ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 448 กบฏ ตอนที่ 449 หม้อไฟสัมฤทธิ์สีชาด
ตอนที่ 448 กบฏ / ตอนที่ 449 หม้อไฟสัมฤทธิ์สีชาด [รีไรท์]
ตอนที่ 448 กบฏ
มันเกิดขึ้นเร็วกว่าที่ฉูหลิวเยว่คาดการณ์ไว้เสียอีก
และเกรงว่าอีกไม่นานหรงจิ่วจะนำกำลังพลบุกเข้าวังแน่ๆ!
ฉู่หลิวเยว่ครุ่นคิดพลันหันไปถามเจี่ยนเฟิงฉือ
“ตอนนี้คนผู้นั้นไปอยู่ที่ใดแล้ว?”
เจี่ยนเฟิงฉือชี้นิวไปยังทิศทางหนึ่ง
ทันใดนั้น ระฆังในมือของเขาก็ส่งเสียงหวีดดังลั่น!
เจี่ยนเฟิงฉือโยนระฆังทิ้งด้วยความกระสับกระส่าย!
จากนั้นมันก็ระเบิดออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยกลางอากาศ ก่อนจะร่วงลงสู่พื้นดิน!
มันระเบิดตัวเองจนแตกเป็นเสี่ยงๆ!
ปลายนิ้วของเจี่ยนเฟิงฉือสั่นระริก เขายังรู้สึกเสียววาบที่ปลายนิ้วอยู่เลย!
จิตใจของเขาในตอนนี้ว่างเปล่าราวคนสติหลุด
“เมื่อ…เมื่อครู่…”
ฉู่หลิวเยว่เหลือบมองเขาทันควัน
“นายน้อยเจี่ยน ดูๆ แล้วเครื่องติดตามของท่านจะไม่ได้ประสิทธิภาพเท่าที่ควรนะ?”
ชัดเจนแล้วว่าฝ่ายนู้นคงรู้ตัวแล้ว!
รอยยิ้มมั่นอกมั่นใจก่อนหน้านี้หายวับไปจากใบหน้าของเจี่ยนเฟิงฉือ เหลือเพียงความเย็นชาที่ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นมา
เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายตั้งใจทำลายของของเขา
ฉู่หลิวเยว่ไม่ค่อยได้เห็นสีหน้าเช่นนี้ของเจี่ยนเฟิงฉือ หากอยู่ในยามปกติ นางคงจะแอบสะใจและสนุกที่ได้เห็นสีหน้าเช่นนี้ของเขา
ทว่าในตอนนี้ นางไม่มีอารามณ์สุนทรีเช่นนั้น
ดูเผินๆ เหมือนว่าอีกฝ่ายจะพุ่งเป้าไปที่เจี่ยนเฟิงฉือ แต่นางรู้แก่ใจว่าจุดประสงค์ที่แท้จริงของบุคคลนี้ คือการนำพานางมาที่นี่!
ซึ่งการกระทำที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ทั้งหมด ล้วนแต่เป็นความตั้งใจของอีกฝ่าย!
เจี่ยนเฟิงฉือหลับตาแน่น
นี่เป็นความอัปยศอดสูสำหรับเขา!
เกิดและใช้ชีวิตมาตั้งหลายปี เขาแทบไม่เคยสูญเสียอันใดเช่นนี้เลย!
“มันจะเกินไปแล้ว! อย่าให้ข้ารู้นะว่ามันเป็นใคร ข้าไม่มีวันปล่อยมันไปง่ายๆ แน่!”
ฉู่หลิวเยว่เองก็อยากรู้เกี่ยวกับตัวตนของบุคคลผู้นั้น แต่ฝ่ายตรงข้ามเดินหมากได้เร็วกว่าพวกนางเสมอ จนตอนนี้นางไม่สามารถทำอันใดได้เลย
แต่ในเมื่ออีกฝ่ายจะพยายามชักนำนางมาที่นี่…ถ้าไม่เข้าไปดูเสียหน่อยคงน่าเสียดายมิใช่น้อยเลย!?
