ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 424 ลาง
ตอนที่ 424 ลาง [รีไรท์]
มู่ชิงเห่อและเจี่ยนเฟิงฉือกลับไปยังเมืองหลวง โดยมิได้ดึงดูดความสนใจจากใคร
ทันทีกลับไป มู่ชิงเห่อก็ขังตนเองไว้ในห้องที่จริงเจี่ยนเฟิงฉือจะดูแผลให้ แต่กลับถูกปิดประตูไล่
นิสัยของเขาก็ไม่ได้ถือว่าดีแต่แรก เมื่อเห็นเจี่ยนเฟิงฉือเป็นแบบนี้ความอดทนของเขาจึงหมดลง อีกอย่างเขาก็ไม่อยากสนใจด้วยเพราะมีเรื่องของตนที่ต้องสะสางเหมือนกัน
มู่ชิงเห่อที่อยู่ในห้องคนเดียว ก็จัดการแผลของตนอย่างง่ายๆ ใบหน้าของเขาไม่ได้บ่งบอกอารมณ์ ราวกับขอนไม้ไร้ชีวิต
ทว่าในหัวของเขา กลับเอาแต่นึกถึงเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นในสุสานจักรพรรดิซ้ำแล้วซ้ำเล่า โดยเฉพาะ…เรื่องภาพลวงตานั่น
แม้ว่าเขาจะรู้ว่าทุกอย่างเป็นเพียงภาพลวงตา แต่ทุกครั้งที่เขานึกถึง จิตใจของเขาก็รู้สึกเหมือนมีคลื่นถาโถมเข้ามา
ดูเหมือนว่าจะมีหลากหลายภาพแวบเข้ามาในหัว และมีเสียงดังก้องเข้ามาให้โสตประสาท โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่เขาอยู่อย่างเงียบๆ คนเดียว
มู่ชิงเห่อหลับตาลงอย่างหงุดหงิด ทว่าเขากลับเห็นหน้าของคนคนนั้นชัดเจนยิ่งขึ้น
ใบหน้าของอีกฝ่ายยังคงยิ้มแย้ม
“ชิงเห่อ เจ้าเรียกข้าหรือ?” น้ำเสียงชัดเจนและอ่อยโยนดังอยู่ในหู
ทว่าราวกับบางอย่างกระทบก้นบึ้งหัวใจของมู่ชิงเห่อ ทำให้เขารู้สึกอัดอั้นและขมขื่น
แต่ไม่ช้ารอยยิ้มบนใบหน้าของนางก็หายไป และแทนด้วยใบหน้าที่น่าตกใจอย่างไม่น่าเชื่อ
“ชิงเห่อ เจ้าทรยศข้า?”
แววตาที่ดูสดใสเปี่ยมด้วยพลังได้หายไปหมด แทนที่ด้วยความโศกเศร้าและผิดหวัง
มู่ชิงเห่อเบิกตาโพลง
เพียงแค่ไม่กี่นาทีภายนั้นกลับทำให้ตัวของเขาชุ่มไปด้วยเหงื่อ
หยาดเหงื่อและเลือดผสมปนเปกัน จนให้รู้สึกเจ็บปวด
เขาลุกขึ้นพลางตัดสินใจจัดการชำระสิ่งเปรอะเปื้อนบนร่างกายตนก่อน
ทว่าเขาหยุดทันทีหลังจากที่ก้าวขาไปเพียงหนึ่งก้าว จากนั้นสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป พร้อมกับหยุดฝีเท้าลง
กระจกทองสัมฤทธิ์ลอยออกจากตัวเขาและปิดทางของเขา
พร้อมกับคลื่นทะเลเลือดที่ไม่มีที่สิ้นสุด
พลังลมปราณที่น่ากลัวนั้นปกคลุมไปทั่ว
มู่ชิงเห่อรู้สึกเย็นวาบจนต้องคุกเข่าลงกับพื้น
ความเจ็บปวดราวกับร่างจะแหลกสลายนี้ แผ่ขยายออกมาจากในใจของเขา
เขากำเสื้อบริเวณหน้าอกไว้อย่างสุดชีวิต แต่ความเจ็บปวดนั้นกลับไม่บรรเทาเลยสักนิด
“ของล่ะ?”
