ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 463 ข้าคือคู่หมั้นของนาง
ตอนที่ 463 ข้าคือคู่หมั้นของนาง [รีไรท์]
ตู้ม!
กลุ่มแสงสีแดงนั่นพุ่งขึ้นไปในอากาศ แล้วฉีกทะลวงค่ายกลซวนหมิงจนเป็นรูกลวง!
มังกรเพลิงโลกันต์คำรามขู่! แต่กลับถูกมวลแสงสีแดงเข้มพุ่งทะลุผ่านหางของมันออกไป!
ครืน!
ค่ายกลซวนหมิงขนาดใหญ่ถูกทำลายอย่างสมบูรณ์! ผลึกนับไม่ถ้วนแตกหักกระจัดกระจายไปคนละทิศคนละทาง!
ทุกสายตาล้วนจ้องมองเจ้าสิ่งนั้นที่กำลังจะหลบหนี!
ฉู่หลิวเยว่ใจเต้นระรัว!
ทว่าในขณะที่นางกำลังจะตามไปไล่ล่ามัน จู่ๆ ก็มีกระบี่สีเงินเล่มยาวพุ่งออกมาจากท้องฟ้า!
เสียงแผดร้องของกระบี่นั้นดังสนั่นราวกับสันนิบาตที่กำลังโกรธเกรี้ยว และดังทะลุเสียดแก้วหู ตรงไปยังก้นบึ้งของหัวใจของนาง!
และดูเหมือนฉู่หลิวเยว่จะสัมผัสได้ถึงบางอย่าง พลันเงยหน้าขึ้นมอง!
ก่อนจะเห็นกระบี่เล่มยาวเป็นประกายระยิบระยับพุ่งตัดกลางอากาศ แล้วแทงไปทางกลุ่มแสงสีแดงเข้มนั้นอย่างรวดเร็ว!
เปรี้ยง!
คมกระบี่แทงทะลุพื้นและตอกตรึงสิ่งนั้นกับพื้นหินอ่อนจนหนีไม่ได้!
ดวงตาของฉู่หลิวเยว่ทอประกายวาววับ
เป็นไปไม่ได้ที่กระบี่ยาวธรรมดาจะตรึงร่างวิญญาณได้ โดยเฉพาะวิญญาณที่ค่อนข้างทรงพลังเช่นนี้
เห็นได้ชัดว่าพลังปราณที่บีบเค้นที่พันรอบกระบี่เล่มยาวนั้น คือสิ่งที่กดทับมันจนเจียนตาย!
และนางคุ้นเคยกับลมปราณของมันมาก
นางเหลือบมองไปยังทิศที่กระบี่เล่มนั้นพุ่งออกมา พลันสบเข้ากับดวงตาเรียวหยั่งลึกของใครบางคน
หัวใจดวงน้อยของนางอ่อนยวบยาบทันที
เป็นเขาจริงๆ ด้วย!
แต่ความรู้สึกนี้กลับคงอยู่ได้ไม่นาน เพราะหลังจากนั้น นางก็ค้นพบว่าคนที่อยู่ด้านหลังหรงซิว…คือชีหาน!
สองคนนี้มาอยู่ด้วยกันได้อย่างใด?!
หัวใจของฉู่หลิวเยว่เต้นระรัวราวโขลกกระเทียม
หรงซิว…ชีหาน…
นี่พวกเขาคุยเรื่องอันใดกันอยู่!? แล้วทั้งสองรู้จักตัวตนของกันและกันหรือไม่?
สำหรับนางหรงซิวยังพอเดาได้ แต่ชีหานนี่สิ!?
หรงซิวเป็นคนที่ฉลาดหลักแหลมขนาดไหน ถ้าเขาต้องการหลอกถามอีกฝ่ายล่ะก็…
ฉู่หลิวเยว่เต็มไปด้วยความสงสัย และบรรยากาศระหว่างหรงซิวและชีหานก็ตึงเครียดขึ้นมาอีกครั้ง!
“เหตุใดเจ้าจึงขว้างกระบี่ออกไปเช่นนั้น!?”
ชีหานหันกลับมาถามเสียงเข้ม!
ทั้งๆ ที่เมื่อครู่หรงซิวบอกกับเขาเองแท้ๆ ว่าองค์หญิงสามารถจัดการทุกอย่างได้ด้วยตัวเอง ดังนั้นเขาจึงระงับความกังวลไว้ และไม่ได้เร่งเข้าไปช่วยนาง
ทว่าไม่กี่นาทีต่อมา หรงซิวกลับเป็นฝ่ายลงมือเสียเอง!