พอคิดได้เช่นนั้น นางก็หันหลังแล้วเดินออกไป
เจี่ยนเฟิงฉือตกใจ
“เฮ้? อันใดกัน! มาถึงขนาดนี้แล้วยังคิดจะกลับไปอีกหรือ!? ไหนเมื่อครู่เจ้าบอกว่าอยากเข้าไปอย่างใดเล่า?”
ฉู่หลิวเยว่พยักหน้า
“ข้าจะเข้าไป”
“เช่นนี้เจ้า…”
“เข้าไปตอนนี้มีแต่จะเกิดปัญหา รอโอกาสเหมาะก่อนเถิด!”
หลังจากพูดจบ ร่างของฉู่หลิวเยว่ก็หายวับไปอย่างรวดเร็วต่อหน้าต่อตาเจี่ยนเฟิงฉือ
เจี่ยนเฟิงฉือคิดว่าสิ่งที่นางพูดนั้นสมเหตุสมผล ก่อนจะมองไปยังเศษระฆังสีครามบนพื้นด้วยความทุกข์ใจ ระคนรำคาญใจ พลันหันกลับและตามฉู่หลิวเยว่ไป
…
ในเวลาเดียวกัน ประชาขนทั้งหมดในเมืองหลวงต่างก็เห็นธงของกองทัพที่ปลิวไสว พลันตระหนักได้ว่าประตูเมืองพังแล้ว!
ภายในพระราชวัง จักรพรรดิจยาเหวินและผู้อาวุโสชนชั้นสูงจากหลายตระกูล รวมถึงคนอื่นๆ ที่มีบทบาทสำคัญในราชสำนัก ล้วนมารวมตัวกันที่โถงตำหนักเฉิงเฉียน
ทุกคนกำลังคุยกันถึงวิธีรับมือการโจมตีของกองกำลังทหารหน่วยพายัพ แต่เสียงที่ดังข้างนอกทำให้เสียงอึกทึกในห้องโถงตำหนักเฉิงเฉียนเงียบลงทันตา
เหล่าคนของราชสำนักล้วนสังหรณ์ใจแปลกๆ พลันท่าทีของพวกเขาก็ฉายชัดออกมาผ่านทางสีหน้าของแต่ละคน
จากนั้นก็มีคนวิ่งเข้ามารายงานสถานการณ์
“ฝ่าบาท! ประตูเมืองพังแล้วพะย่ะค่ะ! องค์ชายสามทรงนำทัพทหารกบฏหลายพันนายเข้ามาในเมืองหลวง!”
ด้านหลังของเมืองหลวงถูกล้อมไปด้วยภูเขา ซึ่งทำให้ง่ายต่อการป้องกัน และยากสำหรับผู้ที่ต้องการจะบุกเข้ามาโจมตี หากต้องการบุกเข้ามา ก็จำต้องพังประตูเมืองเข้ามาเท่านั้น
ทว่าตอนนี้หรงจิ่วกลับเป็นฝ่ายพาคนเข้ามาสังหารเขาถึงในบ้านตัวเอง!
อย่างแรกคือ เขาทำลายประตูเมือง และในไม่ช้ามันจะกลายเป็นประตูวังที่จักต้องพังทลาย!
ทุกคนในห้องโถงมองไปทางจักรพรรดิจยาเหวิน พลันบริเวณโดยรอบก็เงียบลง
จักรพรรดิจยาเหวินโกรธมาก
“ไร้ประโยชน์สิ้นดี! องครักษ์มีจำนวนมากกว่าพวกกบฏถึงสองเท่า! แล้วเหตุใดจึงเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ได้!?”
คนที่มารายงานพูดด้วยเสียงสั่นเครือ
“ฝ่าบาท ดูเหมือนพวกเขาจะคุ้นเคยกับรูปแบบการทหารของเมืองหลวงมาก นั่นจึงเป็นสาเหตุที่พวกของจ้าวหมิงและคนอื่นๆ ล้มเหลวในการ…”
ทุกคนต่างหันมองหน้ากัน
การวางกำลังทหารของเมืองหลวงนั้นเป็นความลับระดับสูง และน้อยคนนักที่จะรู้เรื่องนี้
แล้วหรงจิ่ว…ไปเอาข้อมูลเหล่านี้มาได้อย่างใด!?