เสียงที่เย็นชาและเต็มไปด้วยความหน้าเกรงขามลอยมา
มู่ชิงเห่อกัดฟันกรอดเหงื่อบนหน้าผากหยดลงมาอย่างต่อเนื่อง ริมฝีปากของเขาสั่นเทาดูช้ำและซีด
“ข้าไร้ความสามารถ…ไม่…ไม่สามารถเอาของมาได้”
“เข้ามันช่างไร้ค่า!”
ความเจ็บปวดเพิ่มเป็นทวีคูณแผ่ซ่านไปทั่วร่างกายในทันที
ในที่สุดมู่ชิงเห่อก็อดไม่ได้ที่จะร้องออกมา ก่อนอาเจียนออกมาเป็นเลือดแล้วล้มลงกับพื้น
ครั้งนี้เขาไม่ทันพูดจบประโยคด้วยซ้ำ
“แค่เรื่องที่ข้าสั่งให้เจ้าทำยังทำไม่สำเร็จ! มู่ชิงเห่อความสามารถของเจ้าลดลงมากถึงเพียงนี้เมื่อใดกัน? หรือว่า…เจ้าตั้งใจให้เรื่องเป็นแบบนี้กันแน่”
“ข้า…ข้าไม่ได้”
มู่ชิงเห่อสั่นไปทั้งตัว ถึงขั้นยากที่จะเอ่ยบางคำออกมา
ประโยคง่ายๆ แค่นี้ยังทำให้เขาใช้พลังที่เหลืออยู่เกือบหมด
“เจ้าอยู่ข้างนอกมานานพอแล้ว หากเจ้ายังไม่กลับจะเป็นที่สงสัยได้ ดังนั้นเจ้าจะต้องรีบกลับมาให้เร็วที่สุด!”
แม้มู่ชิงเห่อจะเจ็บปวดมากเพียงใดก็ตาม แต่เขาได้ยินประโยคนี้อย่างชัดเจน
“แต่…แต่ของชิ้นนั้น”
“เจ้าไร้ซึ่งความสามารถ หากยังอยู่ที่นั่นก็มีแต่จะเสียเวลาเพิ่มขึ้นเท่านั้น ดังนั้นเรื่องนี้เจ้าไม่ต้องข้องเกี่ยวอีกต่อไป!”
ปากของมู่ชิงเห่อสั่น
ไม่สิ…ไม่ง่ายเลยกว่าเขาจะได้โอกาสนี้มา จะให้เขาปล่อยไปเช่นนี้หรือ
“ข้า…ข้าไม่รู้ว่าของชิ้นนั้นถูกบุคคลปริศนาแย่งไป…”
“บุคคลปริศนาอันใดกัน?”
คำพูดของมู่ชิงเห่อดึงดูดความสนใจจากอีกฝ่ายในทันที
“ผู้นั้น…ลักษณะ ข้าไม่เคย…เจอ…แต่…หากข้าเจออีกครั้งจะต้องจำได้แน่ๆ…ลมปราณของเขา…”
มู่ชิงเห่อค่อยๆ พูดออกมาทีละคำ
“ยังขอให้…ท่านมอบหมายให้ข้า…ข้าจะไม่ทำให้ท่าน…ผิดหวัง”
พูดจบมู่ชิงเห่อหมดแรงจนฟังเสียงไม่ชัดด้วยซ้ำ
แต่ประโยคนั้นมีประโยชน์มาก
“ในเมื่อมันเป็นแบบนี้ ข้าจะให้เวลาเจ้าอีกสองถึงสามวัน! หากไม่มีสิ่งใดคืบหน้า เจ้ารู้ผลของมันดี!”
