ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 453 สารเรียก
ตอนที่ 453 สารเรียก [รีไรท์]
ผู้อาวุโสจงเยี่ยไม่ค่อยมีสมาธิ
เขาคือนักรบระดับหก โดยปกติจะรู้สึกถึงลมปราณของลำแสงนั้น แต่ดูเหมือนว่าวันนี้มันจะมิเป็นที่น่าพอใจเสียเท่าไร
และยิ่งเห็นเยี่ยเหล่าพูดในลักษณะนี้ ก็ยิ่งทำให้เกิดความกังวลเพิ่มขึ้น
แต่ในเมื่อก่อนหน้านี้เขาพูดไปอย่างนั้นแล้ว มันคงมิดีหากมากลับคำพูดในภายหลัง
เมื่อคิดถึงซือถูซิงเฉินที่เมื่อทำสิ่งใดจะรู้จักบันยะบันยัง จิตใจของเขาก็สงบลงเล็กน้อย พลันชี้แจงออกไปอย่างไม่หนักแน่น
“เรื่องระดับนี้ มิต้องให้คนนอกอย่างพวกเจ้ามาพะวักพะวงหรอก!”
กล่าวเสร็จ ก็มองไปยังลำแสงนั่น
ในเวลานี้ ลมปราณบนเรือนร่างของซือถูซิงเฉิน บุกทะลวงผ่านนักรบระดับสี่แล้ว! ทั้งยังมิหยุดที่จะเสริมความแข็งแกร่งให้เพิ่มขึ้น
ส่วนลึกในจิตใจของผู้อาวุโสจงเยี่ย ครึ่งหนึ่งรู้สึกฮึกเหิม อีกครึ่งหนึ่งรู้สึกกังวล
ทว่าเขากลับมองไม่เห็นท่าทีของเยี่ยเหล่าที่อยู่ข้างกาย แต่หลังจากเห็นอักขระบนลำแสงนั้นถูกแบ่งแยกออกจนเป็นร่อง เขาก็ตื่นตระหนกขึ้นมา
อัตราความเร็วในการฝ่าทะลวงของซือถูซิงเฉิน เร็วกว่าที่เขาคาดการณ์ไว้เสียอีก!
พละกำลังในหม้อไฟสัมฤทธิ์นั้นยังหลั่งทะลักออกมาไม่หยุด!
หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าจะกลายเป็นเรื่องที่ไม่สามารถหาทางแก้ไขได้อีก
ใช่สิ!
ยังมีจักรพรรดิจยาเหวินอยู่!
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เยี่ยเหล่าก็หันหลัง และกำลังจะเดินไป
ทว่าผู้อาวุโสจงเยี่ยที่มือไวตีนไว กลับขัดขวางเขาตรงหน้าอีกครั้ง และถามด้วยความระแวดระวังเป็นอย่างยิ่ง
“เจ้าจะไปที่ใด!?”
แววตาของเยี่ยเหล่าดูหนักอึ้ง
“จงเยี่ย ข้าพูดไปแล้ว อย่าไปขัดขวางซือถูซิงเฉินอีก แต่ทางที่ดีที่สุดคือหลีกเลี่ยงไปเสียดีกว่า!”
ผู้อาวุโสจงเยี่ยไม่เชื่อคำพูดของเขามาตั้งแต่ไหนแต่ไร
ใครจะรู้ว่าเยี่ยจือถิงคนนี้จะคิดกลอุบายอันใดออกมาเพื่อรับมือกับเขาและซิงเฉิน!
“อย่างใดก็ตาม เจ้าต้องรออยู่ตรงนี้ ก่อนที่มันจะสิ้นสุดลง เจ้าห้ามไปแห่งหนใดทั้งนั้น!”
ผู้อาวุโสจงเยี่ยยิ้มหยัน
“เราทั้งสองคนมีฝีมือพอกัน แม้ว่าข้าจะไม่สามารถปราบเจ้าได้ แต่ถ้าเจ้าคิดอยากจะไป ก็มิได้ง่ายถึงเพียงนั้น!”
เยี่ยเหล่าโมโหจนเกือบพลั้งพูดคำที่รุนแรงออกไป เขาอยากจะนำหัวสมองของจงเยี่ยไปทุบให้แหลกเสียใจจะขาด ข้างในนั้นมันมีเพียงน้ำหรืออย่างใดกัน!
