ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 437 พยาน
ตอนที่ 437 พยาน [รีไรท์]
ได้ยินคำนี้แล้ว ผู้อาวุโสเยี่ยก็รู้สึกไม่สบายใจและฝ่าบาทก็อยากจะได้ของจากซือถูซิงเฉินเช่นกันไม่ใช่รึ?
จงเยี่ยพูดแบบนี้แล้วเขาจะไม่สงสัยได้อย่างใด
เมื่อเขาหันไปมอง ก็รู้สึกว่าจักรพรรดิจยาเหวินขมวดคิ้วประหนึ่งกำลังสงสัย
ผู้อาวุโสเยี่ยรีบถามทันที
“จงเยี่ย ในเมื่อเป็นเช่นนั้น เจ้าก็ลองบอกมาสิว่าฉู่หลิวเยว่แย่งของอันใดจากซือถูซิงเฉินไป?”
จักรพรรดิจยาเหวินหยุดหายใจไปชั่วขณะ
จงเยี่ยก็นิ่งไป
เพราะเรื่องนี้ซือถูซิงเฉินยังไม่ทันได้บอกกับเขา…
แต่ที่เขามั่นใจได้ก็คือ ที่จักรพรรดิจยาเหวินขังซือถูซิงเฉินเอาไว้เพราะต้องการสิ่งของแน่นอน
เขากะพริบตาก่อนจะมองไปยังจักรพรรดิจยาเหวิน
“นางเอาอันใดไป จักรพรรดิจยาเหวินคงจะรู้ดีที่สุด?”
ผู้อาวุโสเยี่ยยิ้มหยัน ท่าทางแบบนี้ของจงเยี่ยนั้น ทำให้เห็นได้ชัดว่าเขารู้! และอาจจะเป็นเรื่องที่ปั้นแต่งขึ้นมาก็เป็นได้!
จักรพรรดิจยาเหวินเงียบไปทันที ก่อนจะมองไปยังซือถูซิงเฉินที่กำลังสลบอยู่
“เรื่องนี้ รอให้นางฟื้นแล้วข้าค่อยให้นางพูดเองคงจะดีกว่า”
ผู้อาวุโสจงเยี่ยรีบยืดตัวขึ้นมา
“เจ้าหมายความว่าอย่างใด!?”
“ความหมายก็คือ ก่อนที่เรื่องราวจะถูกตรวจสอบให้ชัดเจนก็รบกวนให้ผู้อาวุโสจงเยี่ยเอาเวลาไปสำนึกผิดต่อซือถูซิงเฉินสักพักดีกว่า เรื่องงานแต่งงานของซือถูซิงเฉินและหรงจิ้นก็ให้เลื่อนออกไปก่อน และผู้อาวุโสจงเยี่ยก็อยู่รอเป็นผู้ใหญ่ให้กับซือถูซิงเฉินเลยแล้วกัน”
พูดจบจักรพรรดิจยาเหวินก็กำลังจะเดินออกไป
“หรงเชียว!กล้าดีนัก!”
ผู้อาวุโสจงเยี่ยถูกคำพูดนี้ทำให้อึ้งนิ่งไป ก่อนจะเผลอหลุดปากตะโกนเรียกชื่อจริงของจักรพรรดิจยา
เหวินภายใต้สถานการณ์ที่เร่งรีบ
“อย่างหรงจิ้นที่ไม่มีอันใดดีนั้น คู่ควรกับซิงเฉินด้วยรึ!? ถ้าเจ้ายังมีความคิดแบบนั้นอยู่ อย่าหาว่าข้าไม่เตือนก็แล้วกัน!”
จักรพรรดิจยาเหวินยืนนิ่ง ก่อนจะแสยะยิ้มอย่างเย็นชา
“ที่ข้าเรียกท่านว่าผู้อาวุโสจงเยี่ยก็เพราะเห็นแก่หน้าตาของเทียนซานหมิงเยว่ แต่ไม่ได้หมายความว่าข้าจะกลัวเจ้า เพราะผู้แข็งแกร่งในเทียนซานหมิงเยว่ไม่ได้มีแค่เจ้าคนเดียวเท่านั้น?”
ผู้อาวุโสจงเยี่ยรู้สึกจุกอกไปทันที
“เจ้า!”
“คืนนี้ได้เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นถึงเพียงนี้ แน่นอนว่าต้องดึงดูดสายตาผู้คนไม่น้อย ผู้อาวุโสจงเยี่ยเป็นคนฉลาด ถ้าท่านยอมให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ข้าก็จะคิดเสียว่าเรื่องในวันนี้ไม่ได้เกิดขึ้น แต่ถ้าท่านไม่ยอม…ก็อย่าหาว่าข้าไม่ไว้หน้าก็แล้วกัน!”
ซือถูเหยียนมาแล้วไม่ได้ผล แล้วคิดว่าจงเยี่ยมาอีกคนแล้วจะจบเรื่องนี้ได้งั้นรึ?
