ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 417 องค์ชายอยู่ที่ใด
ตอนที่ 417 องค์ชายอยู่ที่ใด [รีไรท์]
“ทางออกจะปิดแล้ว!”
ผู้อาวุโสเหลียนหนิงตะโกนเสียงต่ำ พลางหันสบตาซือถูซิงเฉิน และทั้งสองก็รีบพุ่งไปข้างหน้าทันที
แต่ทว่าพวกเขาก็ยังช้าไปก้าวหนึ่ง
ครืน!
เพียงเสี้ยววินาทีในขณะที่ทั้งสองกำลังจะก้าวออกไป วงแหวนที่หมุนอยู่ด้านนอกก็ค่อยๆ ปิดลงอย่างช้าๆ จนสนิท
แสงสว่างจากภายนอกดับลงทันตา
ใบหน้าของคนทั้งสองถูกปกคลุมด้วยความมืดมิดอีกครั้ง
ซือถูซิงเฉินผลักกำแพงหินอย่างแรงเพื่อต้องการเปิดมันให้ได้
แต่ต่อให้พยายามออกแรงมากเพียงใด แผ่นหินตรงหน้าก็ไม่ขยับเลยสักนิด
“เจ้าสิ่งนี้เชื่อมโยงกับระบบภายในสุสานของจักรพรรดิทั้งหมด และเราไม่สามารถใช้กำลังเปิดมันได้”
ผู้อาวุโสเหลียนหนิงกล่าวด้วยใบหน้าบูดบึ้ง
“เช่นนั้นจะทำอย่างใดกันดี? แบบนี้ก็ไม่กับถูกขังไว้ข้างในเลยสิ?”
ซือถูซิงเฉินเอ่ยอย่างร้อนรน พลันจ้องเขาเขม็ง
“แม้แต่ท่านก็ทำอันใดมิได้เลยหรือ”
ผู้อาวุโสเหลียนหนิงจึงก้าวไปข้างหน้า พลางวางมือบนแผ่นหิน และสัมผัสมันอย่างระมัดระวัง
ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็ส่ายหัวเบาๆ
“เว้นเสียว่าต้องพิมพ์ลูกกุญแจที่เหมือนกันขึ้นอีกอัน…”
ซือถูซิงเฉินตกตะลึง
“หมายความว่า นอกจากพวกจักรพรรดิจยาเหวินแล้ว คนอื่นก็สามารถเปิดมันได้ด้วยหรือ?”
ผู้อาวุโสเหลียนหลิงไม่ตอบ แต่ทว่าความเงียบนั้นได้อธิบายทุกอย่างแล้ว
เกิดความเงียบสงัดขึ้นทั่วทุกสารทิศ
ซือถูซิงเฉินทุบกำแพงตรงหน้าอย่างแรง พร้อมกัดฟันกรอด
“ตอนนี้กุญแจสำรองที่จักรพรรดินีแอบสลักไว้เองอยู่ในมือหรงจิ้น แต่เขาไม่ได้ใช้มันหากรู้เช่นนี้ข้าน่าจะเก็บมันไว้เอง”
อุส่าวางแผนเล่นแง่กันอยู่เนิ่นนาน กลับคิดไม่ถึงว่าสุดท้ายนางจะคว้าน้ำเหลว
นางยอมลงทุนใช้เวลาเกลือกกลั้วอยู่กับหรงจิ้นเยี่ยงคนรักอยู่นานสองนาน และเมื่อนึกถึงฉากนั้นนางก็แทบจะอาเจียนด้วยความขยะแขยง
ผู้อาวุโสเหลียนหนิงถอนหายใจและเริ่มให้คำแนะนำ
