ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 479 แล้วเจอกัน
ตอนที่ 479 แล้วเจอกัน [รีไรท์]
“นักรบระดับสาม… หึ เจี่ยนเฟิงฉือ เจ้าหานักรบที่เก่งกาจมาไม่ได้เลยหรือ? เจ้าต้องรู้นะ ระดับนักรบที่ต่ำที่สุดของที่นี่คือระดับสี่ ดังนั้นงานว่านเจิงนี้… ทางที่ดีเจ้าอย่าเข้าร่วมเลยดีกว่า?”
หลิวหังอีพูดอย่างเหน็บแนม
ฉู่หลิวเยว่เกิดความรังเกียจขึ้นในใจ
หลิวหังอีผู้นี้เป็นหนึ่งในคนสนิทของซั่งกวนหว่าน เขาเป็นคนที่มีไหวพริบและน่ากลัว
แต่ก่อนนางไม่ชอบคนๆ นี้ แต่ซั่งกวนหว่านก็มักจะช่วยเขาพูด ด้วยเหตุผลที่ว่าเขาช่วยชีวิตตนไว้ นางจึงทำได้เพียงทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น
และความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเจี่ยนเฟิงฉือก็แย่มากเช่นกัน
เพราะหลิวหังอีเคยชอบเด็กสาวคนหนึ่ง แต่เด็กสาวคนนั้นคลั่งไคล้เจี่ยนเฟิงฉือ และเป็นเพราะโดนเจี่ยนเฟิงฉือปฏิเสธ จนสุดท้ายนางก็โกนผมและหันไปบวชชี
ด้วยเหตุนี้ หลิวหังอีจึงโกรธแค้นเจี่ยนเฟิงฉือ
แต่ในความจริง เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจี่ยนเฟิงฉือเลย
แม้เขาจะมีนิสัยเจ้าชู้ที่ชอบเข้าหาหญิงสาวเป็นประจำ แต่ก็เป็นความยินยอมทั้งสองฝ่าย อีกทั้งยังแยกแยะความถูกผิดที่ชัดเจน
เขาไม่ชอบเด็กสาวคนนั้น จึงปฏิเสธไป ใครจะรู้ว่าสุดท้ายแล้วเกิดเหตุการณ์นั้นขึ้น
หลิวหังอีก็เคยยุ่งกับคนของเขาเยอะพอสมควร เพียงแต่เจี่ยนเฟิงฉือไม่อยากสนใจเขา และเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ยอมจบสิ้น เขาจึงเริ่มโมโห
สุดท้ายทั้งสองก็บาดหมางกันอย่างหนัก
เมื่อคู่อริประจันหน้ากัน ก็เกิดบรรยากาศร้อนระอุขึ้น
“เข้าร่วมหรือไม่ เจ้ามีสิทธิ์พูดหรือ? ข้าพาคนมาแล้ว ต้องทำอย่างใดต่อเจ้าคงรู้แก่ใจดี” เจี่ยนเฟิงฉือยิ้มอย่างเย็นยะเยือก
เมื่อหลิวหังอีเห็นใบหน้าของเขาก็รู้สึกรำคาญใจ แต่รอบๆ กลับมีคนเฝ้ามองเขาอย่างลับๆ ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าทำเรื่องนี้อย่างเปิดเผย
“ที่มา ชื่อ อายุ”
เขาพลิกตำราเล่มหนึ่ง ก่อนที่จะเขียนลงไป
ฉู่หลิวเยว่เอ่ยตอบ
“แคว้นเย่าเฉิน ฉู่หลิวเยว่ อายุ สิบสี่”
พู่กันในมือของหลิวหังอีชะงักลง แล้วเงยหน้ามองนางอีกครั้ง
อายุอานามน้อยนัก…
“นักรบระดับใด”
“ระดับสาม”
หลิวหังอีดูเหมือนจะเยาะเย้ยอย่างไม่ได้สนใจ
แต่ฉู่หลิวเยว่กลับไม่ได้ยิน
“เอาล่ะ พรุ่งนี้เช้านำสิ่งนี้มาที่สนามเสียนจีเพื่อเข้าร่วมงานว่านเจิง”
หลิวหังอีพูดพร้อมกับยื่นสร้อยข้อมือสีแดง ร้อยด้วยไข่มุกสีทองเหลือบสีแดงขียวขนาดเท่าเม็ดลำไย
“นี่คือสิ่งที่บ่งบอกสถานะของเจ้า หากเจ้าทำมันหายไปก็ถือเป็นการสละสิทธิ์ในทันที”
ฉู่หลิวเยว่ยื่นมือรับสร้อยข้อมื่อนั่นมา
“ขอบคุณท่านหลิว”
แววตาของหลิวหังอีเป็นประกาย แล้วมองไปทางฉู่หลิวเยว่นิ่งๆ แล้วหัวเราะเยาะออกมาเบาๆ
“เจ้าช่างรู้ความ”
แม้ว่าจะมากับเจี่ยนเฟิงฉือ แต่ว่าก็เป็นคนที่มีความงดงาม
ไม่แน่ว่าสามารถหาโอกาส…
ฉู่หลิวเยว่ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น
แต่เจี่ยนเฟิงฉือกลับจับมือนางไว้แล้ว
“ไปเถอะ! บรรยากาศที่น่าอึดอัดแบบนี้ ข้าไม่อยากอยู่แม้แต่นาทีเดียว!”