พูดจบกระจกทองสัมฤทธิ์หายไปจากเขาในทันที
ในห้องจึงเหลือแค่มู่ชิงเห่อเพียงคนเดียว
เขานอนอยู่กับพื้นด้วยเสื้อผ้าเปียกโชกดูน่าเวทนามาก
แต่แล้วเงาตะคุ่มๆ ก็ปรากฏข้างๆ ตัวของเขา
ปีศาจแดงนั่นเอง
เมื่อมันเข้าไปใกล้เขา มันก็ถูหน้าของตัวเองกับมู่ชิงเห่อไปมาก่อนมุดหน้าลงไป
มันผยองและชอบก่อกวนมาโดยตลอด มันต้องการสร้างความปั่นป่วนให้โลกใบนี้
แต่ในตอนนี้มันกลับนิ่งผิดปกติ มันเพียงอยู่ข้างๆ มู่ชิงเห่ออย่างเงียบๆ
“ข้าไม่เป็นไร”
มู่ชิงเห่อพูดเสียงเบา
ปีกของปีศาจแดงขยับเล็กน้อยแล้วเงยหน้าขึ้นสบตาเขาเหมือนต้องการจะบอกอันใดบางอย่าง
แต่มันก็ไม่ได้พูดอันใดออกมา
…
ฉู่หลิวเยว่ตามฉู่หนิงกลับไปที่ตรอกชีเจี่ยวอีกครั้ง แต่การสืบสวนในครั้งนี้ก็ไม่พบสิ่งใดเลย
หลังจากจบการสืบสวน ท้องฟ้าก็มืดแล้ว ฉู่หนิงจึงให้นางกลับบ้านไป
ฉู่หลิวเยว่รู้ดีว่าเขาจะต้องสืบต่อไปแน่ๆ แต่สถานะของตนไม่เหมาะสมจึงไม่ได้ยืนหยัดต่อ
ค่ำคืนที่เงียบงัน พระจันทร์ส่องแสงเจิดจ้าบนฟ้า
เมื่อฉู่หลิวเยว่กลับถึงห้องของตน นางก็นั่งไขว่ห้าง แล้วดึงดูดพลังจากดินฟ้าอากาศรอบตัว
หลังจากผ่านนักรบระดับสามจากสุสานของจักรพรรดิ ความแข็งแกร่งของนางเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
แต่เนื่องจากการผ่านขั้นวรยุทธครั้งนี้กะทันหันเกินไป นางจึงกังวลเรื่องของความไม่มั่นคง และตั้งอกตั้งใจฝึกตนมากขึ้น
เมื่อรู้สึกว่าลมปราณในร่างกายนิ่งขึ้นมาก ฉู่หลิวเยว่ก็อดไม่ได้ที่จะมองฝ่ามือของตนเอง หลังจากระดับชีพจรเพิ่มขึ้น นางก็ดูดซับพลังแห่งสวรรค์และโลกได้รวดเร็วขึ้นอย่างชัดเจน
เมื่อเป็นเช่นนี้ ชัดเจนว่าจะมีประโยชน์มากในการบำเพ็ญเพียรในอนาคต
ทว่าสิ่งที่นางต้องการมากที่สุดในยามนี้ก็คือเวลา
เดิมทีนางคิดว่าหลังจากฟื้นพลังแล้ว นางจะไปแก้แค้นคนที่ราชวงศ์เทียนลิ่ง
แต่กลับคิดไม่ถึงว่ากว่านางจะผ่านนักรบระดับสาม ก็ต้องเสียพลังปราณไปเยอะมากเช่นกันด้วยระดับ และความสามารถของนางในตอนนี้ เมื่อไปถึงที่นั่นก็กลัวแต่จะมีปัญหามากขึ้น…
ทันใดนั้นเองก็มีการเคลื่อนไหวมาจากจุดตันเถียน