ผู้อาวุโสเยี่ยลูบเครา
“ข้านึกขึ้นได้ว่าช่วงนี้ไม่ได้ไปเทียนซานหมิงเยว่มานานแล้ว คงต้องหาเวลากลับไปเยี่ยมเยียนสักหน่อยแล้วล่ะ”
ผู้อาวุโสจงเยี่ยโมโหจนหน้าแดงก่ำ
เขานึกไม่ถึงเลยว่าตัวเองจะถูกจักรพรรดิจยาเหวินและเยี่ยจือถิงขู่เช่นนี้!
แต่นี่ก็เป็นจุดอ่อนของเขาจริงๆ!
เขารับบทลงโทษของเทียนซานหมิงเยว่ไม่ได้จริงๆ…
ถ้าจะให้ฝ่าฟันออกไป ก็ใช่ว่าเขาจะไม่สามารถออกไปได้
แต่ถ้าทำเช่นนั้นก็จะเหลือเพียงซือถูซิงเฉินอยู่ที่นี่คนเดียว
ในใจของเขานั้นไม่สามารถวางใจได้จริงๆ
จากนั้นสีหน้าของผู้อาวุโสจงเยี่ยก็เปลี่ยนไป และในที่สุดเขาก็กัดฟันและยอมรับ!
เขาจ้องผู้อาวุโสเยี่ยตาเขม็ง
“เยี่ยจือถิง เจ้าอย่าเพิ่งรีบได้ใจไป!จากทีข้าดูแล้ว ลูกศิษย์หัวแก้วหัวแหวนของเจ้าต้องมีจิตใจที่ล้ำลึกมาก!ไม่แน่สักวันอาจจะกลับมาแว้งกัดเจ้าโดยไม่รู้ตัวก็เป็นได้!”
ผู้อาวุโสเยี่ยยิ้มพลางเอ่ยปาก
“เรื่องระหว่างอาจารย์กับลูกศิษย์ของพวกข้านั้น เจ้าก็เป็นเพียงแค่คนนอกเท่านั้น อย่าได้กังวลไปเลยท่านจงเยี่ย เอาเวลาไปดูแลใส่ใจซือถูซิงเฉินเถิด! ถ้าปล่อยให้บาดแผลนี้อยู่นานเข้า ต่อไปอาจจะกลายเป็นแผลไม่รู้ด้วยล่ะ…”
“เจ้า!”
“ออ ใช่แล้ว ไม่เจอกันนานหลายปี ดูเหมือนความสามารถของเจ้าจะไม่ได้พัฒนาอันใดเลย ถ้าอย่างงั้นก็ได้เวลาถือโอกาสนี้ทบทวนแล้วล่ะ!”
ผู้อาวุโสเยี่ยพูดจบแล้วก็ดีดนิ้วทันที!
ขนนกสีขาวนับไม่ถ้วนกระตุ้นพลังที่แข็งแกร่งออกมาและแยกพวกเขาทั้งสองออกจากกัน!ก่อนจะเก็บรวบรวมอย่างรวดเร็ว!
“เกรงว่าสองสามวันนี้คงต้องลำบากผู้อาวุโสเยี่ยแล้ว”
จักรพรรดิจยาเหวินกล่าว
ซือถูซิงเฉินยังพูดง่ายหน่อย แต่ผู้อาวุโสจงเยี่ยนั้น…มีเพียงผู้อาวุโสเยี่ยเท่านั้นที่จะควบคุมกดขี่เขาได้
ผู้อาวุโสเยี่ยโบกมือ
“ข้าไม่ถูกชะตากับเขามาตั้งนานแล้ว ครั้งนี้ก็ถือว่าเป็นการได้แก้แค้นก็แล้วกัน แต่…ฝ่าบาทมีความเห็นอย่างใดกับสิ่งที่เขาพูดก่อนหน้านี้บ้าง?”
จักรพรรดิจยาเหวินลังเลไปสักพัก และในที่สุดก็พูดความจริงออกมา
“ข้าคิดว่า…ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้”
ผู้อาวุโสเยี่ยขมวดคิ้ว
“พูดแบบนี้ แสดงว่าฝ่าบาทสงสัยฉู่หลิวเยว่จริงๆรึ?”
จักรพรรดิจยาเหวินยิ้มพลางส่ายหน้า
“ข้าก็ต้อง…ของสิ่งนั้นเป็นของสำคัญมาก ถึงคนอื่นจะไม่รู้แต่ท่านผู้อาวุโสเยี่ยคงรู้ดีที่สุด ที่ข้าทำเช่นนี้ก็ไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง แต่..เพื่อทำเพื่อแคว้นเย่าเฉิน”
ผู้อาวุโสเยี่ยครุ่นคิดสักพัก
“ถ้าอย่างงั้นถ้าไปถามเองเลยไม่ดีกว่ารึ?”
