ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 422 ข่าวสาร
ตอนที่ 422 ข่าวสาร [รีไรท์]
ศพที่เห็นก่อนหน้านี้ยังคงถูกแขวนอยู่กลางอากาศ แต่ด้านล่างกลับว่างเปล่า
ในสำนักมีร่องรอยการต่อสู้ และยังมีศพขององครักษ์อยู่หลายศพอีกทั้งอาณาเขตของตรอกซีเจี่ยวยังถูกทำลาย ชัดเจนว่าถูกทลายเพื่อบุกเข้าไป
ฉู่หลิวเยว่รีบค้นหารอบลานสำนักทันที แต่ก็ไม่พบเบาะแสที่เป็นประโยชน์อันใด
สิ่งเดียวที่ทราบได้นั่นคือเวลาเสียชีวิตของคนเหล่านี้ ไม่น่าจะเกินหนึ่งวัน
ไม่ว่าข้างนอกหรือข้างใน องครักษเหล่านี้มิได้มีบาดแผลมากมาย ทว่าล้วนแต่ถูกบีบคอจนตายคาที่ เห็นได้ชัดว่านี่คือการจู่โจมสังหารหมู่จากฝ่ายเดียว!
ฉู่หลิวเยว่ตรวจสอบศพของพวกเขาอย่างละเอียดแล้วค่อยๆ ขมวดคิ้ว
ดูเหมือนว่าฝ่ายองครักษ์จะไม่มีเวลาป้องกันตัวเสียด้วยซ้ำ
แม้ว่าคนพวกนี้จะไม่ได้แข็งแกร่งเป็นอันดับต้นๆ แต่พวกเขาก็ได้รับการฝึกมาอย่างดี ผู้ที่สามารถสังหารคนจำนวนมากในเวลาเดียวกันโดยไม่ให้โอกาสพวกเขาได้ป้องกันตัวเลยนั้น หากมิใช่กลุ่มคนจำนวนมาก… ก็ต้องเป็นคนที่มีพลังแข็งแกร่งมาก!
ความคิดของฉู่หลิวเยว่หนักไปอย่างหลังมากกว่า
เมื่อเร็วๆ นี้ได้มีการคุ้มครองเมืองหลวงเป็นอย่างแน่นหนา หากมีคนจำนวนมากบุกเข้ามาแล้วสองฝ่ายมีการต่อสู้กัน ก็น่าจะมีการกระจายข่าวไปนานแล้ว มิใช่เป็นอย่างตอนนี้ที่ลานตรอกชีเจี่ยวนี่เต็มไปด้วยศพ แต่หาได้มีผู้ใดรู้เรื่องไม่
หากมิใช่ว่านางบังเอิญมาที่นี่ ก็ไม่รู้ว่าจะมีคนพบเจอเรื่องนี้เมื่อใด
ฉู่หลิวเยว่ไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง แล้วหันกลับไปยังตำหนักหลวง
…
ราชวังได้รับการอารักขาอย่างแน่นหนา แต่โชคดีที่บัดนี้ฉู่หลิวเยว่และหรงซิวจะสมรสกัน ดังนั้นในฐานะพระชายาในอนาคตนางจึงสามารถเข้าไปได้
ฉู่หลิวเยว่ไม่ได้ไปหาจักรพรรดิจยาเหวิน แต่ตรงไปที่ตำหนักของจักรพรรดินี
ในขณะที่เดินไปนางก็รู้สึกถึงบรรยากาศเย็นชา และแปลกประหลาดในตำหนักนั้น ทุกคนล้วนดูหวาดระแวงและระมัดระวัง
ชัดเจนว่าเรื่องของจักรพรรดินีและหรงจิ้น ทำให้พวกเขาตกอยู่ในความหวาดผวา
ทว่าเดินไปได้เพียงครึ่งทาง ก็จักประจันหน้าเข้ากับคนผู้หนึ่ง
คนตรงหน้านางคือฉู่หนิง!