ฉู่หลิวเยว่ถูกกระชากจนสะดุด แต่ในใจของนางไม่ได้ไม่พอใจเจี่ยนเฟิงฉือเลย ยังกลับยกมุมปากขึ้นแล้วพูดเสียงเบาจนแทบไม่ได้ยินว่า
“ขอบใจ”
เจี่ยนเฟิงฉือมองนางด้วยสีหน้าไม่พอใจมากนัก
แม่นางคนนี้ รู้หรือไม่ว่าหลิวหังอีเป็นใคร?
“หลังจากนี้เจ้าต้องระวังคนนี้ให้มาก!”
หาได้ยากที่ฉู่หลิวเยว่จะรู้สึกว่าเจี่ยนเฟิงฉือมีความรู้สึกแบบนี้ ก่อนที่ใบหน้าสวยจะปรากฏรอยยิ้มเล็กน้อย
“ข้ารู้แล้ว”
เสียงหัวเราะของนางทำให้เจี่ยนเฟิงฉืออายอย่างอธิบายไม่ถูก เขาปล่อยแขนนางแล้วรีบเดินไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
ฉู่หลิวเยว่พูดอย่างช้าๆ ตามหลังว่า
“นายน้อยเจี่ยน อย่ารีบเดินขนาดนั้นสิ ท่านยังต้องไปส่งข้านะ!”
เจี่ยนเฟิงฉือจึงหยุดฝีเท้ากระทันหัน
ชาติที่แล้วเขาติดหนี้บุญคุณของฉู่หลิวเยว่และมู่ชิงเห่อหรือเปล่า?
“ยังไม่ไปอีก!”
…
เมื่อแผ่นหลังของทั้งสองค่อยๆ ลับไป
หลิวหังอีก็สำรวมสีหน้าตัวเองอย่างรวดเร็ว จนกลายเป็นคนนอบน้อมขึ้นมาทันที
“ผู้อาวุโสทุกท่าน คิดว่าฉู่หลิวเยว่… เป็นอย่างใด?”
ในสวนหย่อมเงียบกริบ จนมีเพียงเสียงของสายลมที่กระทบใบไม้
ทว่าครู่เดียว ก็มีเสียงแหบดังขึ้นมา
“ชีพจรตี้จิง… ระดับกลาง!”
หลิวหังอีอึ้งไปสักพัก
แต่นักรบระดับสามอย่างฉู่หลิวเยว่ เหตุใดจึงมีระดับชีพจรดีขนาดนี้?
ทว่านี่จะเป็นพรสวรรค์ แต่ความสามารถของคนที่มีอายุเพียงสิบสี่ จะฝึกฝน จนเป็นนักรบระดับสามได้อย่างใด?
แต่ไม่ว่าเขาจะใจกล้าขนาดไหน ก็ไม่สามารถรับผลตัดสินนี้ได้
เขาพลิกหนังสืออีกครั้ง ก่อนจะระบุระดับกลางลงไปใต้ชื่อของฉู่หลิวเยว่
…
ฉู่หลิวเยว่และจี่ยนเฟิงฉือมาถึงที่พักของมู่ชิงเห่อ
เมื่อเห็นประตูจวนที่คุ้นเคยอยู่ตรงหน้า ฉู่หลิวเยว่รู้สึกเคว้งในทันที
มู่ชิงเห่อเป็นรองแม่ทัพทมิฬ เขามีอำนาจและยศศักดิ์สูงส่ง จึงได้รับพระราชทานจวนเพื่อเป็นที่พักแก่ตัวเองตั้งแต่เนิ่นๆ
เขาขยันและอดออมมาโดยตลอด ดังนั้นเขาจึงไม่ค่อยใส่ใจเรื่องการตกแต่ง
ซึ่งจวนนี้ ฉู่หลิวเยว่ก็เป็นคนเลือกให้เขา แม้แต่การตกแต่งก็เป็นไปในแบบที่นางชอบ
ไม่คิดว่าเวลาผ่านไปตั้งนาน เขายังสามารถอยู่ที่นี่ได้อย่างสบายใจ
มุมปากของฉู่หลิวเยว่ขยับเล็กน้อย ทั้งๆ ที่อยากยิ้ม แต่ก็ทำไม่ได้
ภาพนี้มันสะเทือนจิตใจของนางมากเกินไปหน่อย
ที่หน้าประตูใหญ่จวนมู่มีทหารสวมชุดเกราะสีดำเฝ้าอยู่
เมื่อเห็นเจี่ยนเฟิงฉือ หนึ่งในสองคนก็ก้าวมาข้างหน้า
“ยินดีต้อนรับองค์ชาย!”
