ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 438 ต้องเลือกระหว่างคนสำคัญสองคน
ตอนที่ 438 ต้องเลือกระหว่างคนสำคัญสองคน [รีไรท์]
ถ้าในตอนนั้นมีคนอื่นอยู่ข้างๆ และได้ยินคำพูดนี้เข้า คงจะต้องอึ้งอย่างแน่นอน
เรื่องนี้ละเอียดอ่อนมาก แต่จักรพรรดิจยาเหวินเอ่ยปากถามออกมาโต้งๆ เช่นนี้! เห็นได้ถึงความเชื่อใจที่มีต่อหรงซิว!
หรงซิวค่อยๆ ลืมตาขึ้น และมีความตกใจแวบผ่านไป
“เสด็จพ่อเรียกลูกมา เพื่อถามเรื่องนี้รึ?”
จักรพรรดิจยาเหวินมองเขาด้วยแววตาเศร้าโศกและไม่ได้พูดอันใด
มุมปากของหรงซิวค่อยๆ ยกขึ้น และเลิกคิ้วเหมือนคิดอันใดออก
“เสด็จพ่อสงสัยเยว่เอ๋อรึ?”
จักรพรรดิจยาเหวินถึงกับนวดหว่างคิ้วตัวเอง
“หรงซิว เจ้าฉลาดมาตลอดอยู่แล้ว”
เขาต้องยอมรับว่าคำพูดที่ผู้อาวุโสจงเยี่ยพูดนั้นทำให้เขารู้สึกเอะใจ
เมื่อคืนนี้เขาแทบไม่ได้นอนทั้งคืน เพราะเอาแต่คิดเรื่องนี้ทั้งคืน
มีคนมากมายขนาดนั้น เหตุใดต้องบอกว่าเป็นฉู่หลิวเยว่?
อีกอย่าง ดูจากการแสดงออกในช่วงนี้ที่ผ่านมาที่ทำให้ผู้คนตกใจแล้ว ก็ดูเหมือนว่านางต้องซ่อนความลับเอาไว้แน่นอน
ในเมื่อผู้อาวุโสเยี่ยรับปากแล้วว่าจะไปถามฉู่หลิวเยว่ด้วยตัวเอง แต่สุดท้ายแล้วในใจของเขาก็ยังไม่สบายใจอยู่ดี
แต่ฉู่หลิวเยว่นั้นมีสถานะตัวตนที่พิเศษ เขาไม่สามารถและไม่อยากจะยุ่งกับนางสุ่มสี่สุ่มห้า
ฉะนั้นจึงทำได้เพียงเรียกหรงซิวมา
หรงซิวครุ่นคิดสักพักก่อนจะเอ่ยปากอย่างกะทันหัน
“มีเรื่องหนึ่งที่ดูเหมือนว่าเสด็จพ่อจะยังไม่รู้”
จักรพรรดิจยาเหวินค่อยๆยืดตัวนั่งตรง
มุมปากของหรงซิวยังคงยิ้มอยู่ และมีความขี้เล่นอยู่บนหว่างคิ้วของเขาอยู่
“ซือถูซิงเฉิน…ชอบลูกมาหลายปีแล้ว”
จักรพรรดิจยาเหวินนิ่งอึ้งไปทันที
นาน เขาก็เข้าใจอันใดบางอย่างขึ้นมา
หรือว่าที่ซือถูซิงเฉินมองฉู่หลิวเยว่เป็นศัตรูก็เพราะเหตุผลนี้รึ?
จักรพรรดิจยาเหวินค่อยๆ ขมวดคิ้ว
“ต่อให้เป็นเช่นนั้น นางก็ไม่เห็นต้องตั้งใจกล่าวหาเช่นนี้…ในเมื่อก่อนหน้านี้นางได้หมั้นหมายกับหรงจิ้นแล้ว…การหาเรื่องฉู่หลิวเยว่แบบนี้ มีประโยชน์อันใดต่อนางรึ?”