หรงซิวปรายตามองชีหานเล็กน้อย พลันยิ้มบาง
“เพราะว่าข้า…คือคู่หมั้นของนางอย่างใดล่ะ”
ช่างมั่นหน้ามั่นโหนก!
มั่นอกมั่นใจเสียเหลือเกิน!
ชีหานหรี่ตาลงอย่างไม่สบอารมณ์ และทันใดนั้นก็นึกอันใดบางอย่างขึ้นได้
“เจ้าจงใจทำเช่นนั้นหรือ!?”
ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง หรงซิวก็จะกลายเป็นคนแรกที่ช่วยเหลือองค์หญิง!
หรงซิวเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
“ข้าแค่ทำเพื่อผลประโยชน์ของเยว่เอ๋อ”
น้ำเสียงของเขาเบาหวิว ราวกับไม่ได้คิดมากแต่อย่างใด
ชีหานถึงกับพูดไม่ออกไปชั่วขณะ
ช่างเป็นคำพูดที่ไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย
ตอนนี้องค์หญิงยังหวนคืนสู่ราชวงศ์เทียนหลิ่งไม่ได้ ซึ่งหากแผนของฝ่าบาทล้มเหลวเพราะเขา เขาคงต้องปลิดชีพเพื่อถวายแทนคำขอโทษ
แต่ทว่า…
หรงซิวผู้นี้กลับเห็นแก่ตัว กระทำการอุกอาจโดยไม่สนใจเขาเลยสักนิด!
“จะไม่มีครั้งหน้าเด็ดขาด!”
ชีหานเอ่ยเสียงเย็นยะเยือก
หรงซิวขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางยกยิ้มมุมปาก
“เยว่เอ๋อคือคู่หมั้นของข้า และนี่คือสิ่งที่ข้าควรทำ”
ชีหานกำหมัดแน่น
ถ้าไม่ใช่เพราะรู้ว่าองค์หญิงชอบพอในตัวองค์ชายหลีหวัน เขาคงเชือดคนผู้นี้ทิ้งไปนานแล้ว!
ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าองค์หญิงชอบคนคนนี้ไปได้อย่างใด?!
…
เมื่อเห็นว่าชีหานและหรงซิวเหมือนกำลังถกเถียงเรื่องอันใดบางอย่าง ฉู่หลิวเยว่ก็ยิ่งอยากรู้อยากเห็นมากขึ้น
ทว่านางยืนอยู่ห่างจากสองคนนั้น จึงไม่ได้ยินบทสนทนาของพวกเขา
นางรีบตัดสินใจจัดการความวุ่นวายบริเวณนี้ให้เร็วที่สุด แล้วค่อยไปหาทั้งสองคนเพื่อเค้นเอาคำตอบ
เมื่อคิดเช่นนั้น นางก็สาวเท้ายังจุดที่กระบี่เล่มยาวกดตรึงร่างวิญญาณ แล้วใช้เปลวเพลิงล้อมมันไว้
เสียงกรีดร้องโหยหวนดังขึ้นมาทันที
ฉู่หลิวเยว่เหลือบมองลูกไฟขนาดเล็กนั่น และรู้สึกประหลาดใจที่พบว่า ลมปราณของร่างวิญญาณนั้นกำลังสลายไปอย่างรวดเร็ว
“เพลิงแห่งกรรมของหม้อน้ำเทวศักดิ์สิทธิ์สามารถเผาผลาญทุกสิ่งในโลกได้ โดยเฉพาะร่างวิญญาณนี้”
เสียงของอินทรีสามตาดังก้องอยู่ในใจนาง
“แค่เจ้าใส่มันลงในหม้อน้ำเทวศักดิ์สิทธิ์ เดี๋ยวมันโดนเผาและหายไปเอง”
ฉู่หลิวเยว่เบิกตากว้าง
“จริงหรือ? เช่นนั้นเจ้าจะไม่…”
กายหยาบของอินทรีสามตาถูกทำลาย และตอนนี้ก็เหลือแค่ร่างวิญญาณเพียงอย่างเดียว แต่มันก็คงอยู่ในนั้นมานับพันปีแล้วมิใช่หรือ?
“เจ้าวิญญาณชั้นต่ำนั่นหรือ จะแกร่งเท่าเผ่าพันธุ์อันสูงส่งของข้า!?”