ตอนที่ 449 หม้อไฟสัมฤทธิ์สีชาด
“และ…และก็…เหมือนว่าพวกขุนนางจากตระกูลในเมืองหลวง…จะยอมสิโรราบต่อองค์ชายสามเลยพะย่ะค่ะ…ฝ่าบาท”
ชายคนนั้นยังคงพูดตะกุกตะกักต่อไป
จักรพรรดิจยาเหวินพลันตัวแข็งทื่อราวกับถูกฟ้าผ่า
“ที่ว่ามานั่น หมายความว่าอย่างใด!”
ชายคนนั้นรวบรวมความกล้าพลันเงยหน้าขึ้นและเหลือบมองไปรอบๆ ก่อนจะหลับตาลงอย่างรวดเร็ว
“คือ…เหมือนว่า…ก่อนหน้านี้ขุนนางจากตระกูลใหญ่…ทั้งหมด…ได้มีการเจรจาหารือกับองค์ชายสามไว้แล้ว หลังจากที่พวกกบฏเข้าไปในเมืองหลวงได้ ทุกอย่างก็จะราบรื่นเป็นไปตามแผนขององค์ชายสามพะย่ะค่ะ!”
ความจริงแล้ว เขาเข้าใจความหมายของมัน ตั้งแต่ที่ชายคนนี้รายงายครั้งแรกแล้ว
แต่เขาคิดว่ามันไร้สาระเกินไป! มากเสียจนเขาปักใจเชื่อไม่ลง
เกิดความเงียบสงัดขึ้นในห้องโถง
พร้อมดวงตาของจักรพรรดิจยาเหวินที่มืดหม่นชั่วขณะหนึ่ง
“เป็นไปได้อย่างใด!? ตระกูลขุนนางเหล่านี้ล้วนได้รับการสนับสนุนจากข้า! ไม่น่าจะ…”
ทว่าพูดไม่ทันจบ เขาก็นึกถึงบางสิ่งขึ้นมาได้ พลันหันขวับไปมองกลุ่มคนที่ยืนอยู่ในห้องโถง!
“พวกเจ้า! พวกเจ้าบางคนตั้งตนทรยศข้ามาตั้งนานแล้วใช่หรือไม่!?”
ในตอนนี้ ผู้อาวุโสส่วนใหญ่ของตระกูลผู้สูงศักดิ์ในเมืองหลวงกำลังยืนอยู่ที่นี่!
หากหรงจิ่วนำกองทหารเข้ามาได้โดยไร้ผู้ขัดขวาง…แสดงว่าก่อนหน้านี้มีคนสั่งเปิดทางให้เขา!
แต่คำตอบที่ได้นั้นกลับเป็นความเงียบที่น่ากลัวยิ่งกว่า
“เจ้าสินะ? หรือเจ้า?! หรือจะเป็นพวกเจ้าทั้งหมด!?”
จักรพรรดิจยาเหวินไม่เคยคิดมาก่อนว่าสิ่งต่างๆ จะพลิกผันถึงเพียงนี้!
ไม่แปลกเลยที่หรงจิ่วจะอวดดีเช่นนี้ นั่นเพราะว่าเขาเตรียมการณ์ไว้อย่างดีแล้ว!
มีคนคิดทรยศอย่างลับๆ ซ่อนอยู่มากมาย แต่เขากลับไม่รู้ตัวเลย!
“มันคือผู้ใดกัน!?”
จักรพรรดิจยาเหวินรู้สึกเย็นวาบไปทั่วร่างกายของเขา
“ฝ่าบาท ทรงใจเย็นก่อนพะย่ะค่ะ! กระหม่อมขอเอาชีวิตเป็นเดิมพัน ตระกูลซือไม่มีวันทรยศท่านแน่นอน พะย่ะค่ะ!”