ไม่พบหน้าเพียงไม่กี่วันเขาดูซีดเซียว และเหนื่อยล้าไปมาก เห็นได้ว่าเขากังวลไม่น้อยเลยในช่วงเวลานี้
“ท่านพ่อ!” ฉู่หลิวเยว่รีบเดินไปหา
เมื่อได้ยินเสียงที่คุ้นเคยนี้ ฉู่หนิงจึงเงยหน้าขึ้นในทันทีแล้วมองเห็นฉู่หลิวเยว่
แววตาของเขาฉายชัดถึงความประหลาดใจพลันขมวดคิ้ว
“เยว่เอ๋อ เจ้ามาได้อย่างใด?” ฉู่หลิวเยว่เดินเข้าไปใกล้เขา
“ท่านพ่อ ข้ามีเรื่องด่วนต้องรีบรายงานท่าน”
เมื่อฉู่หนิงเห็นแววตาของนางดังนั้นในใจก็เริ่มปรากฏความกังวล
เยว่เอ๋อเป็นคนมีเหตุผลมาโดยตลอด เขารู้ดีว่าหากไม่มีเรื่องด่วนนางไม่มีทางเข้ามาหาเขาในวังในเวลานี้ เขากระซิบกับคนข้างหลังเล็กน้อย ก่อนพาฉู่หลิวเยว่ไปอีกฝั่ง
“เกิดอันใดขึ้นกันแน่?”
ฉู่หลิวเยว่มองริมฝีปากของเขา
“ท่านพ่อ องครักษ์ที่รักษาการณ์อยู่ที่ตรอกชีเจี่ยว ล้วนโดนคนสังหารหมดทุกนาย! ซ้ำหม้อไฟสีชาดของตรอกซีเจี่ยวก็ถูกขโมยไปอย่างไร้ร่องรอย!”
“อะ…อันใดนะ!” สีหน้าของฉู่หนิงเกิดความตกใจขึ้น
เขาคาดการณ์ว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น เพียงแต่คิดไม่ถึงว่า…
“เรื่องเกิดขึ้นเมื่อใดกัน?” ฉู่หลิวเยว่เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้ฟังคร่าวๆ อีกรอบ
สีหน้าของฉู่หนิงยิ่งดูแย่ไปกันใหญ่
“…ก็หมายความว่า ตอนนี้ยังไม่รู้ว่าใครเป็นคนลงมือ? อีกอย่างฝ่ายนั้นก็ไม่ได้ทิ้งร่องรอยไว้เลยสักนิด?”
ฉู่หลิวเยว่พยักหน้าเบาๆ
“ข้ารู้ว่าฝ่าบาทให้ความสำคัญกับเรื่องที่เกิดขึ้นที่ตรวกชีเจี่ยว และช่วงนี้ท่านเป็นผู้รับผิดชอบเรื่องพวกนี้ ดังนั้นทันทีที่เกิดเรื่องท่านก็ต้องรีบไป”
ใบหน้าของฉู่หนิงค้างแข็งราวกับน้ำค้าง
หลายวันมานี้เขาวุ่นอยู่กับเรื่องของจักรพรรดินีจึงต้องหยุดเรื่องที่ตรอกชีเจี่ยวไว้ชั่วคราว แล้วมอบให้คนของเขาจัดการเรื่องที่นั่นแทน
แต่ไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น
แม้ว่าฝ่าบาทจะสั่งให้เขาอยู่ในวังแล้วแก้ปัญหาทางด้านนี้ก่อน เขาก็มีโทษอยู่ดี!
“เอาล่ะ ข้าเข้าใจแล้ว ข้าจะไปบอกเรื่องนี้กับฝ่าบาท” ฉู่หนิงตัดสินใจอย่างรวดเร็ว
จะช้าก็เร็วฝ่าบาทก็ต้องรู้เรื่องนี้ แม้ว่าเขาจะได้รับโทษก็ต้องเริ่มเผชิญหน้ากับมัน
“เยว่เอ๋อ เจ้ากลับไปก่อนเถอะ…” ฉู่หลิวเยว่ส่ายหัว
“ข้าจะไปกับท่านพ่อ ข้าคือผู้เห็นเหตุการณ์เป็นคนแรก ย่อมไม่มีเหตุผลอันใดที่จะไปไม่ได้”
ฉู่หนิงกลับลังเลใจ “เรื่องที่มีเดิมพันใหญ่ขนาดนี้ ข้าไม่ต้องการลากเจ้าเข้ามาเกี่ยวข้อง…”
จากการสืบสวนของเขาในด้านต่างๆ ในช่วงไม่กี่วันมานี้ เขารู้สึกได้ว่าจักรพรรดินีน่าจะวางแผนการณ์ใหญ่ก่อนเสียชีวิต
แม้ว่าตอนนี้นางเสียชีวิตไปแล้ว แต่เรื่องราวต่างๆ มิได้มีทีท่าว่าจะจบลงด้วยเลย
โดยเฉพาะ…บัดนี้หม้อไฟสีชาดสามขาแห่งตรอกชีเจี่ยวหายไปอย่างไร้ร่องรอย!