“ไม่มีใครคาดคิดว่าเรื่องจะเป็นเช่นนี้ องค์หญิงควรหยุดเสียเวลา และพลังงานให้กับคนเช่นนั้น มันไม่คุ้มที่ท่านจะโกรธเขาหรอก ที่จริงแล้วอย่าว่าแต่ท่านเลย ฝ่าบาทเองก็ควร…”
ซือถูซิงเฉินกัดริมฝีปากตัวเองอย่างไม่สบอารมณ์
ท่านพ่อได้วางแผนอย่างรอบคอบมานานแล้ว หากท่านรู้ว่าทั้งหมดนี้เป็นเพียงเรื่องหลอกลวง และความจริงแล้วหรงจิ้นไม่ใช่บุตรแห่งสวรรค์อย่างที่คิด เขาจะต้องโกรธเป็นฟืนเป็นไฟมากแน่ๆ
“เห็นได้ชัดว่าบุตรแห่งสวรรค์นั้นเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่เขา แต่ถ้าว่าตามความคิดของหม่อมฉันผู้นี้ละก็ หรงจิ้นน่าจะเพิ่งมารู้ความจริงเอาวันนี้ และถ้าข้าเดาไม่ผิด…เป็นเพราะจักรพรรดินีเข้าใจผิดมหันต์ จึงเกิดเรื่องวุ่นวายเช่นนี้ตามมา” ผู้อาวุโสเหลียนหนิงกล่าวพลางครุ่นคิด
ก่อนหน้านี้ซือถูซิงเฉินรู้สึกโกรธมาก ทว่าตอนนี้นางสงบลงแล้ว และหลังจากคิดอย่างรอบคอบ นางก็คิดว่าสิ่งที่ผู้อาวุโสพูดมานั้นมีความเป็นไปได้เช่นกัน
หลังจากเตรียมการมาหลายปีจักรพรรดินีคงปักใจเชื่อเต็มร้อยว่าหรงจิ้นเป็นบุตรแห่งสวรรค์ที่แท้จริง
ที่นางรู้เพราะนางคือคนที่เห็นจักรพรรดินีครั้งสุดท้ายก่อนสิ้นพระชนม์
แต่จักรพรรดินีต้องไม่รู้เรื่องนี้แน่นอน
“สุดท้ายเราก็โดนนางหลอกใช้…” ซือถูซิงเฉินบ่นอย่างไม่พอใจ
ถ้าจักรพรรดินีรู้ว่าความพยายามอย่างหนักในช่วงหลายปีที่ผ่านมาของนางเป็นเพียงเรื่องตลก นึกภาพไม่ออกเลยว่านางจะมีปฏิกิริยาอย่างใด
น่าเสียดายที่หลังจากนางได้กุญแจสำรองมาครอบครองแล้ว นางก็ฆ่าจักรพรรดินีทิ้งเสียก่อน
“ยิ่งตายเร็วก็ยิ่งดี หากท่านปล่อยให้นางมีชีวิตต่อไปเกรงว่าคงมีปัญหาตามมาอีกมากมายเป็นแน่ องค์หญิงทรงตัดสินใจถูกแล้ว”
ผู้อาวุโสเหลียนหนิงเอ่ยเสริม
ทว่าสิ่งนี้กลับไม่ได้ทำให้ซือถูซิงเฉินรู้สึกดีสักขึ้นเท่าใด
“แต่ตอนนี้พวกเราออกไปไม่ได้! ถ้าเกิดพวกเขาตามมาทันละก็…”
แต่ก่อนที่นางจะพูดจบ จู่ๆ ก็มีลมปราณเย็นๆ แผ่ออกมาจากทางด้านหลัง
ผู้อาวุโสเหลียนหนิงตวัดตามองอย่างรวดเร็ว พลันพุ่งตัวเข้าไปขวางหน้าซือถูซิงเฉินทันที แล้วสะท้อนพลังปราณกลับในเวลาเดียวกัน
เปรี้ยง!
