ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 413 ข้อเท็จจริง
ตอนที่ 413 ข้อเท็จจริง [รีไรท์]
ฉู่หลิวเยว่รู้สึกแปลกๆ กับคำพูดนั้นจนต้องหันหลังกลับไปมอง
ประโยคเมื่อครู่นี้ฟังดูจริงจังมาก…
นางกระตุกยิ้มมุมปากและเอ่ยขอบคุณอีกครั้ง
อย่างใดเสีย ก็ถือว่าเป็นถ้อยคำอวยพรที่ฟังแล้วรื่นหู…อีกอย่างนางก็อยากจะรักษาความสัมพันธ์อันดีกับเถ้าแก่ใหญ่ผู้นี้ไว้
อีกทั้งมู่ชิงเห่อเองก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่รับมือชายผู้นี้ได้ หากสามารถเอาชนะใจเขา แล้วเปลี่ยนให้อีกฝ่ายกลายมาเป็นหนึ่งในผู้สนับสนุนของนางได้ละก็…มันน่าจะสะดวกมากกว่ามิใช่หรือ
ขณะที่ฉู่หลิวเยว่เดินออกไป นางก็แอบรู้สึกแปลกๆ ในใจ
แม้ว่าเถ้าแก่ใหญ่ผู้นี้จะอารมณ์แปรปรวน แต่ลึกๆ แล้วดูเหมือนว่านางจะมีความรู้สึกไว้วางใจมอบให้เขาเช่นกัน
ซึ่งน้อยครั้งที่นางจะมีความรู้สึกเช่นนี้
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่ออีกฝ่ายมีความคิดริเริ่มที่จะช่วยเหลือนางหลายต่อหลายครั้ง
พูดง่ายๆ ก็เหมือนแค่ทำดีหวังผลเท่านั้น
แต่ทว่ากับผู้ที่มีความสามารถแข็งแกร่งถึงขั้นทะลวงสวรรค์ได้เช่นนี้ ฉู่หลิวเยว่ไม่สามารถเปรียบเทียบเขากับคำคำนี้ได้เลย
บางทีเขาเองก็อาจมีแผนอื่นในใจอยู่แล้ว แต่ฉู่หลิวเยว่กลับไม่นึกกังวลหรือรู้สึกไม่สบายใจเลย
หรือมันจะเป็นเพราะชะตาลิขิต
พลันแสงสว่างโดยรอบก็ค่อยๆ อ่อนแสงลง
ฉู่หลิวเยว่รู้ได้ทันทีว่าตนเดินทางมาถึงขอบเขตแดนของสุสานจักรพรรดิแล้ว
นางอดไม่ได้ที่จะมองย้อนกลับไป
ทว่านอกจากมู่ชิงเห่อที่ถูกเส้นใยห่อหุ้มไว้ในอากาศ นางก็แทบมองไม่เห็นสิ่งที่ข้างภายในนั้นเลย
มีเพียงชั้นน้ำแข็งที่ยังคงจับตัวเป็นแผ่น และพลิกกลับสู้ก้นทะเลสาบ น้ำในทะเลสาบที่สวยงาม ซึ่งยังคงพุ่งพล่าน
พื้นที่ตรงกลางถูกแช่แข็งอย่างสมบูรณ์ และมีผลึกน้ำค้างแข็งจางๆ ค่อยๆ ลอยปกคลุมบริเวณโดยรอบ
ฉู่หลิวเยว่ยืนมองมันเงียบๆ รู้ว่านี่คือพลังที่ชายคนนั้นใช้ปิดผนึกมัน
เห็นได้ชัดว่าเขาตั้งใจที่จะแช่แข็ง และปิดผนึกสุสานของจักรพรรดิอย่างสมบูรณ์
หลังจากนั้นไม่นานฉู่หลิวเยว่ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ต้องใช้พลังปราณมหาศาลเพียงใดกัน…
คนผู้นี้อยู่นอกเขตแดนม่านฟ้าในเมื่อเขาใช้พลังถึงเพียงนี้ เขาจะไม่ถูกปราบปรามหรือ?
