ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 468 ตรงไปตรงมา
ตอนที่ 468 ตรงไปตรงมา [รีไรท์]
ฉู่หลิวเยว่กับเยี่ยเหล่าหันขวับไปมองอย่างพร้อมเพรียง!
ก่อนจะเห็นคนสองคนที่ยืนอยู่ด้านหลังพวกเขา กำลังส่งสายตามองมาด้วยสีหน้านิ่งเฉย!
ชายคนหนึ่งเดินนำออกมาก่อน
ซึ่งก็คือหรงซิว
ในตอนนี้ใบหน้าที่เย็นชาและสง่างามของเขาดูสงบ และไม่มีอารมณ์อื่นปะปนอยู่เลยแม้แต่น้อย
แต่สองคู่หูอาจารย์ศิษย์ที่รออยู่ข้างนอก กลับแสดงความเกรงกลัวออกมาโดยไม่รู้ตัว
หลังจากเห็นความแข็งแกร่งของชายผู้นี้ พวกเขาย่อมไม่กล้าปฏิบัติต่อหรงซิวด้วยทัศนคติแบบเดิมได้อีก
คนทั้งหมดตกอยู่ในความเงียบ
ก่อนที่ฉู่หลิวเยว่จะเป็นฝ่ายก้าวออกไป
“เป็นอย่างใดบ้าง องค์ชาย?”
หรงซิวสบสายตาที่ดูกังวลเล็กน้อยของนาง แล้วพลันรู้สึกอบอุ่นในใจ
และความเหนื่อยล้า บวกกับความเหนื่อยหน่ายจากเหตุการณ์ในวันนี้ ก็ดูเหมือนจะมลายหายไปในทันที
ไม่ว่าจะเกิดอันใดขึ้น ก็ยังมีคนคนหนึ่งที่พร้อมจะอยู่เคียงข้างเขาเสมอ
“กลับบ้านเรากันเถอะ”
หรงซิวเอื้อมมือไปจับมือบาง พลางเอ่ยเสียงเบา
…
มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่น่าสะพรึงกลัวเกิดขึ้นในแคว้นเย่าเฉินภายในชั่วข้ามคืน
เหตุการณ์แรกคือหรงจิ่วตั้งตนก่อกบฏยึดเมืองหลวง และยึดอำนาจในวังทั้งหมด
และหลังจากนั้น ก็เป็นเหตุการณ์ขององค์หญิงใหญ่แห่งแคว้นซิงหลัว อย่างซือถูซิงเฉิน ที่จู่ๆ ก็ดูดกลืนพลังแปลกๆ และทะลวงผ่านขอบเขตนักรบ อีกทั้งยังพยายามฆ่าฉู่หลิวเยว่ แต่ในที่สุดนางก็ถูกจับและถูกสังหาร
ส่วนเหตุการณ์สุดท้ายก็เป็น ฉากที่องค์ชายหลีหวัน หรือหรงซิว ต่อสู้กับจักรพรรดิจยาเหวิน เพื่อทวงคืนสมบัติของมารดาผู้ให้กำเนิดเขา และเอาชนะผู้เป็นบิดาได้ด้วยกระบี่เล่มเดียว!
มีหลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้นในวันนี้ และข่าวนั้นก็ได้แพร่กระจายไปทั่วเมืองหลวงอย่างรวดเร็ว
และไม่มีคนออกมาแก้ข่าวเลยสักคน
เนื่องด้วยความจริงที่ว่าเกิดความโกลาหลขึ้นใหญ่โตเพียงนี้ จะให้เสแสร้งแกล้งทำว่าไม่มีอันใดเกิดขึ้น ก็คงจะดูเพ้อฝันเกินไปหน่อย
อีกทั้งศึกในครั้งนี้ยังเกี่ยวกับการแย่งชิงบัลลังก์ด้วย และตัวแทนขุนนางจากตระกูลใหญ่ๆ ต่างก็เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ด้วยตาตนเองแล้ว อย่างใดเสีย พวกเขาก็ต้องแจ้งให้สมาชิกในตระกูลทราบแน่นอน เพื่อจะได้รู้ว่า พวกเขาควรจะรับมือกับสถานการณ์ในอนาคตต่อไปอย่างใด
เป็นสาเหตุให้ประชาชนทุกคนในเมืองหลวง ล้วนพูดถึงเรื่องนี้กันอยู่พักหนึ่ง
และไม่นานข่าวคราวความเคลื่อนไหวล่าสุดก็มาถึง
ซึ่งได้ความว่า องค์ชายสามอย่างหรงจิ่วจะขึ้นครองราชย์เป็นจักรพรรดิองค์ต่อไป ส่วนองค์ชายหลีหวันนั้นเลือกที่จะกลับไปยังหมิงเยว่เทียนซาน
และสำหรับอดีตจักรพรรดิอย่างจักรพรรดิจยาเหวินนั้น เขาถูกส่งไปใช้ช่วงชีวิตในบั้นปลายสุดท้ายที่ตำหนักเฉิงเย่ จวบจนชีวิตจะหาไม่
ทว่ามีความคิดเห็นที่แตกต่างกันเกี่ยวกับผลลัพธ์นี้
เพราะหลังจากที่ทุกคนรู้แล้วว่า หรงซิวไม่ได้ป่วย
และตรงกันข้าม เขากลับมีทักษะในการฝึกตนที่สูงมาก และความแข็งแกร่งของเขา ก็แข็งแกร่งมากเช่นกัน!
ก่อนหน้านี้หลายๆ คน จึงคาดการณ์ว่าเขาและหรงจิ่ว คงต้องต่อสู้กันเพื่อชิงบัลลังก์เป็นแน่
แต่กลับผิดคาด เมื่อหรงซิวทิ้งบัลลังก์ และเลือกกลับไปใช้ชีวิตที่หมิงเยว่เทียนซานแทน
ส่วนจักรพรรดิจยาเหวินนั้น…
ถูกขับไล่ลงจากบังลังก์ขนาดนั้น คงไม่มีสิทธิ์ร้องขอสิ่งใดอีกแล้ว
ทว่าในทางกลับกัน หลังจากที่ซือถูซิงเฉินเสียชีวิต คนฝั่งแคว้นเย่าเฉินกลับไม่ตอบสนองเลยสักนิด ราวกับว่าพวกเขายอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้น
…
ณ ป่าไผ่ที่ล้อมรอบตำหนักขององค์ชายหลีหวัน
ฉู่หลิวเยว่และหรงซิวนั่งตรงข้ามกัน โดยมีกระดานหมากรุกตั้งอยู่ตรงกลาง
ท่ามกลางสายลมอ่อนๆ ที่พัดโชยมา และใบไผ่ที่ส่งเสียงกรอบแกรบ
หรงซิววางตัวหมากรุกในมือลง
“เยว่เอ๋อ เจ้าคิดว่าข้าไร้มนุษยธรรมหรือไม่?”
ฉู่หลิวเยว่เงยหน้าขึ้นและถามด้วยความประหลาดใจ
“เหตุใดท่านจึงพูดเช่นนั้น?”
หรงซิวหยุดนิ่งไปพักหนึ่ง
ฉู่หลิวเยว่พลันเข้าใจอีกฝ่ายขึ้นมาทันที
นี่เขากำลังพูดถึงจักรพรรดิจยาเหวินอยู่สินะ?
“การที่องค์ชายทำเช่นนี้ แสดงว่าท่านย่อมมีปัญหาและเหตุผลของท่าน” ฉู่หลิวเยว่ส่ายหน้าเบาๆ “ซึ่งตราบใดที่ท่านคิดว่ามันถูกต้อง เช่นนั้นมันย่อมเป็นสิ่งที่ถูกต้องเพคะ”
มุมปากของหรงซิวยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย และทันใดนั้น เขาก็ขยับเข้ามาใกล้ และจ้องมองเข้าไปในดวงตาของนาง พลางเอ่ยถามติดตลกว่า
“เยว่เอ๋อหมายความว่า ไม่ว่าข้าจะทำอันใด เจ้าก็จะอยู่เคียงข้างข้าไปตลอดใช่หรือไม่?”
