวินเริ่มระมัดระวังมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งพื้นที่ตรงกลางของวงแหวนนั้นค่อยๆ เปิดออกเป็นโพรงเล็กๆ เขาจึงกลั้นหายใจ และก้าวเข้าไป
พร้อมเยี่ยจือถิงที่ย้ำเท้าตามเข้าไปติดๆ และไม่นานแผ่นหลังของทั้งสองก็หายไปจากระยะสายตา
เพียงครู่เดียวทิวป่าไม้บริเวณรอบข้างก็เงียบลงอีกครั้ง
เมื่อเห็นว่าวงแหวนกำลังจะปิดลง หรงจิ้นที่ซ่อนตัวอยู่ในความมืดก็รีบวิ่งไปข้างหน้าทันที
โอกาสทองเช่นนี้เขาจะปล่อยให้เสียเปล่าได้หรือ
โชคดีที่เขาเคลื่อนตัวเร็วพอ เขาจึงเข้าไปในวงแหวนได้ทันก่อนที่มันจะปิดตัวลง
ทันทีที่ก้าวเข้ามา เขาก็รู้สึกถึงชั้นหินชนวนที่อยู่ใต้ฝ่าเท้า พลันสภาพแวดล้อมโดยรอบก็ถูกปกคลุมด้วยความมืดในทันใด
หรงจิ้นแอบรู้สึกระริกระรี้ในใจ
เพราะถึงแม้จะมองเห็นบริเวณโดยรอบได้ยาก แต่เขาก็สามารถใช้ความมืดนี้หลบซ่อนจากจักรพรรดิจยาเหวิน และเยี่ยจือถิงได้
แค่หนีจักรพรรดิจยาเหวินก็ว่ายากพอแล้ว แต่นี่ยังมีเยี่ยจือถิงผู้แข็งแกร่งและทรงพลังอีก หากเขาไม่ระวังตัวให้ดีคงถูกอีกฝ่ายจับได้เป็นแน่
ครั้งนี้เขาเป็นฝ่ายแอบเข้ามา ฉะนั้นโดยธรรมชาติแล้วเขาจึงไม่กล้าทำเรื่องโผงผางเกินตัว
หากถูกจับได้ละก็ ผลที่ตามมาคงร้ายแรงเสียยิ่งกว่าหายนะ
เว้นเสียแต่ว่าเขาจะได้ครอบครองสมบัตินั่นเท่านั้น เขาจึงจะได้รับอำนาจและสามารถทวงคืนความยุติธรรมให้ตัวเองได้
หรงจิ้นหยุดยืนรออยู่ตรงนั้นสักพัก กระทั่งฝีเท้าของทั้งสองคนข้างหน้าค่อยๆ เงียบเสียงไป เมื่อแน่ใจว่าอีกฝ่ายทิ้งระยะห่างไว้ประมาณหนึ่งแล้วในที่สุดเขาก็ยกเท้าก้าวเดินต่อไป
แม้ว่าเขาจะมองไม่เห็นสิ่งที่อยู่รอบด้าน ทว่าก่อนหน้านี้เขาได้แอบฟังการเคลื่อนไหวของทั้งสองคน และตระหนักได้ว่าเส้นทางที่พวกเขากำลังเดินไปนั้น เหมือนจะเป็นขั้นบันไดที่นำไปสู่ชั้นใต้ดิน
ระหว่างทางหรงจิ้นใช้มือทั้งสองข้างคลำหาเส้นทาง และพยายามเดินตัวลีบราวปัดป่ายไปตามกำแพง แต่ในไม่ช้าเขาก็รู้สึกเจ็บที่ฝ่ามือ