เพียงพริบตา ฉู่หลิวเยว่ก็กระตุกยิ้มมุมปากเบาๆ
ตอนนี้หนทางที่จะออกไปจากดินแดนนี้ของนาง ยังอีกยาวไกลนัก…
ตอนแรกนางอยากถามคนผู้นั้นว่าจะทำเช่นใดกับคนอื่นๆ ในสุสานของจักรพรรดิ
แต่ลังเลอยู่นาน นางก็ไม่ได้เอ่ยปากถาม
แค่ช่วยมู่ชิงเห่อคนเดียว ก็ทำให้นางต้องเป็นหนี้บุญคุณเขาหนึ่งครั้งแล้ว หากรวมคนอื่นๆ เข้ามาอีก…
“ท่านอาจารย์ หวังว่าท่านคงเข้าใจลูกศิษย์ผู้นี้นะ?”
ฉู่หลิวเยว่แอบคิดในใจเงียบๆ
นอกจากเยี่ยจือถิงแล้ว นางหาได้สนใจชีวิตผู้อื่นไม่ และด้วยพลังของเยี่ยจือถิง…หากเขาต้องการหนีออกจากที่นี่ คงไม่ใช่เรื่องยากเกินกำลังหรอก
ทว่าเมื่อคิดเช่นนี้ฉู่หลิวเยว่ก็อดไม่ได้ที่จะหยิบพีระมิดออกมาอีกครั้ง พลางวางมันลงบนฝ่ามือ แล้วจ้องมองอย่างระมัดระวังครู่หนึ่ง
ยามนี้พีระมิดตรงหน้าเปลี่ยนเป็นสีดำทมิฬ จนมองไม่เห็นภาพอันใดสักอย่าง
หากรู้ว่ามันจะเป็นเช่นนี้ นางควรจะดูสถานการณ์ของท่านอาจารย์ และคนอื่นๆ เสียก่อน…
ฉู่หลิวเยว่จำต้องเก็บของสิ่งนั้นลง พลางหายใจเข้าลึกๆ แล้วพามู่ชิงเห่อมุ่งหน้าเดินต่อไปยังอีกด้านของสะพานสีดำ
…
ขณะที่ฉู่หลิวเยว่เดินทางออกไปอย่างราบรื่น สถานการณ์ของคนอื่นๆ ที่เข้ามาในสุสานของจักรพรรดิ กลับไม่ได้ราบรื่นเช่นนาง
จักรพรรดิจยาเหวินได้รับการคุ้มครองจากเยี่ยจือถิง เขาจึงรอดพ้นจากอันตรายได้นานพักใหญ่
แต่กระนั้น เกราะสีดำนั่นก็มีทีท่าว่าจะทนอยู่ได้ไม่นาน และในไม่ช้ามันก็ถูกชั้นผลึกสีทองปกคลุม และกัดกร่อนจนความหนาของมันบางลงเรื่อยๆ
ทรายสีทองที่ไหลพุ่งมาจากด้านหลังทับถมเข้ามาไม่หยุด และในที่สุดโล่สีดำก็ถูกทำลายลงอย่างหมดสิ้น
เยี่ยจือถิงจึงจำต้องอพยพร่างของจักรพรรดิจยาเหวินอีกครั้ง
โชคดีที่ชั้นผลึกสีทองเหล่านั้นเปล่งแสงระยิบระยับ พวกเขาสามารถมองเห็นฉากโดยรอบได้ชัดเจน และความเร็วในการเคลื่อนตัวของทรายก็เพิ่มขึ้นกว่าตอนที่พวกมันพุ่งออกมาแรกๆ อย่างมาก
จักรพรรดิจยาเหวินรู้สึกเหนื่อยและไม่พอใจอย่างมาก
เจ้าคนพวกนั้นยังอยู่ข้างในสุสานแน่ๆ
แต่เขาจักรพรรดิผู้สง่างามของแคว้นเย่าเฉิน กลับถูกขับออกจากสุสานของจักรพรรดิด้วยความอับอาย
ไม่จำเป็นต้องส่องกระจก ก็รู้ว่าตอนนี้สีหน้าของเขาเป็นเช่นใด
โชคดีที่มีเพียงเยี่ยจือถิงเท่านั้นที่อยู่ที่นี่ ไม่เช่นนั้นชื่อเสียงที่สั่งสมมาของเขา คงถูกทำลายเป็นแน่
ไม่รู้ว่าพวกเขาหนีหัวซุกหัวซุนกันนางเพียงใด ทว่าในที่สุดความเร็วที่เพิ่มขึ้นของทรายสีทองนั้นก็ช้าลง
เมื่อเป็นเช่นนั้นเยี่ยจือถิงจึงหยุดฝีเท้า พลางหันมองจักรพรรดิจยาเหวิน
“ฝ่าบาท ท่านยังอยู่ดีหรือไม่?”