รอยยิ้มที่มุมปากของหรงซิวลึกขึ้น แต่กลับมีควมเย็นชาพิ่มมาด้วย
“การอภิเษกระหว่างนางและพี่ชายเป็นอย่างใดนั้น เสด็จพ่อคงจะรู้ดีที่สุด”
จักรพรรดิจยาเหวินเข้าสู่ห้วงความคิดอีกครั้ง
“ไม่รู้ว่าเสด็จพ่อจะยังจำได้หรือไม่ว่าลูกได้ไปเข้าร่วมในคืนสุดท้ายของงานสมาคมเยาวชนด้วย”
จักรพรรดิจยาเหวินพยักหน้า
“จำได้อยู่แล้วล่ะ”
“วันนั้นเดิมทีลูกอยากไปขอความช่วยเหลือจากหลิวเยว่สักหน่อย จึงได้เจอกับซือถูซิงเฉินที่นอกสนาม และลูกก็เห็นว่าที่แขนเสื้อของนางปักลวดลายที่เหมือนกับบนเสื้อของลูกอยู่
น้ำเสียงของหรงซิวเย็นชา
ในใจของจักพรรดิจยาเหวินรู้สึกอึ้งทันที
เมื่อก่อนหรงซิวรู้สึกชอบลวดลายที่เป็นเอกลักษณ์และประหลาดเช่นนั้น บนเสื้อผ้าส่วนมากจึงตั้งใจปักลวดลายนี้เอาไว้
“…หรือว่า…อาจจะเป็นเพียงเรื่องบังเอิญเท่านั้น?”
“หลังจากกลับไปวันนั้น ลูกคิดไปคิดมาก็รู้สึกว่าไม่สบายใจ จึงสั่งให้บ่าวในตำหนักนำเสื้อผ้าที่มีลวดลายแบบนั้นไปเผาทิ้งให้หมด”
จักรพรรดิจยาเหวินเอะใจ
เขาพอจะจำเรื่องนี้ได้บ้าง แต่ตอนนั้นเขาไม่ได้สนใจ เพียงแต่คิดว่าหรงซิวคงเพราะเพิ่งหายจากการป่วยจึงอยากจะเปลี่ยนบรรยากาศและอารมณ์ จึงได้ทิ้งเสื้อผ้าเหล่านั้นไป
นึกไม่ถึงเลยว่าจะมีสาเหตุนี้อยู่ในเรื่องนั้น
“และวันนั้น ซือถูซิงเฉินก็ได้อยู่มายังนอกตำหนักองค์ชายหลีหวัน เมื่อเห็นเหตุการณ์นี้แล้ว หลังจากกลับไปแล้ว นางจึงไปอยู่ในตรอกซอยในพื้นที่ห่างไกล นางได้ฆ่านักฝึกต่อสู้หลายคนด้วยตัวเอง และได้หั่นศพเป็นชิ้นๆถึงจะยอมหยุด”
หรงซิวพูดอย่างเอื่อยเฉื่อย แต่เนื้อหาข้างในกลับทำให้คนรู้สึกตกใจจนขนลุก!
“เสด็จพ่อรู้สึกว่า นี่…ยังเป็นเรื่องบังเอิญอยู่อีกรึ?”
ในที่สุดจักรพรรดิจยาเหวินก็นั่งไม่ติดแล้ว ก่อนจะยืนขึ้นทันที
“เจ้ารู้เรื่องนี้มาจากที่ใด?”
หรงซิวยิ้มด้วยสีหน้าสงบ
“เสด็จพ่อ ลูกอยู่ในเมืองหลวง ถ้าแม้แต่เรื่องที่ใครมาที่ตำหนักหลีหวันหรือว่าใครจะมาทำอันใดกับข้าแล้วข้ายังไม่รู้เรื่องอันใด แล้วข้าจะอยู่ต่อไปได้อย่างใด?”