เขาผงะตัวแข็งทื่อทันทีก่อนจะรับรู้ว่าบริเวณนี้มีกำแพงอยู่จริงๆ แต่บนพื้นผิวกำแพงกลับอัดแน่นไปด้วยตะปูแหลมคม
ฝ่ามือของเขาถูกตะปูบาดโดยไม่ได้ตั้งใจ และเลือดก็ไหลออกมา
เขาจึงต้องควานฉีกชายเสื้อแบบลวกๆ แล้วเอาเศษผ้ามาพันมือที่บาดเจ็บไว้แน่น
ซึ่งคราวนี้เขาไม่กล้าแตะต้องสิ่งของรอบกาย และต้องเดินลงไปอย่างระมัดระวังมากขึ้น
…
ขณะที่จักรพรรดิจยาเหวินและคนอื่นๆ เข้าไปในสุสานของจักรพรรดิ ฉู่หลิวเยว่ที่ยืนอยู่กลางทะเลสาบ ก็กำลังมองดูฉากเหล่านี้จากผลึกที่เปรียบเสมือนกระจกของพีระมิด
นางเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย เพราะไม่คิดว่าสุสานของจักรพรรดิจะมีทางเข้าอื่นด้วย
ทว่า…จักรพรรดิจยาเหวินมาช้ากว่าที่นางคาดไว้นิดหน่อย
ฉู่หลิวเยว่และมู่ชิงเห่อเข้ามาที่นี่ได้พักใหญ่แล้ว แต่จักรพรรดิจยาเหวินเพิ่งมาถึง อีกทั้งยังเข้ามาจากเส้นทางอื่นที่ไกลจากยอดเขาอีก
แต่แน่นอนว่า นางไม่รู้ว่าจักรพรรดิจยาเหวินและคนอื่นๆ รอคอยอยู่บนยอดเขาอย่างไร้ประโยชนได้พักหนึ่งแล้ว จนในที่สุดพวกเขาจึงต้องตัดสินใจเข้ามาจากเส้นทางนี้แทน
ทว่าด้วยเหตุผลบางอย่าง ถึงแม้เส้นทางที่พวกเขาเดินอยู่นั้นจะมืดมากจนมองสิ่งใดเลย แต่ฉู่หลิวเยว่กลับสามารถมองเห็นฉากทั้งหมดได้อย่างชัดเจน และแม้แต่ดวงตาที่ประหม่าของจักรพรรดิจยาเหวินเอง นางก็มองเห็นได้ชัดเจนเต็มสองตา
ฉู่หลิวเยว่เบนสายตาเล็กน้อย ก่อนที่ดวงตาของนางจะไปหยุดที่เยี่ยจือถิง ผู้ซึ่งกำลังเดินตามหลังเจ้าแผ่นดินมาติดๆ
พลันถูหว่างคิ้วราวเจอเรื่องน่าปวดหัวเข้าให้
นางไม่ห่วงเรื่องจักรพรรดิจยาเหวินหรอก ทว่าเยี่ยจือถิงที่ตามมาด้วยนี่สิ…
เรื่องมันชักจะยุ่งยากขึ้นมาแล้ว
จะปล่อยให้พวกเขาเข้ามาที่นี่ไม่ได้…
ฉู่หลิวเยว่ครุ่นคิดอยู่ในใจ พลันเหลือบไปเห็นหรงจิ้นที่แอบเดินตามหลังพวกเขาเข้ามา
คิ้วเรียวสวยขมวดมุ่นกว่าเดิม
เจ้านั่นก็มากับเขาด้วยหรือ?
