ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 426 คุกคาม
ตอนที่ 426 คุกคาม [รีไรท์]
แอ๊ด!
เสียงเปิดประตูดังก้องกังวานในพื้นที่แคบและมืดสลัว
ซือถูซิงเฉินที่ถูกคุมขังอยู่ในกรงเหล็กเงยหน้าขึ้นในทันที
มวยผมที่ประณีตงดงามของนางหลุดลุ่ยลงมานานแล้ว ยังมีเส้นผมอีกสองสามช่อที่ห้อยลงมายุ่งเหยิง และดูน่าอดสูเป็นอย่างมาก
อีกทั้งคราบสกปรกที่เปื้อนอยู่บนหน้าของนาง ยิ่งทำให้นางดูจนตรอกอย่างยิ่ง
นางมีชีวิตมานานหลายปี แต่ไม่เคยต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนี้มาก่อน
เสียงฝีเท้าค่อยๆ ดังใกล้เข้ามา
ชายคนหนึ่งเดินเข้ามาอยู่ที่หน้ากรงเหล็ก และห่างออกไปราวสามก้าว
ภายในพื้นที่ทั้งหมดมีเพียงกำแพงห้องเท่านั้นที่มีสีต่างไป และมองเห็นเพียงเทียนสองเล่มที่จุดอยู่ พวกมันส่องสว่างอย่างริบหรี่
ซือถูซิงเฉินเห็นใบหน้าของผู้ที่เข้ามาไม่ชัดนัก แต่ตอนที่เห็นอีกฝ่ายในแวบแรก นางก็จดจำตัวตนของอีกฝ่ายได้ในทันที เป็นจักรพรรดิจยาเหวินนั่นเอง!
แทบจะในทันทีที่นางลุกขึ้น แล้วพุ่งตรงไปคว้ากรงเหล็ก และเขย่ามันอย่างบ้าคลั่ง
“ปล่อยข้าออกไป ปล่อยข้าออกไป! ท่านพ่อข้าเสด็จมาแล้วใช่หรือไม่?”
จักรพรรดิจยาเหวินก้าวถอยไปหนึ่งก้าวแล้วยกมือขึ้นสัมผัสจมูกเล็กน้อย
ซือถูซิงเฉินรู้สึกอับอายอย่างยิ่ง ใบหน้าของนางแดงก่ำขึ้นทันทีแล้วผละมืออกอย่างไม่ตั้งใจ อีกทั้งยังคับแค้นใจจนแทบจะแทรกแผ่นดินหนี!
หลังจากที่ถูกคุมขังอยู่ที่นี่ การกินการดื่มของนางก็ถูกจำกัดอยู่ในพื้นที่เล็กๆ นี้เท่านั้น แม้กระทั่งจะออกไปนอกกรงขังก็ยังไม่ได้ ทำให้สามารถจินตนาการได้ว่าในตอนนี้นางจะมีรูปลักษณะเป็นเช่นใด
นางไม่รู้ว่าตัวเองนั้นถูกขังมานานเท่าใดแล้ว เพราะมันนานเหมือนนานราวกับว่านางใช้ชีวิตอยู่ที่นี่มานานหลายปีแล้ว
ตลอดระยะเวลาที่อยู่ที่นี่นางรู้สึกว่าตัวนางเองนั้นเริ่มเข้าใกล้ความหมดอาลัยตายอยากเข้าไปทุกที
ตั้งแต่เกิดมานางเป็นองค์หญิงใหญ่ที่มีเกียรติสูงสุดหาใครเทียบได้ในแคว้นซิงหลัว ไม่เคยต้องประสบกับความทุกข์ทรมานเช่นนี้มาก่อน
ไม่รู้ว่าภายในใจของนางนั้นสาปแช่งจักรพรรดิจยาเหวินไปแล้วกี่ครั้ง
หากมีโอกาสนางจะเฉือนเขาด้วยมีดพันเล่มอย่างแน่นอน!
