ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 478 หลิวหังอี
ตอนที่ 478 หลิวหังอี [รีไรท์]
ประตูเมืองซีหลิงทำจากวัสดุที่หล่อหลอมมาจากทองและปรอทเงิน ทั้งหนาและสูงมาก ลือกันว่านักรบระดับแปดก็ยังไม่สามารถทำอันใดได้ นอกจากทิ้งรอยตื้นๆ ไว้บนนั้น และไม่สามารถทำให้แตกหักได้เลย
ผนังสร้างจากหินสีเทาประกายเขียวที่แข็งแรงมาก
พายุฝนฟ้าและหิมะกระหน่ำหลายพันปี ก็ไม่สามารถทำอันใดเมืองหลวงของจักรวรรดิโบราณที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ได้
มีช่องประตูเมืองอยู่สามช่องด้วยกัน ช่องกลางจะมีขนาดใหญ่ที่สุด และจะมีเพียงผู้สูงศักดิ์แห่งราชวงศ์ที่สามารถผ่านประตูนี้ไปได้
โดยปกติ ประตูใหญ่บานนี้จะถูกปิดสนิท
แผ่นป้ายสีทองแขวนอยู่บนนั้น ซึ่งอ่านว่า “ซีหลิง”
ดูตระหง่านและสง่างาม
สองข้างจะมีประตูเข้าออกสำหรับคนธรรมดา
แม้ว่าจะมีขนาดเล็กกว่าประตูกลางไปบ้าง แต่แต่ละช่องก็ยังสามารถรองรับหลายร้อยคนเข้าและออกในเวลาเดียวกัน
และใกล้ประตูทุกบาน ก็จะมีทหารม้าทมิฬหลายร้อยนายเฝ้าอยู่
ผู้คนที่จะเข้าออกเมืองซีหลิง จะต้องถูกตรวจสอบอย่างละเอียด
แม้จะเป็นเช่นนั้น ที่นี่ก็ยังคงมีผู้คนสัญจร และคึกคักเป็นพิเศษ
ในฐานะเมืองหลวงของราชวงศ์เทียนลิ่ง จะมีผู้ฝึกตนเข้ามามากมายนับไม่ถ้วนราวกับมาแสวงบุญ
ฉู่หลิวเยว่และเจี่ยนเฟิงฉือติดตามฝูงชนเข้าไปข้างใน
อย่างใดก็ตาม อาจจะเป็นเพราะรูปลักษณ์หน้าตาของทั้งสองโดดเด่นเกินไป อีกทั้งมีคนมากมายได้เห็นเหตุการณ์ที่จัตตุรัสผิงเหลียง พวกเขาจึงกลายเป็นจุดเด่นขึ้นมา และนั่นทำให้พวกเขาดูแตกต่างจากคนอื่น
เมื่อเดินไปถึงประตู ทหารยามคนหนึ่งเงยหน้าขึ้นมองเห็นเจี่ยนเฟิงฉือพูดด้วยความนอบน้อมในทันที
“ถวายบังคม…”
เจี่ยนเฟิงฉือสะบัดมือ ก่อนโยนตราสัญลักษณ์ออกไป
“พาไปคนหนึ่ง”
ทหารยามคนนั้นมองออกว่าเจี่ยนเฟิงฉือไม่อยากแพร่งพรายเรื่องนี้ พลันในใจก็รู้สึกชื่นชม
เวลาที่เขาเดินทางมาซีหลิง ท่านผู้นี้จะชอบความคึกคักสนุกสนานที่สุด แต่แปลกใจที่ครั้งนี้เขากลับอยู่อย่างเงียบๆ ได้
สายตาของเขาเลื่อนไปหยุดอยู่ที่ฉู่หลิวเยว่ที่อยู่ข้างๆ พลันนึกประหลาดใจ
“ท่านนี้คือ…”
ฉู่หลิวเยว่หยิบตราสัญลักษณ์ออกมา
“ฉู่หลิวเยว่ จากแคว้นเย่าเฉิน”
มาจากสักแห่งในโลกนี้นี่เอง… แต่เป็นนักรบระดับสามเองหรือ?
แต่ว่านางมากับเจี่ยนเฟิงฉือ เขาจึงต้องไว้หน้าหน่อย
เขาตรวจสอบตราสัญลักษณ์ของฉู่หลิวเยว่ พลันต้องตกใจ
นี่คือตราสัญลักษณ์ของรองแม่ทัพมู่!