ไม่ว่าจะมองจากด้านใด เขาก็หวังว่าฉู่หลิวเยว่จะอยู่ห่างจากเรื่องนี้
มุมปากของฉู่หลิวเยว่งอเล็กน้อย
“ตั้งแต่ที่ข้าไปถึงตรอกชีเจี่ยวนั้น ข้าก็จำเป็นต้องข้องเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้ว แต่ท่านพ่อวางใจได้ ลูกมีแผนรู้ว่าควรทำอันใดและไม่ควรทำอันใด ลูกรู้ดี” ฉู่หนิงมองนางอย่างลึกซึ้ง เขาไม่เคยคิดเลยว่านางจะพูดเช่นนี้?
แต่เหตุผลที่แท้จริงก็คือ…หากนางยอมออกหน้าให้เขา จะสามารถช่วยลดโทษจากฝ่าบาทได้
ฉู่หนิงอัดอั้นตันใจ แต่ในที่สุดก็พยักหน้า
“ได้ เจ้าไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทกับข้า”
…
ฉู่หลิวเยว่เดินไปข้างๆ ฉู่หนิง พวกองครักษ์ที่อยู่ข้างหลังดูเหมือนเข้าใจเรื่องราว จึงเว้นระยะห่างกับทั้งสองคน
จริงๆ แล้วฉู่หลิวเยว่ก็อยากจะถามเรื่องของจักรพรรดินี แต่เมื่อคิดไปคิดมาก็เก็บคำพูดนั้นเอาไว้
เดินไปประมาณหนึ่งชั่วยาม คนทั้งหมดก็เดินมาถึงตำหนักจ้าวหยาง
สิ่งที่แปลกก็คือ ยามนี้เป็นเวลากลางวัน แต่เหตุใดประตูใหญ่ของตำหนักจ้าวหยางยังปิดอยู่แล้ว จำนวนพลทหารที่อยู่นอกตำหนักก็มากกว่าเวลาปกติถึงหนึ่งเท่าราวกับกำลังรอคอยอันใดบางอย่าง
ฉู่หนิงหยุดอย่างรู้ทัน และเมื่อขันทีหมินที่กำลังเฝ้าประตูอยู่นอกตำหนักเห็นฉู่หนิง ก็รู้ในทันทีว่าเขามารายงานจักรพรรดิ แต่แล้วเขาก็มองเห็นฉู่หลิวเยว่ที่ยืนอยู่ข้างฉู่หนิง
หัวใจของขันทีหมินเต้นผิดจังหวะ เวลานี้นางมาที่นี่ด้วยเหตุใดกัน!
เขารีบสาวเท้าก้าวเล็กๆ เดินไป
“ท่านฉู่หนิง ตอนนี้ฝ่าบาทกำลังจัดการเรื่องสำคัญอยู่รอสักครู่”
พูดจบก็มองไปทางฉู่หลิวเยว่ “ท่านหญิงหลิวเยว่ วันนี้ท่านมาได้อย่างใด?”
ฉู่หลิวเยว่กล่าวอย่างรวบรัดว่า “ข้ามีเรื่องที่ต้องรายงานท่านพ่อ และฝ่าบาท ขันทีหมินไม่ต้องกังวล พวกข้าจะรออยู่ที่นี่”
ขันทีหมินเป็นคนฉลาด เมื่อเห็นสีหน้าของฉู่หลิวเยว่และฉู่หนิง ก็รู้สึกได้ถึงความไม่ชอบมาพากล จึงไม่ได้รีบร้อนซักถาม แต่กล่าวเล็กน้อยแล้วหลีกทางให้
อย่างใดก็ตาม เมื่อเขาเดินออกไปประตูก็ถูกกระแทกเปิดจากด้านใน
ปัง!
ชายวัยกลางคนสวมเสื้อคลุมสีเข้ม เดินออกมาจากทางนั้น ใบหน้าของเขามืดมน กลิ่นอายของความยิ่งใหญ่ปกคลุมอยู่รอบตัวเขา
เมื่อขันทีหมินเห็นเขาออกมา ก็รีบก้าวถอยหลังด้วยความเคารพทันที
แต่ชายคนนั้นไม่ได้สนใจ แต่รีบก้าวใหญ่เดินออกไปข้างนอก
เมื่อเห็นดังนั้นฉู่หลิวเยว่ก็หรี่ตาเล็กน้อย
ลักษณะของชายผู้นี้…ดูไม่คุ้นเคยเลย…แต่จู่ๆ ดวงตานางก็เป็นประกายขึ้น
ผู้ชายคนนี้ช่างคล้ายกับซือถูซิงเฉินเสียจริง!