“จงเยี่ย! เจ้าอย่าคิดได้คืบจะเอาศอก!”
ผู้อาวุโสจงเยี่ยยักไหล่ แสดงออกให้เห็นว่าอยากเป็นปฏิปักษ์ต่อเขาเสียเต็มที
…
ต่างกันกับภาวะบ้านแตกสาแหรกขาดในพระราชวัง ณ บริเวณพื้นที่ห่างไกลจากเขตวังในขณะนี้ กลับมีเพียงความเงียบสงบ
หรงซิวหยุดนิ่งอยู่ที่ลานตำหนัก มือสองข้างประสานไขว้หลัง พลางมองไปยังพระราชวังที่อยู่ไกลลิบ
ทว่าเมื่อเห็นอักขระที่ลอยอยู่ข้างบนนั้นเริ่มแยกปริ ปลายคิ้วของเขาเลิกขึ้นเล็กน้อย
อวี๋มั่วที่ยืนนิ่งอยู่ข้างหลังเขา อดมิได้ที่จะถามออกมา
“องค์ชาย ดูแล้วความทะเยอทะยานของซือถูซิงเฉินจะแข็งแกร่งกว่าที่คาดการณ์เอาไว้นะขอรับ ใช้เวลาเพียงนิดเดียว นางก็ไต่เต้าได้ถึงระดับนี้…”
“มือเท้าถูกทำให้พิการ พละกำลังถูกปิดกั้น ประกอบกับความอัปยศอดสูทุกด้านในช่วงสองสามวันนี้…หากเป็นผู้อื่น ก็คงทำเช่นนี้…ไม่ใช่หรือ?”
หรงซิวยิ้มบาง
อวี๋มั่วเองก็พอจะเข้าใจเช่นกัน
ซือถูซิงเฉินผู้นี้มิได้มีจิตใจที่งดงามอันใดถึงเพียงนั้น ดูจากเรื่องที่เกิดขึ้นในช่วงนี้แล้ว สตรีผู้นี้เด่นชัดในเรื่องการยอมทำทุกวิถีทาง เพื่อให้ตนก้าวไปสู่จุดหมายได้สำเร็จ โดยไม่คิดถึงสิ่งรอบตัว
อย่าบอกว่านางไม่รู้ว่าในโอ่งทองสัมฤทธิ์นั้นมีความลับอีกอย่างซ่อนอยู่ และแม้จะนางรู้ นางก็ยังจะโอบอุ้มความโชคดีที่มีนั้นไปลองเสี่ยงดูสักครา
“พี่สามวางแผนไว้ว่าอย่างใดบ้าง?” หรงซิวเอ่ยถาม
อวี๋มั่วตอบทันที “องค์ชายสามวางแผนจะเปิดค่ายกลซวนหมิง ทว่า…ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ตอนนี้จึงยังไม่มีการเคลื่อนไหว”
“องค์ชายสามใช้ชีวิตอยู่ในสนามรบมาตลอด ย่อมให้ความสำคัญกับเรื่องรู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้งมาตั้งแต่ไหนแต่ไร แต่ตอนนี้เขายังไม่รู้ว่าซือถูซิงเฉินกำลังจะทำสิ่งใด เขาจึงวางแผนเฝ้ามองสถานการณ์เพื่อเตรียมรับมือ แน่นอนว่าไม่สามารถบุ่มบ่ามอันใดออกไปได้”
ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้เขาเพิ่งจัดการจักรพรรดิผู้ครองเมืองไป และราชบัลลังก์ก็อยู่เพียงแค่เอื้อม
แน่นอนว่าเขาต้องระมัดระวังและรอบคอบ
ปลายร่องหนังตาของหรงซิวถูกกรีดเป็นแนวโค้งในขณะที่เขายิ้ม
แท้จริงแล้ว เมื่อมองจากทุกด้าน หรงจิ่วโดดเด่นมากเสียทีเดียว
ซึ่งในความคิดนี้ ก็มิได้มีปัญหาใดในตัวมันเอง
แต่…สิ่งที่เขาไม่รู้ก็คือ เมื่อมีโอกาสในบางครั้งก็ไม่ควรรอใคร
เพราะบางครั้งการรอให้มีการเตรียมพร้อมอย่างครบถ้วนก่อน ค่อยแสดงฝีมืออกมานั้น มันอาจจะสายไปตั้งแต่แรกแล้ว
“องค์ชาย ท่าน…ไม่คิดจะเข้าร่วมหรือ?” อวี๋มั่วถามอย่างใคร่รู้
หรงซิวหรี่ตาลง
“ใยจึงต้องทำในสิ่งที่เกินความจำเป็น”
เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็จะลดความยุ่งยากให้กับเขาลงมาได้เยอะ
ทว่าท่ามกลางความอ้างว้างนั้น จู่ๆ ก็มีความผันผวนที่กำลังสั่นไหวปรากฏขึ้น
อวี๋มั่วหันไปมอง ก่อนจะเห็นเยี่ยนชิงที่ไม่ได้พบเจอมานาน เดินออกมาจากศูนย์กลางตรงนั้น
คล้ายกับว่าเขารีบรุดกลับมา ทั้งยังดูเหนื่อยจากการเดินทางตะลอน
“กราบทูลองค์ชาย!”