ซือเย่จือก้าวไปข้างหน้าและพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น
ก่อนที่หรงจิ่วจะหนีออกจากสนามรบ เขาค้นหาอยู่นานแต่ไม่พบ และต่อมา เมื่อเขาได้ยินว่าหรงจิ่วเคลื่อนทัพมาถึงหน้าประตูเมืองได้สำเร็จ เขาก็รีบกลับวังเพื่อสารภาพผิดทันที
เขาคิดไม่ถึงว่าเพียงช่วงเวลาสั้นๆ สถานการณ์จะกลับตาลปัตรขนาดนี้!
“ฝ่าบาท ตระกูลฉู่เองก็เช่นกัน พะย่ะค่ะ!”
ฉู่เซียวรีบโพล่งออกไปอย่างรวดเร็ว เพื่อแสดงความจงรักภักดีของตน
ตั้งแต่ครั้งสุดท้ายที่เขาถูกตำหนิอย่างรุนแรงในห้องทรงงานของจักรพรรดิ ฉู่เซียวก็ไม่เคยมาเหยียบที่นี่อีกเลย
ทว่าในที่สุดวันนี้เขาก็ได้รับโอกาสแสดงจุดยืนของตน ดังนั้นเขาจึงต้องรีบประจบประแจงเป็นธรรมดา
หลังจากนั้น ขุนนางแต่ละคนก็เริ่มทยอยเอ่ยปากออกมา
อย่างใดก็ตาม ขุนนางจากหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ อย่างตระกูลกู่และตระกูลลู่ กลับมิได้เอื้อนเอ่ยคำได้อยู่นาน
จักรพรรดิจยาเหวินตัวสั่นด้วยความโกรธ
“แล้วพวกที่เหลือ…ที่ไม่พูดเล่า…พวกเจ้ายอมสิโรราบแก่สิ่งชั่วร้ายนั่นแล้ว อย่างนั้นหรือ!?”
แต่ทันใดนั้น ก็มีเสียงที่คุ้นเคยดังมาจากนอกห้องโถง
“ท่านพ่อ ท่านเองก็รู้ดีแก่ใจมิใช่หรือว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น? เช่นนั้นแล้วยังจะหาแพะรับบาปไปเพื่ออันใดอีก? ยิ่งทำเช่นนั้น ท่านก็มีแต่จะยิ่งเสียหน้ามากกว่าเดิม”
จักรพรรดิจยาเหวินก็เงยหน้าขึ้นมองทันที ก่อนจะเห็นทหารเลวกลุ่มหนึ่งสาวเท้าเข้ามาใกล้ห้องโถงอย่างรวดเร็ว! พลันกระจายตัวออกเป็นสองกลุ่มไปยืนอยู่ด้านข้าง!
พลันร่างเงาที่เต็มด้วยจิตสังสารก็โผล่ออกมาจากตรงกลาง!
เขาคือหรงจิ่ว!
ไม่นานก่อนหน้านี้เขายังสวมชุดนักโทษและมีสภาพที่น่าเวทนา ขณะรอให้มีดกิโยตินหล่นลงปริดชีวิตอยู่เลย
ทว่ายามนี้ เขากลับสวมชุดเกราะ และนำทัพทหารเลวเข้ามาบุกวังหลวงอย่างอุกอาจ!
และสุดท้ายเขาก็มายืนอยู่นอกห้องโถงใหญ่! พร้อมมองดูจักรพรรดิจยาเหวินด้วยสายตาแน่นอน!
“ไม่เจอกันนาน สบายดีหรือไม่ ท่านพ่อ?”
ในที่สุดร่องรอยของความหวาดกลัวก็ค่อยๆ ปรากฏขึ้นในใจของจักรพรรดิจยาเหวิน
“พวกเจ้า! คุ้มกันข้า!”
ฉู่เซียวรีบวิ่งไปข้างหน้าพร้อมกับคนอื่นๆ อีกหลายคน
แต่ทว่ายังไม่ทันจะได้ยืนตั้งท่าพร้อมรบ เขากลับได้ยินหรงจิ่วพูดแทรกเสียก่อน
“ข้าไม่ต้องการทำร้ายผู้ไม่เกี่ยวข้อง ขอเพียงคนในห้องโถงนี้จำนนต่อข้า ข้าสัญญาว่าจะไม่แตะต้องตระกูลของพวกเจ้า”
ฉู่เซียวตะโกนเสียงดังทันที
“ประเดี๋ยวก่อน! เจ้ากำลังก่อกบฏครั้งใหญ่! ตำแหน่งจักรพรรดิมีเพียงผู้เดียวเท่านั้น! หรงจิ่ว การที่เจ้าทำเช่นนี้สุดท้ายเจ้าก็ต้องโดนบั่นคอ!”