เสียงของเขาทุ้มต่ำและฟังดูเกียจคร้าน แต่กลับมีรอยยิ้มสบายๆ ปรากฏอยู่ที่มุมปากของเขา
“แน่นอนอยู่แล้ว”
ฉู่หลิวเยว่จ้องมองเข้าไปในดวงตาลึกซึ้งของเขาและพูดอย่างหนักแน่น
ท่าทางของนางดูจริงจังและจริงใจอย่างมาก
หัวใจดวงน้อยของหรงซิวอ่อนยวบยาบ พร้อมกับแสงสลัวๆ ที่พาดผ่านดวงตาของเขา
“องค์ชายคือคนของข้านะเพคะ ข้าย่อมปกป้องท่านเป็นธรรมดา”
ฉู่หลิวเยว่หัวเราะ คิ้วของนางโค้งลง ราวกับว่านางกำลังพูดหยอก แต่ดวงตากลับดูมั่นคงไร้ซึ่งข้อกังขา
หรงซิวรับรู้ได้ทันทีว่าสิ่งที่นางพูดนั้นเป็นเความจริงที่ออกมาจากใจ
เขาเงียบไปครู่หนึ่ง และทันใดนั้นก็พูดว่า “อันที่จริง ประโยคนี้ดูไม่ค่อยถูกต้องนัก”
“หือ? เพราะอันใดหรือ?” ฉู่หลิวเยว่งุนงง
ปลายนิ้วเรียวยาวของหรงซิวเคาะลงบนกระดานหมากรุกสองครั้ง พลันเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
“จนถึงตอนนี้…ข้าก็ยังมิได้เป็นคนของเยว่เอ๋อเลยนะ”
เสียงของเขาแหบต่ำลงกว่าเดิมเล็กน้อย อีกทั้งยังลากเสียงยาวๆ ราวหมายจะให้มันฝังลึกเข้าไปในกกหูของอีกคน พร้อมความรู้สึกคันยุบยิบแปลกๆ ในใจ
ฉู่หลิวเยว่ตอบสนองทันที พลันอดไม่ได้ที่จะสาปอีกฝ่ายในใจ องค์ชายผู้นี้ช่างร้ายกาจนัก!
“เกรงว่าท่านคงต้องผิดหวัง! เพราะตอนนี้ข้าต้องไปที่ราชวงศ์เทียนหลิ่ง ส่วนองค์ชายเองก็ต้องกลับไปยังหมิงเยว่เทียนซาน ฉะนั้นเราคงไม่ได้พบหน้ากันช่วงหนึ่งเลยทีเดียว!”
หรงซิวขมวดคิ้วมุ่น
“เยว่เอ๋อจักรีบไปใย?”
ฉู่หลิวเยว่ตอบกลับเสียงแข็ง
“ก็ดีกว่าท่านที่ไม่เห็นรีบร้อนจัดการเรื่องงานสมรสเลย!”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ หรงซิวก็แอบเสียใจขึ้นมานิดๆ
“ข้าเองก็อยากรีบจัดงานสมรส แต่ทว่า…ดันมีเหตุการณ์วุ่นวายเกิดขึ้นเสียก่อน และข้าก็ไม่คิดว่ามันจะทำให้งานของเขาต้องยืดออกไปนานเพียงนี้”
ตอนนี้พวกเขาทั้งคู่มีสิ่งสำคัญที่ต้องทำ และงานมงคลสมรสก็อาจจะต้องเลื่อนออกไปก่อน
เมื่อเห็นว่าหรงซิวดูผิดหวังจริงๆ ฉู่หลิวเยว่ก็พลอยเห็นใจขึ้นมา
“อย่างใดเสีย ตราบใดที่สัญญาการสมรสยังอยู่ จะแต่งวันนี้หรือวันพรุ่ง ความจริงแล้วมันก็ไม่ต่างกันมากนักหรอก จริงหรือไม่?”