เยี่ยนชิงคุกเข่าลงแนบพื้น พร้อมยื่นมือสองข้างถวายจดหมายหนึ่งฉบับ
หรงซิวเหลือบมองจดหมายฉบับนั้นอย่างแน่นิ่ง
“องค์ชาย ทางนั้นประคับประคองไม่ไหวมานานมากแล้ว ผู้อาวุโสหมิงที่สามสิบหกเขียนจดหมายขึ้นมาเอง และขอความกรุณาให้ท่านรีบกลับไป”
เมื่อได้ยินว่าเป็นสารจากผู้อาวุโสหมิงที่สามสิบหก
ปลายร่องหนังตาของอวี๋มั่วก็กระตุกขึ้นมา
คาดไม่ถึงว่าท่านผู้นั้นจะลงมือเขียนเอง
เห็นได้ชัดว่าสถานการณ์ที่นั่น แท้จริงแล้วมิได้ดีเท่าไรนัก
เมื่อลองได้คิดอย่างรอบคอบแล้ว องค์ชายก็ไม่ได้กลับไปที่นั่นมานานมากแล้ว
หรงซิวหยิบจดหมายฉบับนั้นขึ้นมา
ขณะที่ปลายนิ้วของเขากำลังเอื้อมไปสัมผัส จดหมายฉบับนั้นเปลี่ยนเป็นแสงสว่างที่วูบวาบอย่างมหัศจรรย์ โผบินไปอยู่ตรงหน้าของหรงซิว!
หลังจากนั้น แสงสว่างที่วูบวาบเปลี่ยนเป็นม่านแสงทรงกลม
เงาหนึ่งที่เลือนราง ปรากฏขึ้นอยู่ด้านบน!
“เรื่องที่ว่าองค์ชายไม่มีแผนที่จะกลับมานั้นเป็นความจริงหรือ?”
น้ำเสียงทุ้มต่ำที่อ่อนโยนถ่ายทอดออกมา ราวกับลมเฉื่อยที่ทำให้สายดนตรีเคลื่อนไหว ทำให้ผู้คนรู้สึกเหมือนดั่งอาบลมในฤดูใบไม้ผลิ
อวี๋มั่วสั่นเทาอย่างฉับพลัน จ้องมองกับเยี่ยนชิงอยู่ครู่หนึ่ง พลันเห็นสีหน้าและแววตาที่ตื่นตระหนกของฝ่ายตรงข้าม
ไม่นึกเลยว่าท่านผู้นี้จะใช้น้ำเสียงแบบนี้ในการพูด!
จบเห่แล้ว!
ดวงตาของหรงซิวจ้องเขม็ง มุมปากยังคงมีรอยยิ้มเหมือนอมกลุ่มเมฆและสายลมที่เบาหวิวเอาไว้
“ผู้อาวุโสที่เคารพเข้าใจผิดแล้ว อีกไม่กี่วัน ข้าก็จะกลับแล้ว”
“เป็นเช่นนั้นได้ก็ดี”
น้ำเสียงนั้นยังคงอ่อนโยนเช่นเดิม กระทั่งมีเสียงหัวเราะร่วมเข้ามา
“เป็นเช่นนั้นก็ดี…องค์ชายได้กลับมานาน ทุกคนล้วนเข้าใจผิดว่าท่านสิ้นชีพจากโลกภายนอกไปแล้ว”
หนังตาของหรงซิวกระตุกขึ้นอย่างรุนแรง