“หือ? เช่นนั้นหรือ?”
หรงจิ่วยกมีดเล่มยาวในมือของเขาและค่อยๆ เช็ดคราบเลือดที่เกาะอยู่ออก
“ผู้อาวุโสใหญ่ฉู่ พวกเจ้าคงไม่รู้ว่าตอนนี้เมืองหลวงตกอยู่ภายใต้การควบคุมของข้าแล้วสินะ?”
หัวใจของฉู่เซียวเต้นผิดจังหวะ ขณะมองไปที่รูปลักษณ์ของหรงจิ่วด้วยความไม่สบายใจ
หรือว่า…หรือว่าครั้งนี้หรงจิ่วจะชนะจริงๆ!?
พลันซือเย่จือที่อยู่อีกด้านก็กล่าวอย่างเย็นชาว่า
“หรงจิ่ว! เจ้าปลงพระชนม์จักรพรรดินี และตอนนี้เจ้าก็ก่อกบฏ เจ้าจักต้องถูกประหารชีวิต!”
หรงจิ่วแสยะยิ้ม
“ข้าเกลียดจักรพรรดินี ทว่าคนที่ฆ่านางนั้น ไม่ใช่ข้า”
ซือเย่จือชะงัก
“เจ้าโกหก!”
จักรพรรดิทรงตรัสเรื่องนี้เอง และต่อมาเขาก็เข้าไปตรวจสอบเป็นการส่วนตัว ซึ่งจากคำให้การของบรรดาผู้รับใช้ ทั้งภายและภายนอกตำหนักจักรพรรดินีในวันนั้น ล้วนชี้ไปที่หรงจิ่วว่าเป็นผู้สังหารจักรพรรดินี!
เช่นนี้แล้วจะเป็นฝีมือผู้อื่นไปได้อย่างใด?!
“ข้าลงทุนยกทัพมาถึงเพียงนี้ แล้วข้าจะโกหกเจ้าไปเพื่ออันใดอีก?” หรงจิ่วเหลือบมองจักรพรรดิจยา
เหวินอย่างประชดประชัน “ความจริงเป็นเยี่ยงไร เจ้าควรถามท่านพ่อเอาเอง!”
ซือเย่จือตกตะลึงครู่หนึ่ง
สิ่งที่หรงจิ่วพูดนั้นสมเหตุสมผลจริง ขนาดก่อกบฏเขายังกล้ายืดอกยอมรับ เช่นนั้นแล้วหากเขาฆ่าจักรพรรดินีจริง มีหรือเขาจะไม่กล้ายอมรับ?
นอกเสียจากว่า…ความจริงแล้วเขาไม่ใช่คนสังหาร!
ลำคอของซือเย่จือแข็งชะงัก ก่อนจะค่อยๆ หันไปมองจักรพรรดิจยาเหวิน
ทว่าจักรพรรดิจยาเหวินกลับเอ่ยอย่างอุกอาจ
“เยี่ยเหล่า! เยี่ยเหล่าอยู่ที่ใด!?”
เกิดเรื่องใหญ่โตเช่นนี้ขึ้นในวัง แต่จนถึงบัดนี้เยี่ยเหล่ากลับยังไม่ปรากฏตัว!
แต่จักรพรรดิจยาเหวินหารู้ไม่ว่า ยามนี้ผู้ที่ดูแลผู้อาวุโสจงเยี่ยอย่างเยี่ยเหล่าเอง ก็ประสบปัญหาบางอยู่เช่นกัน
เมื่อเห็นว่าตนไม่สามารถขอความช่วยเหลือจากเยี่ยเหล่าได้ จักรพรรดิจยาเหวินก็นึกถึงอันใดบางอย่าง
“ค่ายกลซวนหมิงเล่า!?”