จักรพรรดิจยาเหวินตั้งใจครุ่นคิด ทันใดนั้นก็รู้สึกเหมือนว่านี่จะเป็นทางออกที่ดีที่สุดแล้ว
เขาก็ชอบเด็กฉู่หลิวเยว่คนนั้นมากเช่นกัน
ด้านหนึ่งก็คือเพราะนางเป็นว่าที่มเหสีของหรงเซียว แต่ถ้าไปยุ่งกับนาง หรงซิวคงไม่ยอมแน่นอน
อีกด้านหนึ่ง ยังมีมู่ชิงเห่อด้วย…
“ถ้าอย่างงั้นก็คงต้องขอรบกวนผู้อาวุโสเยี่ยด้วย”
…
ไฟไหม้พระราชวังตลอดทั้งคืน
จนถึงเช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้น ในที่สุดไฟก็มอดไปหมดแล้ว
ทั้งพระราชวังถูกเผาทำลายไปหมดแล้ว แม้แต่วิหารที่อยู่รอบๆก็โดนไปด้วยและกลายเป็นซากปรักหักพังหมดแล้ว
และยังได้คร่าชีวิตของบ่าวในวังไปไม่น้อยด้วย
จากการบอกต่อนั้นบอกว่าเป็นเพราะพระราชวังไม่ได้รับการซ่อมแซมมานาน ถึงได้เกิดไฟเผาและเผาไหม้ลุกโชนไปทันที
ที่จริงแล้วคนที่ตาดีก็จะรู้ว่า เปลวไฟสีฟ้าขาวนั้นไม่ใช่เปลวไฟธรรมดาแต่อย่างใด และเป็นไปได้อย่างมากว่าจะเป็นผงหลินเซียงที่เผาไหม้
และของสิ่งนี้ก็เป็นของที่คนทั่วไปไม่มี
ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเรื่องนี้นั้นต้องเป็นมีส่วนเกี่ยวข้องแน่นอน
แต่ในเมื่อทางพระราชวังได้แถลงการณ์ออกมาแล้ว จึงไม่มีใครทำตัวไม่รู้ร้อนรู้หนาว
เพียงแต่ พระราชวังโย่วเหอนี้เป็นที่ประทับของหรงจิ้น เขาเพิ่งจะถูกปลดออกไปแล้วก็เกิดไฟไหม้ขนาดใหญ่ถึงเพียงนี้ จะไม่ให้ผู้คนคิดมากได้อย่างใด
ครั้งนี้เขาคงถือโอกาสหันหลังกลับไม่ได้อีกแล้ว
…
ตำหนักองค์ชายหลีหวัน
ขันทีหมินเดินทางมาหาด้วยตัวเอง เพื่อบอกว่าฝ่าบาทเรียกให้หรงซิวเข้าพบ
คนของตำหนักองค์ชายหลีหวันพากันตกใจ
ฝ่าบาททรงให้ความสำคัญกับหรงซิวมาโดยตลอด เมื่อนึกถึงร่างกายที่ไม่แข็งแรงของเขาแล้วจึงไม่ค่อยจะให้เขาเข้ามาในวัง
แต่มาวันนี้กลับเรียกไปอย่างกะทันหัน
เหมือนว่าหรงเซียวจะไม่ได้คิดอันใดมาก เมื่อเก็บของเสร็จแล้วก็สวมเสื้อคลุมสีดำแล้วเดินเข้าวังตามขันทีหมินไป
จักรพรรดิจยาเหวินกำลังรออยู่ในห้องหนังสือ
“เสด็จพ่อ”
เห็นหรงซิวเข้ามาและกำลังจะคำนับ จักรพรรดิจยาเหวินก็เอ่ยปากทันที
“เรื่องงานอภิเษกนั้นเลื่อนออกไปก่อน ที่ข้าเรียกเจ้ามาวันนี้นั้นก็เพราะมี
เรื่องอยากจะถามเจ้า”
สีหน้าของหรงซิวยังคงเป็นปกติ และดูอบอุ่นมาโดยตลอด
“ถ้าลูกรู้ไม่มีอันใดที่ลูกไม่ตอบ”
จักรพรรดิจยาเหวินกำลังจะอ้าปากแล้ว แต่ในใจกลับรู้สึกลังเลขึ้นมา
หรงซิวเป็นลูกชายที่เขารักมากที่สุด
หลายปีมานี้ เป็นเพราะเขาไม่สามารถอยู่ข้างกายหรงซิวได้ เขาจึงรู้สึกผิดในใจมากๆมาโดยตลอด
ฉะนั้นหลังจากที่หรงซิวกลับมา เขาจึงคิดหาวิธีชดเชยมาโดยตลอด
ถ้าถามปัญหานี้กับเขาในตอนนี้…คงต้องไม่เหมาะสมแน่นอน
หรงซิวยืนอยู่ตรงนั้นเงียบๆ ราวกับว่ามองความลำบากใจของจักรพรรดิจยาเหวินไม่ออก
ผ่านไปสักพัก ในที่สุดจักรพรรดิจยาเหวินก็กัดฟันและตัดสินใจเอ่ยปากถาม
“หรงซิว เมื่อคืนนี้ตอนที่เกิดไฟไหม้ในวัง มีของสิ่งหนึ่งหายไปและมีคนชี้ตัวว่าฉู่หลิวเยว่เป็นคนทำ เจ้ามีความเห็นอย่างใด?”