จักรพรรดิจยาเหวินโบกมือพร้อมใบหน้าซีดเซียว
“ข้าไม่เป็นไร…เพียงแค่…”
สิ้นคำว่า ‘แค่’ เขาก็เงียบไปอีกพักใหญ่
เยี่ยจือถิงทำทีกระแอมไอ ก่อนจะเบนสายตาไปทางอื่น
จักรพรรดิจยาเหวินยังคงรู้สึกอับอายมาก
“…เยี่ยจือถิง พวกเราจะทำได้เพียงยืนดูอยู่เช่นนี้หรือ?”
เยี่ยจือถิงเอ่ยอย่างหมดหนทาง “ถ้าเช่นนั้น ท่านก็พูดสิว่าตอนนี้เราทำอันใดได้บ้าง? คนในนั้นก้าวนำพวกเราไปแล้ว…”
“ข้าไม่เข้าใจ”
จักรพรรดิจยาเหวินเหยียดมือออกและกุมหน้าผากของตัวเอง
“ข้าไม่เข้าใจจริงๆ…เหตุใดคนนอกจึงเข้ามาในสุสานของจักรพรรดิแห่งนี้ได้? มีเพียงไม่กี่คนที่รู้ความลับของสุสานแห่งนี้ นอกจากข้ากับเยี่ยจือถิงแล้ว หากพูดตามหลักเหตุและผล ก็มิน่ามีผู้ใดล่วงรู้ได้ แต่ทว่า…พวกนั้นกลับวางแผนแล้วบุกทะลวงเข้ามาได้สำเร็จ!”
เพราะหากไร้ซึ่งข้อมูลและการวางแผน พวกเขาจะผ่านเข้ามาได้ง่ายๆ เช่นนี้หรือ?
เยี่ยจือถิงชะงักพลางเอ่ยอย่างมั่นใจ
“ทรงอย่าได้กังวลเลยฝ่าบาท อย่างใดเสีย สิ่งที่อยู่ข้างในก็ยังคง…”
ทว่าพูดยังไม่ทันจบประโยค เขาก็รีบเงยหน้าขึ้นมาทันควัน
ก่อนจะเห็นทรายสีทองที่โถมลงมาก่อนหน้านี้ หยุดลงชั่วขณะหนึ่งพลันล่าถอยกลับไปอย่างรวดเร็ว และเพียงพริบตากองทรายเหล่านั้นก็เคลื่อนตัวห่างออกไปไกลจากเขาถึงสิบก้าวแล้ว
จักรพรรดิจยาเหวินตกใจ “นี่มัน…เกิดเหตุใดขึ้นกัน”
ความหวาดกลัวฉายชัดขึ้นมาในแววตาของเยี่ยจือถิง
“มีคนกำลังทำบางอย่างของสุสาน!”
“เจ้าว่าอันใดนะ!”