กลุ่มก้อนเปลวไฟพุ่งชนกันพลันลุกโชติช่วง
รูม่านตาของผู้อาวุโสเหลียนหนิงหดตัวลง
ภายใต้พลังดั่งเดิมที่สั่งสมมาของเยี่ยจือถิงนั้นแท้จริงแล้วมีประกายไฟอันทรงพลังถูกซ่อนไว้ พลังปราณของทั้งสองฝ่ายปะทะกันอย่างรุนแรงจนเกิดเป็นระเบิดเพลิงที่ลุกไหม้อย่างรวดเร็ว
เปลวเพลิงลุกโชนอย่างดุเดือด จนทั่วทั้งอุโมงค์สว่างวาบราวกลางวัน และในที่สุดเยว่เหล่าคนอื่นๆ ก็เห็นรูปลักษณ์ของฝ่ายตรงข้ามที่ปรากฏให้เห็นท่ามกลางแสงสว่างตรงหน้า
เยว่เหล่าไม่คุ้นหน้าชายชราที่อยู่ด้านหน้า แต่ข้างหลังเขานั้นคือหญิงสาวที่เยี่ยจือถิงแสนคุ้นตา…
หากไม่ใช่ซือถูซิงเฉินแล้วจะเป็นใครได้อีก
จักรพรรดิจยาเหวินตกใจอย่างแรง
“เป็นเจ้าหรือนี่”
แต่เยี่ยจือถิงกลับไม่แปลกใจ อีกทั้งยังเหยียดยิ้มออกมาอีกด้วย
“ข้าเดาไม่ผิดจริงๆ”
หลังจากคิดไปคิดมา สุดท้ายคนที่มีแนวโน้มจะทำสิ่งนี้มากที่สุดก็คือนาง
หรงจิ้นอ้าปากค้างแต่ไม่สามารถพูดอันใดได้
ซือถูซิงเฉินหลอกเขาจริงๆ ด้วย นางไม่เพียงแต่เดินตามเข้าไปเงียบๆ เท่านั้น แต่ยังพาคนอื่นมาด้วยเห็นได้ชัดว่านางวางแผนไว้แต่แรกแล้ว
ซือถูซิงเฉินรู้สึกอับอายเป็นอย่างมาก
คนอื่นน่ะไม่เท่าใดหรอก แต่เยี่ยจือถิงนี่สิรับมือได้ยากที่สุด ไม่ว่าจะสร้างอุบายแบบใดก็ไม่สามารถหลอกคนอย่างเขาได้ ทั้งสองฝ่ายตกอยู่ในความเงียบอันแสนอึดอัด และบรรยากาศรอบข้างก็เริ่มเย็นขึ้น
ทันใดนั้นก็มีเสียงของบางสิ่งที่กำลังหมุนวนดังขึ้น
ซือถูซิงเฉินหันกลับไปมองทันที พลันหนังตากระตุกโดยไม่คาดคิด
ภาพที่เห็นคือช่องทางออกซึ่งถูกปิดตายไปก่อนหน้านี้ กำลังหมุนวนอีกครั้งอย่างเชื่องช้า
เผยให้เห็นแสงสีขาวลอดส่องเข้ามาจากภายนอก
“ซือถูซิงเฉิน เจ้าช่วยอธิบายให้ข้าฟังได้หรือไม่?”
จักรพรรดิจยาเหวินระงับความโกรธในใจของเขา และตะโกนด้วยเสียงทุ้มต่ำ
หากวันนี้เข้าไม่รู้เจตนาของซือถูซิงเฉิน เช่นนั้นเขาคงต้องสละบัลลังก์มังกรตัวนี้เสีย
มือของซือถูซิงเฉินที่ซ่อนอยู่ใต้แขนเสื้อค่อยๆ กำแน่น พร้อมขบกัดฟันอย่างแรง จนฟันสีขาวนวลแทบแตกหัก
…
ขณะที่ยอดเขาซีจินตกอยู่ในความวุ่นวายทั้งภายในและภายนอก พวกของฉู่หลิวเยว่ทั้งสามคนก็ได้เดินจากไปอย่างเงียบๆ
แต่พอได้ยินคำพูดของเจี่ยนเฟิงฉือ ฝีเท้าของนางก็พลันหยุดชะงักลง
“ท่านพูดว่าหรง…องค์ชายหลีหวันมาที่นี่ด้วยหรือ?”