แต่ตอนนี้นางยังอยู่บนเขียงของอีกฝ่าย เป็นธรรมดาที่นางจะไม่กล้าที่จะผยอง
จักรพรรดิยิ้มเยาะ
“เขามาแล้ว แต่ตอนนี้น่าจะเดินทางกลับไปแล้วล่ะ” ใบหน้าของซือถูซิงเฉินพลันแข็งค้าง คล้ายกับว่ามีน้ำเย็นอ่างหนึ่งเทราดลงบนความหวังและความปรารถนาทั้งหมดของนางให้ดับลง
“เป็นไปไม่ได้ ท่านพ่อของข้าจะไม่มีวันทอดทิ้งข้าแน่! ท่านอย่ามาโกหกข้า”
ซือถู่ซิงเฉินกรีดร้องอย่างไม่เชื่อถือ
ท่านพ่อรักและทะนุถนอมนางมากที่สุด จะเป็นไปได้อย่างใดที่เขาจะจากไปแล้ว
“เจ้าวางใจเถอะเขาเพียงกลับไปเพื่อเตรียมงานแต่งงานครั้งใหญ่ให้เจ้ากับหรงจิ้นเท่านั้น เจ้าเป็นบุตรีที่เขารักที่สุด แน่นอนว่าเขาไม่มีทางทอดทิ้งเจ้าเด็ดขาด อืม…ใช่แล้ว วันที่ถูกกำหนดก็คืออีกครึ่งเดือนข้างหน้า”
จักรพรรดิจยาเหวินเอ่ยช้าๆ อย่างมีเหตุผล
“เมื่อเสร็จสิ้นงานพระศพของจักรพรรดินีแล้ว เราก็จะเริ่มจัดงานสมรสของพวกเจ้า เดิมทีมีกำหนดคืออีกหนึ่งเดือนข้างหน้า แต่บิดาของเจ้าดูเหมือนจะรีบร้อนอย่างมาก จึงเลื่อนมาเป็นในอีกครึ่งเดือน”
ซือถูซิงเฉินตกใจอย่างถึงที่สุด
“อะ…อันใดนะ!”
นางกับหรงจิ้นแต่งงานกัน!
นางได้ส่งข่าวให้ท่านพ่อแล้วว่า หรงจิ้นนั้นเป็นบุตรแห่งสวรรค์ที่ถูกแอบอ้างมา!
ท่านพ่อเสด็จมาในครั้งนี้ก็เรื่องหนึ่งก็เพื่อยกเลิกการแต่งงานของนางกับหรงจิ้น และอีกเรื่องคือเพื่อพานางออกไปจากที่แห่งนี้
แต่ตอนนี้…นี่มันเกิดสิ่งใดขึ้น
“ในเวลาที่รีบร้อนก็จะเกิดความประมาทอย่างหนีไม่พ้น แต่โชคดีที่หรงจิ้นก็ไม่ใช่องค์รัชทายาทอีกแล้วดังนั้นธรรมเนียมปฏิบัตที่ซับซ้อนมากมายก็สามารถละเว้นไปได้”
น้ำเสียงของจักรพรรดิจยาเหวินดูผ่อนคลายราวกับว่าร่วมยินดีกับพวกเขาจริงๆ
ทั้งร่างของซือถูซิงเฉินสั่นเทา
จงใจ…จักรพรรดิจยาเหวินจงใจอย่างชัดเจน
เขาต้องการที่จะใช้โอกาสนี้เพื่อทำให้พวกเขาอับอายอย่างแน่นอน
“เจ้า…เจ้า!”
เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างมาถึงจุดนี้แล้ว ในที่สุดซือถูซิงเฉินก็ฉีกหน้ากากชั้นสุดท้ายออก
เสียงกรีดร้องแหลมคมของนางดังสะท้อนไปทั่วพื้นที่มืดสลัวนี้ เหมือนเสียงกรีดร้องที่แสนโศกเศร้าของผีสาว
นางจ้องจักรพรรดิจยาเหวินเขม็ง และอยากจะเห็นท่าทางที่เป็นพิรุธแสดงออกมาบนใบหน้าที่พล่าเลือนของเขา
แต่…ว่ามันไม่มี ดูเหมือนจักรพรรดิจยาเหวินว่าจะไม่ได้โป้ปดนางเลย
สุดท้ายหัวใจของซือถูซิงเฉินก็จมดิ่งลงไป
นางรู้จักรพรรดิจยาเหวินกำลังข่มขู่นางอยู่!
…
แสงจันทร์สว่างไสวกับสายลมยามเย็นที่แผ่วเบา
ยามราตรีใจกลางเมืองหลวงนั้นราวกับตกอยู่ในห้วงหลับไหลและเงียบงัน
ฉู่หลิวเยว่ติดตามชายลึกลับผู้นั้นมาตลอดทาง
ในไม่ช้านางก็พบว่าเส้นทางที่คนผู้นั้นกำลังไปก็คือวังหลวงจริงๆ
หัวใจของนางเต้นรัวแล้วก็เกิดความลังเลขึ้นทันที
วังหลวงแห่งนี้ ไม่ใช่ว่านางไม่เคยมานางรู้แน่ชัดว่าทั้งวังหลวงนั้น ความจริงแล้วเป็นค่ายกลที่ใหญ่มาก อีกทั้งด้านนอกวังหลวงยังมีอาณาเขตที่มองไม่เห็นอยู่ ว่าแต่พลังของนางในตอนนี้ คิดว่ามันยากเกินไปที่จะหลบซ้อนเข้าไปอย่างเงียบๆ
แต่ดูเหมือนว่าคนตรงหน้านางจะไม่ได้สนใจในเรื่องนั้นเลย เขายังคงมุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
ฉู่หลิวเยว่สูดหายใจเข้าลึกแล้วสุดท้ายก็ยังติดตามเขาต่อไป ไม่ว่าอย่างใดก็ตามวันนี้นางจะต้องจัดการเรื่องนี้ให้ชัดเจน
หลังจากนั้นประมาณหนึ่งก้านธูป ในที่สุดทั้งสองก็มาถึงด้านนอกของกำแพงวัง ที่นี้ค่อนข้างห่างไกลจากตัวเมือง และนอกจากทหารที่ลาดตะเวนแล้วก็ไม่มีใครคอยเฝ้า
แต่เมื่อฉู่หลิวเยว่ยืนอยู่ใต้ชั้นกำแพงแล้ว นางสามารถรับรู้ถึงค่ายกลที่มีแรงกดดันสูงอย่างชัดเจน
นางเงยหน้าขึ้นจ้องมองชายลึกลับคนนั้น และเห็นเพียงคนผู้นั้นยื่นมือออกไป แล้วที่ปลายนิ้วก็ทอแสงขึ้นแวบหนึ่ง เกิดรอยแยกที่ดูประณีตขึ้นหนึ่งรอยบนค่ายกลนั้น อีกทั้งมันยังไม่ได้ทำให้เกิดการเคลื่อนไหวใดใดด้วย
หางตาของฉู่หลิวเยว่ถึงกับกระตุก วิชาเช่นนี้…ใช่ว่านางไม่เคยพบเห็นมาก่อน!