ดูเหมือนว่าที่มาที่ไปของแม่นางนั้นซับซ้อนกว่าที่คิดเสียอีก…
เขาส่งตราสัญลักษณ์คืนให้ทั้งสองอย่างนอบน้อม แล้วมองไปทางฉู่หลิวเยว่
“ท่านมาได้จังหวะพอดี พรุ่งนี้ ‘งานว่านเจิง’ จะเริ่มขึ้นแล้ว ท่านสามารถไปลงชื่อได้ที่สวนซินหลี่ และพรุ่งนี้ท่านก็สามารถลงแข่งได้เลย”
ฉู่หลิวเยว่ตกใจ
งานว่านเจิง?
นางไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยแม้แต่น้อย
เมื่อเห็นท่าทีของฉู่หลิวเยว่แล้ว เขาจึงคิดว่านางคงไม่รู้ว่าสวนซินหลี่อยู่ที่ไหน ก่อนจะเอ่ยถาม
“ต้องการให้คนพาท่านไปหรือไม่?”
ฉู่หลิวเยว่ส่ายหัวโดยไม่รู้ตัว
“ข้า… ข้าให้องค์ชายเจี่ยนพาไปแล้วกัน ไม่รบกวนเจ้าหรอก”
เจี่ยนเฟิงฉือขมวดคิ้ว
แม่นางคนนี้กะใช้เขาอีกแล้วหรือ?
ทหารยามคนนั้นถึงกับตกใจ แล้วเหลือบมองไปทางเจี่ยนเฟิงฉืออย่างระมัดระวัง แต่เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้โกรธเคือง จึงรู้สึกสบายใจขึ้น
“ได้ เดี๋ยวข้าพานางไปเอง”
เจี่ยนเฟิงฉือหันมาสะกิดฉู่หลิวเยว่
“ตามข้ามา”
ฉู่หลิวเยว่ยิ้มบางๆ ก่อนตามเขาไป
…
สวนซินหลี่เป็นสวนที่มีชื่อเสียงในเมืองซีหลิง และมีมาตั้งแต่สมัยก่อตั้งราชวงศ์ในจีนเสียอีก
เมื่อก่อนตอนที่นางมีเวลาว่าง นางก็ชอบไปที่นั่น
คิดไม่ถึงว่าที่แรกที่ต้องไปหลังจากกลับมาถึง จะเป็นสถานที่แห่งนั้น
เจี่ยนเฟิงฉือเดินอยู่ข้างหน้า ในมือเขาส่ายพัดเขียวหยกไปมา
“สวนซินหลี่เป็นสถานที่ที่ดี เมื่อเจ้าไปถึงก็จะสามารถเห็นได้ด้วยตาตัวเอง เมื่อก่อน มันไม่ใช่สถานที่ที่ใครจะเข้าไปก็ได้”
เมื่อฉู่หลิวเยว่ได้ยินคำพูดที่แฝงไปด้วยความหมายบางอย่างของเขา นางก็ทำเป็นตื่นเต้น แล้วถามออกไปว่า
“แต่ก่อน?”
“สวนนั่นก่อนหน้านี้เป็น… ช่างเถอะ ไม่รู้ว่าจะพูดเรื่องนี้กับเจ้าด้วยเหตุใด อย่างใดก็ตามวิวของมันสวยงามไม่น้อยเลย”
ฉู่หลิวเยว่เปลี่ยนหัวข้อสนทนาอย่างรู้ทัน
“แล้ว…งานว่านเจิงคืออันใดหรือ? ก่อนหน้านี้รองแม่ทัพมู่ไม่เคยพูดถึงเลยนะ”
เจี่ยนเฟิงฉือขยับมือเบาๆ แล้วพับพัดขึ้นมา รองไว้ใต้คาง
“นั่น…ก็เป็นเพียงแค่การประลองเท่านั้น พรุ่งนี้เจ้าไปถึงก็จะรู้เอง”
ทว่าในสายตาเขา นั่นก็เป็นเพียงแค่คำสั่งของซั่งกวนหว่านเท่านั้น
จู่ๆ ก็จัดงานว่านเจิงแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย มันถูกเรียกให้สวยหรูว่าเป็นสถานที่ฝึกคนที่มีพรสวรรค์ให้กลายเป็นคนเก่งกล้า แต่ใครจะรู้ว่าจริงๆ แล้วพวกเขาต้องการจะทำอันใดกันแน่?
เห็นได้ชัดว่าสีหน้าของเจี่ยนเฟิงฉือนั้นดูไม่เห็นด้วย ฉู่หลิวเยว่จึงพยักหน้าเบาๆ แล้วไม่ได้ถามต่อ
ทั้งสองเดินไปด้วยกัน ไม่นานก็ถึงสวนซินหลี่
เมื่อเดินมาถึงทางเข้าสวนซินหลี่ ฉู่หลิวเยว่ก็สัมผัสได้ถึงคนที่มีพลังแข็งแกร่งมากมายในทันที!
สายตาที่พินิจพิเคราะห์ กวาดผ่านตัวนางไป!