มุมปากของเจี่ยนเฟิงฉือยกยิ้มชั่วร้าย
“คู่หมั้นของเจ้าเป็นห่วงเจ้ามากทันทีที่เขาได้ยินว่าเจ้ามาที่นี่กับมู่ชิงเห่อ เขาก็รีบมาหาเจ้าทันทีมาถึงก่อนข้าด้วยซ้ำอันใดกันเจ้าไม่เจอเขาหรือ?”
ฉู่หลิวเยว่ครุ่นเริ่มคิดหนัก แต่ยังคงสีหน้าเฉยเมยดังเดิม และทำเพียงหัวเราะเบาๆ
“แต่ไหนแต่ไรองค์ชายหลีหวันมีพระวรกายที่อ่อนแอ จึงเป็นเรื่องปกติที่เขาจะมาถึงช้ากว่าท่าน…”
เจี่ยนเฟิงฉือเอ่ยเชิงเย้ยหยัน
“เจ้าคิดเช่นนั้นมาตลอดเลยหรือ? ข้าขอบอกเลยนะ ว่าเขาแข็งแรงกว่าที่เห็นเสียอีก!”
ฉู่หลิวเยว่ยังคงนิ่งเฉย
“องค์ชายหลีหวันคือคู่หมั่นของข้า พระวรกายของเขาเป็นเช่นใดข้าย่อมรู้ดีที่สุด”
เจี่ยนเฟิงฉือเพียงยิ้มบาง พลางไพล่มือไว้หลังศีรษะราวไม่ต้องการถกเถียง
ในใจฉู่หลิวเยว่รู้สึกกังวลเล็กน้อย แต่นั่นไม่ใช่เพราะกังวลว่าเรื่องพระวรกายของหรงซิ่วจะถูกเปิดเผย
เจี่ยนเฟิงฉือเป็นพวกชั่งสังเกตมาแต่ไหนแต่ไร จึงไม่แปลกใจที่เขาจะสัมผัสได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้นกับหรงซิว
ทว่าสมองของนางกลับกังวลเรื่องอื่นมากกว่า
จากคำพูดของเจี่ยนเฟิงฉือ หรงซิวมาถึงที่ยอดเขาซีจินก่อนเจี่ยนเฟิงฉือ ทว่าตอนนี้กลับไม่มีผู้ใดพบเห็นเขาเลยสักคน
นี่มันไม่ปกติแล้ว
นางรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ แต่จิตใจของนางยังคงสับสน และไม่สามารถหาคำอธิบายได้ท่องแท้
ทว่าเดินไปได้ไม่นาน ก็มีเสียงบางอย่างดังมาจากทิศทางด้านหน้า
ทั้งสามคนเงยหน้าขึ้นมาทันที
ที่ด้านหน้ามีรถม้าปรากฏขึ้นต่อหน้าพวกเขาทั้งสาม
พลันฉู่หลิวเยว่ก็สังเกตเห็นอวี๋มั่วที่นั่งอยู่ด้านหน้า บริเวณที่นั่งคนบังคับรถม้า
นั่นคือราชรถขององค์ชายหลีหวัน และแล้วหัวใจของนางก็สงบลง นางจ้องมองผ้าม่านตรงประตูบนรถม้าอย่างแน่วแน่
เมื่ออวี๋มั่วเห็นนาง เขาก็กระโดดออกจากรถม้าด้วยความดีใจ
“ท่านหญิงหลิวเยว่! ท่านอยู่ที่นี่จริงๆ ด้วย”
ฉู่หลิวเยว่กะพริบตาเล็กน้อย พลันเอ่ยถาม
“องค์ชายล่ะ?”
ทันใดนั้นมือที่เรียวยาวและขาวซีด ก็ยื่นออกมาจากด้านหลังม่าน และยกขึ้นอย่างนุ่มนวล
พลันใบหน้าที่สง่างามอย่างไม่มีผู้ใดเทียบเทียมได้ก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าพวกเขา
เขามองนางพร้อมรอยยิ้มที่มุมปาก ดวงตาของเขาวาวใสและลึกซึ้งราวกับดวงดาวในยามค่ำคืน ซึ่งทำให้ผู้ลุ่มหลงจมไปเสน่ห์ปริศนานั่น
“ข้าอยู่นี่”