จักรพรรดิจยาเหวินมองเขาด้วยแววตาซับซ้อนและไม่พูดไม่จาอยู่สักพัก
“…นั่นสิ!ข้าเกือบจะลืมไปแล้ว…”
ถึงแม้ร่างกายของหรงซิวจะอ่อนแอ แต่กลับเป็นคนที่ฉลาดมาก
อยู่ในเทียนซานหมิงเยว่มานานหลายปีขนาดนี้ ถ้าไม่มีแม้แต่ความรู้พื้นฐานก็คงจะทำให้เขาผิดหวังมากจริงๆ
“ปกติแล้วคนพวกนั้นมักจะเที่ยวเตร่เร่ร่อนอยู่ในบ่อนพนัน และมักจะชอบสร้างความเกลียดชังให้กับผู้อื่น เมื่อคนเหล่านั้นตายจึงไม่มีใครสนใจ ทำให้เรื่องนี้ถูกปิดซ่อนไปแบบนั้น แต่ถ้าท่านพ่ออยากจะพิสูจน์ก็สามารถทำได้ง่ายมาก…”
“ไม่ต้องพูดแล้ว พ่อเชื่อในคำพูดของเจ้า”
จักรพรรดิจยาเหวินโบกมือด้วยความเหน็ดเหนื่อย ก่อนจะพิงไปบนเก้าอี้
หรงซิวเงียบทันที
แล้วภายในห้องก็เข้าสู่ความเงียบสงัดอีกครั้ง
จักรพรรดิจยาเหวินครุ่นคิดในใจสักพักก็เข้าใจ
เพราะไม่ว่าใครฟังแล้วก็ต้องฟังออกว่าเรื่องนี้มีความผิดปกติ
หลายปีมานี้ ซือถูซิงเฉินในแววตาของคนบนโลกนี้นั้น เป็นผู้ที่สูงส่ง อบอุ่นและสง่างามมาโดยตลอด
แต่เรื่องนี้กลับสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าที่จริงแล้วนางไม่ได้เป็นเช่นนั้น
ในความเป็นจริงนั้น หลังจากที่เขาได้คุยกับซือถูซิงเฉินมาหลายวัน ในใจของเขาก็รู้สึกแบบนั้นตั้งแต่แรกแล้ว
แต่นึกไม่ถึงว่าระดับความโหดเหี้ยมของนางจะเกิดกว่าที่ตัวเองจินตนาการเอาไว้…
เมื่อโยงเรื่องเหล่านี้เข้าด้วยกันแล้ว คำถามที่สงสัยมากมายก็ถูกคลี่คลายแล้ว
“…พูดแบบนี้ ซือถูซิงเฉินตั้งใจใส่ร้ายฉู่หลิวเยว่เพราะความเกลียดชังจากความรัก?”
ถ้าเป็นเช่นนั้น ก่อนหน้านี้ที่ซือถูซิงเฉินเข้ามาเกี่ยวข้องในเรื่องของหรงเจินและใส่ร้ายฉู่หลิวเยว่ก็มีคำอธิบายที่สมเหตุสมผลแล้ว
หรงซิวยิ้มอ่อน
“ลูกไม่ได้พูดแบบนั้น จะถูกหรือผิด ในใจของเสด็จพ่อก็มีการตัดสินอยู่แล้ว”
จักรพรรดิจยาเหวินลืมตาขึ้น ก่อนจะมองหรงซิวที่อยู่ตรงหน้าด้วยแววตาลึกซึ้ง
“นึกไม่ถึงเลยว่าน่ะเป็นครั้งแรกที่เจ้าเลือกที่จะพูดความจริงกับข้า และยังเป็นการทำเพื่อฉู่หลิวเยว่ด้วย”
หรงซิวพูดเรื่องเหล่านี้ ก็เป็นการยอมรับว่าตัวเองนั้นมีอำนาจในเมืองหลวง! และไม่ได้ไม่สนโลกเหมือนเมื่อก่อนแล้ว!