ฉู่หลิวเยว่แสร้งทำเป็นไม่รู้ แล้วตามหลังเจี่ยนเฟิงฉือไปอย่างซื่อๆ
หน้าสวนซินหลี่มีคนใช้ยืนอยู่สองคน
ฉู่หลิวเยว่ใช้สายตากวาดอย่างว่องไว ปรากฏว่าเป็นชายแปลกหน้าสองคน
ทว่าเห็นได้ชัดว่าทั้งคู่จำเจี่ยนเฟิงฉือได้ ใบหน้าที่เย็นชาในตอนแรกเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มในทันที
“คารวะองค์ชายเจี่ยน!”
เจี่ยนเฟิงฉือขยับพัดไปมาอย่างไม่สบอารมณ์ แล้วถามว่า
“ข้าต้องลงชื่อเข้าร่วมงานว่านเจิงอย่างใดหรือ?”
สายตาของทั้งสองจดจ้องมาทางฉู่หลิวเยว่
แต่… เจี่ยนเฟิงฉือไม่ได้อยู่ในรายชื่อที่ที่จะพาไปด้วย?
แต่ทว่าพวกเขาก็ไม่กล้าถาม จึงกล่าวอย่างนอบน้อมว่า
“ทั้งสองท่านเชิญทางนี้ สถานที่ลงชื่ออยู่ที่สวนหย่อม เมื่อไปถึงที่นั้น จะมีคนช่วยเหลือพวกท่าน”
เจี่ยนเฟิงฉือกะพริบตาปริบๆ ใส่ฉู่หลิวเยว่ ก่อนเดินเข้าไปข้างใน
สีหน้าของฉู่หลิวเยว่ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง แล้วเดินเข้าประตูใหญ่ตามเขาไปติดๆ
กลิ่นหอมลอยมาปะทะจมูก ผสมเข้ากันกับกลิ่นของรสขมจางๆ ทำให้รู้สึกสดชื่น
สวนซินหลี่ตั้งอยู่บนพื้นที่กว้างใหญ่ มีการปลูกสมุนไพรเป็นจำนวนมาก จึงทำให้ทั้งสวนมีกลิ่นแบบนี้
เมื่ออยู่ข้างนอกจะไม่มีทางเห็นสวนสมุนไพรแบบนี้ แต่พอเข้ามาที่นี่แล้วจะสามารถมองเห็นได้ทั่ว
สายตาฉู่หลิวเยว่ กวาดมองไปรอบๆ และถอนหายใจเบาๆ
นางจุดไฟเผาตัวเอง ทำให้บริวารของนางกระจัดกระจายหนีหาย แต่สมุนไพรพวกนี้ กลับได้รับการอนุรักษ์อย่างดี
โอ้ นางเกือบลืมไปว่าซั่งกวนหว่านเป็นเซียนหมอ
สิ่งเหล่านี้ที่นางบ่มเพาะมาเองทั้งหมด ตกเป็นของซั่งกวนหว่านอย่างง่ายดาย
คิดถึงตรงนั้น แววตาของฉู่หลิวเยว่ก็เยือกเย็น แต่ทันใดนั้นความรู้สึกนั้นก็หายไป พลันแววตาของนางก็กลับมาเป็นปกติ
เพราะมีเรื่องหนึ่งที่ทำให้ละเลยไม่ได้ ซึ่งก็คือ… ในสวนซินหลี่นี้ได้มีผู้ฝึกตนซ่อนตัวอยู่เยอะพอสมควร
ตลอดทาง นางรู้สึกว่าตนถูกทดสอบซ้ำแล้วซ้ำอีก
เจี่ยนเฟิงฉือก็รู้สึกแบบเดียวกัน สีหน้าของเขาจึงเย็นชามากขึ้น
เมื่อเดินผ่านลานด้านหน้า แล้วเดินข้ามสะพานเจ็ดดวงดาว สุดท้ายทั้งสองก็ออกจากสวนหย่อมได้
มีชายวัยสามสิบนั่งเงียบๆ อยู่ที่โต๊ะ
เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้า ชายคนนั้นเงยหน้าขึ้น และทันทีที่เห็นว่าเป็นเจี่ยนเฟิงฉือ เขาก็ยิ้มออกมา
“ข้าก็นึกว่าผู้ใด เจ้านี่เอง”
เจี่ยนเฟิงฉือขมวดคิ้ว
“หลิวหังอี? เหตุใดเจ้าอยู่ที่นี่?”
โลกนี้ช่างกลมเสียจริง!
“องค์หญิงสามให้ข้ามาที่นี่ หากข้าไม่อยู่ที่นี่จะให้ข้าไปไหนเล่า?”
หลิวหังอีพูดพลางจ้องมองไปทางฉู่หลิวเยว่ด้วยแววตาขบคิด