จักรพรรดิจยาเหวินเองก็ตกตะลึงเช่นกัน
“จะเป็นไปได้อย่างใด การสร้างสุสานจักรพรรดินั้นซับซ้อนยิ่งนัก และการจัดวางต่างๆ ภายในนั้นก็งดงามอย่างหาที่เปรียบมิได้ หากต้องการรื้อสุสานแห่งนี้…ก็ต้องใช้ผู้ที่มีพลังปราณระดับสูงหลายสิบคนเข้าช่วยเท่านั้น แต่พวกนั้นเข้าไปกันแค่สองคนมิใช่หรือ”
สายตาของเยี่ยจือถิงยังคงจับจ้องไปยังทิศทางนั้น
“ไม่ ท่านลืมไปแล้วหรือ ว่ายังมีอีกวิธีหนึ่ง…”
การแสดงออกของจักรพรรดิจยาเหวินหยุดนิ่งทันที
“อย่าบอกนะว่า…”
แกร่ก
ทันใดนั้นก็มีเสียงแปลกๆ มาจากด้านหลังทั้งสองคน
เยี่ยจือถิงหันควับไปมองอย่างไว
“นั่นใคร?”
สิ้นการลั่นวาจา เขาก็โบกพัดสะบัดในมือทันที
กึก!
พลังปราณที่พุ่งออกไปกระทบกับวัตถุบางอย่าง
จากนั้นเสียงคร่ำครวญด้วยความเจ็บปวดก็ดังขึ้น
เยี่ยจือถิงกับจักรพรรดิจยาเหวินมองหน้ากันพัลวัน มีคนอยู่ตรงนั้น
ก่อนหน้านี้พวกเขาไม่เคยสังเกตเห็นอีกฝ่ายเลย
สีหน้าของเยี่ยจือถิงเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว พลันสะบัดพัดในมืออีกครั้ง
พลังปราณที่กดดันและทรงพลังพุ่งออกมาทันที
ขณะเดียวกัน ในที่สุดเสียงอุทานอันคุ้นเคยก็ดังขึ้นในความมืด
“ช้าก่อนเยี่ยจือถิง!”
เยี่ยจือถิงชะงักไปครู่หนึ่ง
พลันท่าทางของจักรพรรดิจยาเหวินก็เปลี่ยนไป
“หรงจิ้น?”
เยี่ยจือถิงดีดนิ้ว ก่อนจะมีกลุ่มเปลวเพลิงปรากฏขึ้นบนฝ่ามือของเขา
จากนั้นบริเวณโดยรอบก็สว่างขึ้นทันตา
ก่อนหน้านี้เขากังวลว่าเปลวเพลิงจะสร้างปัญหาโดยไม่จำเป็น แต่ตอนนี้กลับเห็นได้ชัดว่ามันไม่ได้ฟุ่มเฟือยอย่างที่คิด
พลันใบหน้าที่ดูประหม่าปนหงุดหงิด ก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าพวกเขาสองคน
เป็นหรงจิ้นจริงๆ
หัวใจของจักรพรรดิจยาเหวินถูกยั่วยุ พลันตำหนิด้วยความโกรธ
“หรงจิ้น! เจ้านี่ช่างอวดดียิ่งนัก เจ้ากล้าดีอย่างใดถึงแอบหนีออกจากตำหนักองค์รัชทายาทแล้วมาที่นี่!”
คราแรกหรงจิ้นกลัวมาก แต่เมื่อคิดทบทวนดูแล้วในเมื่อเรื่องเลยเถิดมาถึงขั้นนี้ ยังมีสิ่งใดที่เขาต้องกลัวอีกหรือ
เขากำหมัด พลันยืดกายตัวตรง และพยายามเอ่ยด้วยน้ำเสียงมั่นอกมั่นใจ
“ท่านพ่อ ลูกคือบุตรแห่งสวรรค์ การที่ลูกมาที่นี่นั้น เป็นปัญหาอันใดหรือ!”
ทว่าจู่ๆ เยี่ยจือถิงกลับหัวเราะออกมา
“องค์ชายเอ๋ย หากท่านเป็นบุตรแห่งสวรรค์ตัวจริง ท่านสามารถเข้าไปด้านในได้โดยตรง และสามารถควบคุมทุกอย่างในสุสานได้หมด ทว่ามีผู้ถูกเลือกอยู่ข้างในนั้นแล้วหนึ่งคน ไม่ทราบว่าเรื่องที่ท่านเป็น ‘บุตรแห่งสวรรค์’ นี้ ท่านไปฟังมาแต่ใดหรือ?”