เขาคงไม่ได้ไม่รู้ว่านี่คือข้อห้ามสำคัญขององค์ชาย!
“เจ้าไม่กังวลว่าข้าจะโกรธเจ้าเลยรึ?”
จักรพรรดิจยาเหวินถามอย่างชัดถ้อยชัดคำ
แสงแดดสาดเข้ามาจากนอกหน้าต่าง ส่องไปที่เปลือกตาของหรงซิวทำให้เกิดประกายสว่างไสว
เขากล่าว
“ทั้งสองสำคัญกับลูกมากจนลูกไม่สามารถเลือกใครได้ก็เท่านั้น”
ส่วนนางก็เป็นคนที่สำคัญและเป็นตัวเลือกเดียวสำหรับเขา
…
ในขณะเดียวกัน ฉู่หลิวเยว่ก็อยู่ที่ลานบ้านของตัวเองและรอผู้อาวุโสเยี่ยที่กำลังจะมาถึง
เมื่อคืนนี้เกิดเรื่องราวต่างๆมากมาย ซือถูซิงเฉินต้องพูดถึงนางและต้องบอกเรื่องนี้กับจักรพรรดิจยา
เหวินแน่นอน
ฉะนั้นนางจึงเตรียมตัวไว้อย่างดีแล้ว
แต่นึกไม่ถึงเลยว่าคนที่มานั้นจะเป็นอาจารย์ของตัวเอง
แล้วฉู่หลิวเยว่ก็ออกไปต้อนรับด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม
“ท่านอาจารย์ ลมอันใดหอบท่านมาถึงที่นี่?”
ผู้อาวุโสเยี่ยมองนางแล้วก็เอ่ยปากถามด้วยความตะลึง
“เอ๋ เจ้าบรรลุพลังต่อสู้ระดับสามตั้งแต่เมื่อใด?!”
ถ้าจำไม่ผิด เจ้าเด็กน้อยคนนี้เพิ่งจะบรรลุระดับที่สองไปเมื่อตอนที่อยู่ในงานสมาคมเยาชนเองไม่ใช่รึ?
เหตุใดถึงเร็วเยี่ยงนั้น…
อีกอย่าง รังสีบนตัวนางก็ดูเหมือนว่าจะไม่เหมือนกับเมื่อก่อนสักเท่าใด…
ถ้าผู้อาวุโสเยี่ยตั้งใจตรวจสอบชีพจรของฉู่หลิวเยว่จริงๆ ก็จะรู้ว่าการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ นี้เกิดจากการเพิ่มระดับของชีพจรภายในร่างายของนาง
ฉู่หลิวเยว่ขมวดคิ้ว
“ข้าเพิ่งจะบรรลุเมื่อสองวันที่แล้ว ก่อนหน้านี้ข้าได้ไปที่ห้องหนังสือของสำนักไท่เหยียนและได้เรียนรู้สิ่งต่างๆ มามากมาย ช่วงนี้ข้าจึงลองบรรลุดูและข้าก็ทำสำเร็จ”
ผู้อาวุโสเยี่ยตั้งใจครุ่นคิดก็รู้สึกว่ามีเหตุผลอยู่เหมือนกัน
เขารู้ตั้งนานแล้วว่าระดับพลังในร่างกายของฉู่หลิวเยว่นั้นมีอยู่ล้นหลาม เพียงแค่รอเวลาที่จะบรรลุในไม่ช้าก็เร็วเท่านั้น
“ไม่เสียแรงที่เป็นลูกศิษย์ของข้า! ฮ่าๆ!”
เห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยความดีใจ มุมปากของฉู่หลิวเยว่ยกขึ้น ราวกับว่ากำลังแอบเตือนเขาให้เข้าประเด็นอยู่
“ท่านมาหาข้าน้อยวันนี้ มีเรื่องอันใดรึ?”
เสียงหัวเราะของผู้อาวุโสเยี่ยหยุดลงทันที