หรงซิวมองนางอย่างมีความหมายและพูดด้วยรอยยิ้มบาง
“แตกต่างแน่นอน นั่นเพราะว่าข้ารอมานานเกินไปแล้ว”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ก็เกิดความสับสนขึ้นในใจของฉู่หลิวเยว่
พวกเขาห่างกันเพียงไม่กี่เดือน แต่คำพูดของหรงซิวกับฟังดูยาวนานนับสิบปี…
“แต่เพราะว่าเป็นเยว่เอ๋อ ข้าจึงยอมอดทนรอต่อไป”
เมื่อตระหนักได้ถึงสายตาที่ลึกซึ้งและอ่อนโยนของหรงซิว ฉู่หลิวเยว่ก็ถึงกับถอนหายใจเบาๆ
อันที่จริงเส้นทางข้างหน้านั้นยากลำบากเหนือคณนา และนางก็ไม่รู้ว่าอีกนานแค่ไหนกว่าพวกเขาจะได้พบกันอีก
“องค์ชาย ท่านต้องกลับไปที่หมิงเยว่เทียนซานจริงๆ หรือ?”
“เรื่องในเมืองหลวงได้รับการแก้ไขแล้ว ฉะนั้น ข้าก็ไม่จำเป็นจะต้องอยู่ที่นี่แล้ว”
และถ้าเขาไม่กลับไป เกรงว่าผู้อาวุโสหมิงที่สามสิบหก คงได้ลงมาลากคอเขากลับไปด้วยตัวเองแน่
นอกจากนี้ ยังมีบางสิ่งที่เขาต้องกลับไปจัดการอยู่อีก
เขาลูบมือของฉู่หลิวเยว่อย่างนุ่มนวลราวรู้สึกผิด
หัวใจของฉู่หลิวเย่กระตุกวูบราวกับโดนคลื่นอารมณ์หวานๆ ทว่าแฝงด้วยความเจ็บแปร๊บกระแทกใส่
ก่อนจะเอ่ยปากออกมาอย่างไม่ลังเล
“เช่นนั้น…เมื่อข้ากลับมาจากราชวงศ์เทียนหลิ่งแล้ว เราก็จัดงานสมรสกันเลย เช่นนั้นดีหรือไม่?”
สีหน้าของหรงซิวดูดีขึ้นทันควัน
นี่คือสิ่งที่เขาต้องการจะพูดมาตลอด
แต่คิดไม่ถึงว่านางจะเป็นฝ่ายเอ่ยออกมาเสียเอง
เขามองเข้าไปในดวงตาของนาง และดวงตาที่ลึกซึ้งของเขาก็ถูกดึงดูด ราวกับจมหายเข้าไปในดวงตาคู่สวยของนาง
จากนั้นเขาก็ก้มศีรษะลงจูบหน้าผากของฉู่หลิวเยว่
“ตกลง”
ถึงจะเป็นเสียงที่แผ่วเบา แต่ก็ดังมากพอสำหรับคนทั้งสอง
ความอดทน อดกลั้น การรอคอย ความรัก และความเชื่อใจ…
ฉู่หลิวเยว่หลับตาลงและครุ่นคิดอยู่นาน จนในที่สุดก็ตัดสินใจได้
“องค์ชาย ข้ามีเรื่องที่ต้องบอกท่าน”
หรงซิวพยักหน้าและตั้งใจฟัง
ทว่าฉู่หลิวเยว่กลับเม้มริมฝีปากแน่น และไม่ได้พูดอันใดอยู่พักหนึ่ง
แต่หรงซิวก็ไม่ได้เร่งรัดนาง เขาทำเพียงแค่รออย่างเงียบๆ
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด แต่สุดท้ายนางก็เลือกที่จะพูดออกมา
นางสบตาของหรงซิว และพูดเน้นย้ำทีละคำ
“ครั้งนี้ข้าจักต้องเดินทางไปยังราชวงศ์เทียนหลิ่ง โดยไร้วันกำหนดกลับที่แน่ชัด”
“และ ศัตรูของข้าอยู่ที่นั่น”