เจี่ยนเฟิงฉือถาม
“เจ้านายของพวกเจ้าล่ะ? ข้าเอาคนมาส่งด้วยตนเอง เหตุใดเขาไม่ออกมา?”
ทหารกล่าวด้วยความเคารพว่า
“เรียนองค์ชายเจี่ยน ตอนนี้รองแม่ทัพไม่อยู่ แต่ก่อนที่เขาจะไป เขาได้สั่งเอาไว้ว่า ถ้าหากท่านได้เอาคนมาส่งแล้ว ก็เข้าไปได้เลยขอรับ”
“ไม่อยู่หรือ? เขาไปไหน?” เจี่ยนเฟิงฉือถาม
ทหารทั้งสองมองหน้ากันไปมาอย่างรู้สึกลำบากใจ
“นั่น… กระหม่อมไม่ทราบขอรับ”
เจี่ยนเฟิงฉือร้องเสียงต่ำ
แม้ว่าเมืองซีหลิงจะใหญ่โต แต่ที่ๆ มู่ชิงเห่อจะไปได้ก็มีเพียงไม่กี่ที่!
เขาแกว่งพัดในมือของตนไปมา
“ข้ายังมีเรื่องต้องทำ ข้าไปก่อนล่ะ คุณหนูฉู่คนนี้ได้รับคำเชิญจากรองแม่ทัพด้วยตัวเอง ให้ระวังเป็นพิเศษ รู้แล้วหรือยัง?”
ทั้งสองมองหน้าฉู่หลิวเยว่ด้วยสีหน้าที่เรียบเฉย
“ขอรับ!”
ฉู่หลิวเยว่รู้สึกขำขัน ทหารเหล่านี้สมแล้วที่มู่ชิงเห่อฝึกฝนมา การเผชิญหน้ากับหน้าตาและท่าทางเหล่านั้น ไหนจะสีหน้าที่ไม่แสดงออกมาเหมือนคนปกติทั่วไป และทำราวกับนางเป็นท่อนไม้ชิ้นหนึ่ง
มู่ชิงเห่อฝึกฝนให้ทหารเข้มงวดเรื่องกฎระเบียบ จึงเป็นสาเหตุที่เขารบชนะมาตลอด
เจี่ยนเฟิงฉือหันหลังมา แล้วกะพริบตาใส่ฉู่หลิวเยว่
“เข้าไปเองเถอะ!”
ฉู่หลิวเยว่ขอบคุณเขาอีกครั้ง และเมื่อรอให้เจี่ยนเฟิงฉือลับตา นางจึงก้าวเท้าผ่านประตูไป
และหนึ่งในทหารรักษาการณ์ก็รีบตามเข้ามา
“คุณหนูฉู่ ตามข้ามาเถิด”
จวนมู่ไม่มีสาวใช้ และคนที่คอยรับใช้ที่นี่ ก็ล้วนเป็นทหารชุดดำ
ฉู่หลิวเยว่สาวเท้าเดินตามเขาไป
ทว่าเมื่อเดินไปเพียงสองก้าว ก็มีการเคลื่อนไหวแปลกๆ มาจากด้านข้างของนาง
ราวกับฉู่หลิวเยว่รู้สึกอันใดบางอย่าง พลันหันไปมอง
ก่อนจะมีเงาสีเข้มบินโฉบมาทางนางอย่างรวดเร็ว!
ปีศาจแดงนี่เอง!
ฉู่หลิวเยว่หัวเราะ
“ปีศาจแดง ไม่เจอกัน…”
แต่ยังไม่ทันจะพูดจบ ก็จำต้องหยุดชะงัก
เพราะภายใต้ปีกของปีศาจแดงตนนั้น มีร่องรอยของเลือดสีแดงเข้มเปื้อนอยู่!