ค่ายกลซวนหมิงเป็นรูปแบบค่ายกลสำหรับการป้องกันวังของแคว้นเย่าเฉิน แต่ตอนนี้เขาจำได้ว่าเมื่อหรงจิ่วและคนอื่นๆ บุกเข้ามา ค่ายกลซวนหมิงยังไม่ได้ถูกเปิดใช้งานเลย!
หรงจิ่วตอบกลับ
“โอ้ ใช่แล้ว ท่านพ่อ ลืมบอกท่านไปเลยว่า ตอนนี้ค่ายกลซวนหมิงตกอยู่ภายใต้การควบคุมของข้าแล้ว หากท่านอยากเห็น เช่นนั้นก็ให้ลูกพาท่านไปดูดีหรือไม่?”
จักรพรรดิจยาเหวินตัวเย็นเฉียบเหมือนตกถ้ำน้ำแข็ง! ทว่าทันใดนั้นเขาก็กระอักเลือดออกมาเต็มปาก!
ฉู่เซียวที่ยืนอยู่ข้างเขาโดนเลือดกระเด็นใส่เล็กน้อย และอยากจะเอื้อมมือออกไปช่วยเขา แต่เมื่อคิดถึงสิ่งที่หรงจิ่วพูดในตอนนี้ เขากลับขลาดอายจนเผลอก้าวถอยหลัง
ส่วนคนอื่นๆ เองก็คิดเช่นกัน พูดมาขนาดนี้ยังจะมีเรื่องที่พวกเขาไม่เข้าใจอีกหรือ? แน่นอนว่าพวกเขาเองก็ต้องเผ่นออกมาเช่นกัน!
จักรพรรดิจยาเหวินกำหมัดแน่นพลันชี้หน้าหรงจิ่ว
“นี่เจ้า เจ้า…”
หรงจิ่วเชิดคางขึ้นพร้อมสีหน้าเย็นชา
“ดูเหมือนท่านพ่อสุขภาพไม่ค่อยดี ท่านควรนอนพักผ่อนได้แล้ว”
เขาพูดพลางยกมือขึ้น
“ทหาร พาท่านพอกลับไปพักผ่อนที่ตำหนักชิงเหอ”
ได้ยินเช่นนั้น จักรพรรดิจยาเหวินก็ตะโกนลั่น
“บังอาจนัก!”
เห็นได้ชัดว่าหรงจิ่วตั้งใจกักขังเขา!
เขากัดฟันกรอด
“หรงจิ่ว อย่าคิดว่าข้าไม่กล้าทำอันใดเจ้านะ! ข้าจะ…”
แต่ก่อนจะได้พูดจบ จู่ๆ ก็มีคลื่นความผันผวนขนาดใหญ่เกิดขึ้นข้างนอก!
พลันรัศมีที่เย็นชาและมืดมนก็แพร่กระจายอย่างรวดเร็ว!
จักรพรรดิจยาเหวินเงยหน้าขึ้นทันที!
ทิศทางนั้น…
เป็นตำแหน่งที่…ซือถูซิงเฉินถูกกุมขังอยู่!
และที่สำคัญ พลังลมปราณนี้…
มีคนทำอันใดบางอย่างกับหม้อไฟสีชาดนั่นแน่ๆ!
จากนั้นเขารุดหน้าออกไปอย่างเร็วโดยไม่ต้องคิดไตร่ตรองให้เสียเวลา!
ทว่าเพียงก้าวเท้าได้ไม่กี่ก้าว กลับถูกสกัดกั้นไว้ก่อน
จักรพรรดิจยาเหวินหน้าแดงเถือกด้วยความโมโห
“ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้! หรงจิ่ว! เจ้ารู้หรือไม่ว่านั่นคืออันใด!? ฉะนั้นปล่อยข้าไปเสีย! มิเช่นนั้นเจ้าจักต้องเสียใจ!”
เมื่อสิ้นเสียงโวยวาย
วาบ!
พลันลำแสงสีน้ำเงินและสีแดง ก็พุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า!