สิ่งนี้เคยช่วยนางรอดมาได้ แต่ไม่คิดว่าวันนี้…
ครืน!
ค่ายกลถูกเปิดออกแล้ว คนผู้นั้นก็กระโดดข้ามกำแพงไปและเข้าไปภายในวังหลวง
ฉู่หลิวเยว่ทันเห็นเพียงชายของชุดสีดำหายเข้าไปหลังกำแพงวัง
นางถอยหลังไปสองสามก้าว จากนั้นก็รีบวิ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ขาข้างหนึ่งเหยียบไปบนกำแพง!
จากนั้นร่างของนางก็ขนาบไปกับพื้น แล้วพุ่งต่อไปบนขอบกำแพง
ร่างบางหมุนตัวกลับได้อย่างสบายๆ พลันย่อขาทั้งสองข้างลงเล็กน้อย แล้วทิ้งตัวลงบนพื้นอย่างง่ายดาย
เมื่อเงยหน้าขึ้นชายคนนั้นก็เดินไปข้างหน้าแล้ว
ฉู่หลิวเยว่เม้นริมฝีปาก
ชายผู้นั้นไม่ได้กังวลเลยว่านางจะตามไปทันหรือไม่…
แต่นางเองก็ไม่มีเวลามาคิดมาก ดังนั้นนางจึงรีบไล่ตามเขาไป
ทั้งสองคนเหมือนกับแมวกลางคืนที่สามารถหลบซ้อนได้อย่างแนบเนียนในหมอกหนาของยามราตรี
แต่ไม่นานฉู่หลิวเยว่ก็ต้องแปลกใจ เมื่อพบว่าคนผู้นั้นดูคุ้นเคยภายในวังหลวงอย่างหาที่เปรียบมิได้
ภายใต้การนำทางของคนผู้นั้น พวกเขาสามารถหลบหลีกทหารรักษาวังหลวงที่เดินลาดตะเวนอยู่ได้อย่างง่ายดายแล้วบุกตรงเข้าไป!
ฉู่หลิวเยว่รู้สึกสับสนขึ้นเรื่อยๆ
เหตุใดคนผู้นี้ถึงคุ้นเคยกับวังหลวงนัก ราวกับว่าเขาเคยมาที่นี่หลายครั้งจนนับไม่ถ้วน…
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อถึงบริเวณด้านหลัง ที่พวกเขายิ่งเดินก็ยิ่งลาดเอียงขึ้นเรื่อยๆ แต่ความเร็วของชายผู้นั้นกลับไม่ได้ลดลงเลย ในทุกๆ ย่างก้าวนั้นไม่ได้มีความลังเลใจอยู่เลยแม้แต่น้อย
หลังจากผ่านไปประมาณชั่วครู่ยามชายผู้นั้นก็หยุดลง
ฉู่หลิวเยว่ยืนนิ่งเพื่อซ้อนตัวอยู่ในเงามืดแล้วมองไปข้างหน้า
และเมื่อเห็นคำสามคำ ‘ตำหนักโยว่เหอ’ บนแผ่นป้าย คิ้วของนางก็ขมวดมุ่น
เขามาที่นี่ได้อย่างใดกัน?
แต่เมื่อมองขึ้นไปดูเหมือนจะไม่เป็นเช่นนั้น
ทันใดนั้นสายตาของฉู่หลิวเยว่ก็แข็งค้าง!
ที่บริเวณรอบๆ ตำหนักโยว่เหอนี้มีลมปราณที่ไม่ชัดเจนอยู่หลายสาย!
ด้านในมีคนอยู่
ในขณะที่นางกำลังคิดว่ามีใครที่อยู่ในนั้นบ้าง ชายลึกลับผู้นั้นก็เดินต่อไปข้างหน้าทันที