แต่ดูเหมือนว่าเขาแอบตามมาอย่างลับๆ มากกว่า…
อีกอย่างเขาเพิ่งจะถูกสั่งกักบริเวณให้อยู่แต่ในตำหนักขององค์รัชทายาท ฉะนั้น แน่นอนว่าจะให้จักรพรรดิจยาเหวินพบเขาที่นี่ไม่ได้
ว่าแต่เขามาทำอันใดที่นี่กัน…
ความคิดของฉู่หลิวเยว่เริ่มปรับเปลี่ยนไปมา พลันเกิดการคาดเดาที่ดูราวกับเป็นเรื่องใหญ่โตขึ้นในใจของนาง
เป็นไปได้หรือไม่ว่าความลับของเขาจะเกี่ยวข้องกับสุสานจักรของพรรดิ
ก่อนหน้านี้หรงซิวเคยพูดไว้ หรงจิ้นเป็น ‘บุตรแห่งสวรรค์’ ดังนั้นจักรพรรดินีจึงให้ความสำคัญกับเขามาก ทุ่มเทพลังกายพลังใจทั้งหมดให้กับเขา และหวังกับเขาไว้สูงกว่าใครอื่น
ครั้งแรกที่ฉู่หลิวเยว่ได้ยินเรื่องนี้ นางไม่ได้จริงจังกับมันนัก จนกระทั่งได้เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดในตรอกชีเจี่ยว
เห็นได้ชัดว่าจักรพรรดินีสนใจสิ่งที่เรียกว่า ‘บุตรแห่งสวรรค์’ ของหรงจิ้นมากกว่าที่นางคิด และยังเตรียมการวางแผนสำหรับเรื่องนี้ไว้หลายขั้นตอน แม้ว่าจะต้องใช้วิธีที่โหดร้ายหรือโหดเหี้ยมเพียงใดเพื่อช่วยให้หรงจิ้นได้เชิดหน้าชูตา และพัฒนาทักษะของเขาก็ตาม
แต่น่าเสียดายที่ความลับข้อนี้ถูกค้นพบก่อนเวลาอันควร
ดังนั้นการที่หรงจิ้นบุกมาถึงที่นี่โดยไม่กลัวอันตรายใดๆ…คงมีเพียงเหตุผลนี้เท่านั้น
ฉู่หลิวเยว่เผลอสังเกตท่าทีของหรงจิ้นโดยไม่ได้ตั้งใจ ก่อนจะเห็นได้ชัดว่าระหว่างทางนั้น องค์ชายผู้สูงศักดิ์ได้รับความเดือดร้อนมากมาย จนดูน่าอับอายเสียหมดมาดองค์รัชทายาท
ทันใดนั้นฉู่หลิวเยว่ก็หรี่ตาลงเล็กน้อย และเมื่อมองไปยังข้างหลังของเขา นางก็เห็นเงาคนสองคนที่เหมือนจะแอบตามเขาเข้ามา
นี่เขาไม่ได้มาคนเดียวหรือ
ชั่วพริบตาฉู่หลิวเยว่ก็มองออกว่าสองคนนั้นเป็นใคร
ร่างที่เดินนำเข้ามาคือ ซือถูซิงเฉิน!
ส่วนคนที่เดินตามหลังมาคือชายชราในชุดคลุมสีดำ แต่เพราะเขาสวมชุดคลุมที่มีหมวกคลุมศีรษะไว้ นางจึงมองเห็นเสี้ยวหน้าส่วนล่าง ทว่าอย่างใดเสียก็พอมองออกว่าเป็นผู้อาวุโสท่านหนึ่ง
แต่ฉู่หลิวเยว่ไม่เคยเห็นคนผู้นี้มาก่อนเลย
เพียงแต่มองจากรูปการณ์แล้ว ผู้อาวุโสท่านนี้ต้องเป็นคนของซือถูซิงเฉินแน่นอน
ฉู่หลิวเยว่จ้องมองภาพนั้นอยู่ชั่วขณะหนึ่ง และในไม่ช้าก็ตระหนักได้ว่า ดูเหมือนหรงจิ้นจะไม่รู้ว่าสองคนนั้นเดินตามเขาเข้ามาด้วย
พวกของซือถูซิงเฉินเดินตามหลังหรงจิ้นอย่างระมัดระวัง ทั้งท่าทาง และการขยับปากพูดคุยนั่น ดูราวกับพยายามเลี่ยงไม่ให้หรงจิ้นรู้ตัว
แสดงว่าพวกเขา…แอบตามหรงจิ้นเขามา ดูท่าทางแล้วต้องเป็นเช่นนั้นแน่ๆ
ฉู่หลิวเยว่แสยะยิ้มออกมาอย่างอดไม่ได้