อินทรีสามตาเอ่ยอย่างภาคภูมิใจ
ฉู่หลิวเยว่เองก็คิดเช่นนั้น เพราะท้ายที่สุดแล้ว อินทรีสามตาก็มาจากเผ่าพันธุ์ของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ และนักพรตธรรมดาคงไม่สามารถทัดเทียมได้
แม้ว่า…ร่างวิญญาณของนักพรตตนนี้จะดูมีประวัติที่ไม่ธรรมดาก็ตาม…
“เจ้าอยากได้พลังของเขาหรือ?”
ฟังจากเสียงกรีดร้องเมื่อครู่นี้ นางคิดว่าเจ้าของร่างน่าจะเป็นชายวัยกลางคน
อินทรีสามตาเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะยอมรับออกมาตรงๆ
“ถูกต้อง พลังในร่างวิญญาณของเขา สามารถช่วยฟื้นฟูพลังปราณของข้าได้”
ฉู่หลิวเยว่หัวเราะเบาๆ
ช่างพูดตรงดีจริงๆ
ตั้งแต่ที่นางขอความช่วยเหลือจากอินทรีสามตาครั้งล่าสุด ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขา ก็ไม่ได้ตึงเครียดเหมือนเมื่อก่อนแล้ว
และถือเป็นเรื่องที่ดีสำหรับนางเลยทีเดียว
ทันใดนั้น นางก็ดูดลูกไฟที่แสนจะริบหรี่นั่นเข้าไปในร่างกาย และโยนกลุ่มของร่างวิญญาณเข้าไปในหม้อน้ำเทวศักดิ์สิทธิ์
พลันเกิดควันสีแดงลอยคลุ้ง และเพลิงแห่งกรรมที่โปร่งใสไร้ขอบเขตรอบๆ ก็พุ่งสูงขึ้น! แล้วซึมซับพลังปราณเข้าไปอย่างเต็มกำลัง!
“อ๊าก…”
เสียงครางของความเจ็บปวดดังขึ้นเล็กน้อย แต่ไม่นานก็จางหายไป
ฉู่หลิวเยว่พูดในใจว่า
“เหลือพลังชีวิตไว้ให้เขาด้วยสักนิด”
เพราะย้อนกลับไปตอนนั้น นางยังได้สอบปากคำคนคนนี้เลย
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องหม้อสัมฤทธิ์ ม้วนกระดาษ หรือแม้กระทั่ง… ปฏิกิริยาของเขาเมื่อเห็นกริชที่หรงซิวมอบให้นางเมื่อครู่
ฉู่หลิวเยว่ดึงกระบี่เล่มยาวออก!
พลันไหล่แทบทรุด เพราะถวนจื่อที่จู่ๆ ก็กระโดดใส่นาง
ฉู่หลิวเยว่ยิ้มและสัมผัสหัวของมันเบาๆ จากหางตานางเห็นว่าเสวี่ยเสวี่ยยังคงลังเลไม่กล้าเดินมาใกล้ ไหนจะดวงตาของมันที่เหลือบมองกระบี่เล่มยาวในมือของนางเป็นครั้งคราว
“เสวี่ยเสวี่ย วันนี้ต้องขอบคุณเจ้ามากจริงๆ นะ”
เหมือนว่าฉู่หลิวเยว่จะรู้ทันความคิดของมัน ริมฝีปากบางแย้มยิ้ม พลางเดินเข้าไป
จากนั้นเสวี่ยเสวี่ยถึงได้ยอมเดินมาข้างหน้า ดวงตาของมันกวาดมองไปที่ข้อมือของนาง พร้อมท่าท่างที่แสดงถึงความทุกข์ใจ ก่อนจะย้ำเท้าเข้าไปและเลียมันเบาๆ
ร่างบางรู้สึกอบอุ่นในใจ
“แค่แผลภายนอกเอง รักษาเดี๋ยวก็หายแล้ว…”
เปรี้ยง!
สันนิบาตสายหนึ่งพุ่งตรงฟาดลงมาจากกลุ่มเมฆสีดำทมิฬ!
จากนั้นก็มีร่างๆ หนึ่งลอยขึ้นไปบนจากอากาศจากทิศของตำหนักชิงเหอ!
ฉู่หลิวเยว่จ้องมองและตกใจสุดขีด
นั่นมัน จักรพรรดิจยาเหวิน!
แต่ที่สำคัญคือ ดูเหมือนว่าเขากำลังจะทะลวงผ่านจุดสูงสุดของระดับหกแล้ว!