จักรพรรดิจยาเหวินและเยี่ยจือถิงอยู่ข้างหน้า หรงจิ้นอยู่ตรงกลาง ปิดท้ายด้วยซือถูซิงเฉิน และชายชราที่เดินตามอยู่ด้านหลัง คนพวกนี้พากันแอบเข้ามาเป็นกลุ่มๆ ราวกับพวกย่องเบา
ไม่รู้จริงๆ ว่าถ้าเกิดตอนนี้พวกเขาเห็นภาพตัวเองเดินตุ้มๆ ต่อมๆ เหมือนที่นางยืนมองอยู่ที่นี่ จะแสดงท่าทีออกมาอย่างใด
กึก
พลันเสียงประหลาดแผ่วเบาก็มาจากพื้นที่ว่างเปล่าเหนือพีระมิดสีเงิน
หัวใจของฉู่หลิวเยว่บีบแน่น พลางมองขึ้นไปทันที แต่ก็ไม่พบความผิดปกติแต่อย่างใด
พีระมิดขนาดเล็กนั่นยังคงลอยอยู่กลางอากาศอย่างเงียบๆ ราวกับว่าฉู่หลิวเยว่หูแว่วไปเอง
คิ้วเรียวขมวดมุ่นเล็กน้อย
นางไม่ควรได้ยินเสียงนี้โดยไม่มีเหตุผลสิ…
ทว่าหลังจากรออยู่ครู่หนึ่ง ก็ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ เกิดขึ้น
ฉู่หลิวเยว่จึงต้องหยุดคิดเรื่องนี้ ก่อนจะหันไปมองมู่ชิงเห่ออีกครั้ง
แต่เพียงหันมองแวบเดียว ภาพที่เห็นกลับทำให้หัวใจนางเต้นแรงขึ้นทันที
ขณะนี้มู่ชิงเห่อกำลังคุกเข่าอยู่บนพื้น พร้อมยกกระบี่เล่มยาวในมือขึ้นมาอีกครั้ง
ทว่าครั้งนี้คมดาบของเขากลับหันไปจ่ออยู่ที่ลำคอหนา
นี่มู่ชิงเห่ออยากฆ่าตัวตายหรือ
ฉู่หลิวเยว่ตะโกนออกไปทันทีโดยไม่ต้องคิด
“หยุดเดี๋ยวนี้!”
ดูเหมือนว่ามู่ชิงเห่อจะได้ยินเสียงของนาง การเคลื่อนไหวของเขาหยุดลงทันใด ก่อนที่ร่องรอยของความประหลาดใจ จะค่อยๆ ปรากฏขึ้นในดวงตาของเขา
เสียงเมื่อครู่นี้มัน…แม้จะคลุมเครือ แต่น้ำเสียงก็คล้ายกับเสียงของคนผู้นั้นมาก…
เขากวาดตามองไปรอบๆ ทันที แต่ก็ไม่มีอันใดนอกจากไม้เลื้อยที่เกี่ยวพันกันแน่น
มู่ชิงเห่อหัวเราะอย่างขมขื่น พลันปล่อยกระบี่เล่มยาวในมือแล้วล้มฟุบลงพื้น
หากนางยังมีชีวิตอยู่ โดยรู้ว่าเขาไม่ได้ตายในสนามรบ แต่กลับเลือกที่จะฆ่าตัวตายแทน นางคงจะผิดหวังมากแน่ๆ
แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังคาดไม่ถึงว่าจะถูกขังอยู่ที่นี่ และยังมีความคิดที่จะฆ่าตัวตายผุดขึ้นมาในสมองอีก
แต่ความจริงแล้ว…เขากำลังเจ็บปวดหัวใจเจียนตาย
เขายอมรับว่าเขากลัว
แต่ทว่าทุกคืนวันที่ผ่านพ้นไป และทุกเสี้ยววินาทีที่ยังหายใจ เขาต้องผ่านการทรมานอันเลวร้ายนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนคิดว่าตายไปย่อมดีกว่ามีชีวิตอยู่กับความทุกข์เช่นนี้
เขาต้องการหยิบกระบี่ขึ้นมาอีกครั้ง แต่กลับพบว่าร่างกายของเขากำลังสั่นอย่างรุนแรง แม้จะเป็นภาพหลอน แต่ก็ดูเหมือนเขาจะขัดคำสั่งนางไม่ได้
เขาหลับตาลงนานนับหลายนานที พลันหยาดน้ำตาก็ค่อยๆ ไหลลงมาจากหางตา ก่อนจะพึมพำเสียงต่ำเบาๆ
“ซั่งกวน นี่คือ…บทลงโทษที่ท่านมอบให้ข้าใช่หรือไม่?”