ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 495 หอร้อยโอสถ
ตอนที่ 495 หอร้อยโอสถ [รีไรท์]
เหตุใดทหารม้าทมิฬคนนั้นถึงต้องให้เกียรติฉู่หลิวเยว่ขนาดนั้นด้วยเล่า?
“ท่าน…ท่าน”
อวี๋หมิ่นหันพูดออกมาอย่างพะงาบๆ
“ท่านผิดฝ่ายหรือไม่…”
ฉู่หลิวเยว่คนนี้มาจากด้านนอกพรมแดนม่านฟ้าไม่ใช่หรือ?
หรือว่านางมีคนสนับสนุนที่ยิ่งใหญ่?
ฉู่หลิวเยว่หัวเราะเสียงเบา
“ท่านนายพลต้วนอย่าได้โทษตัวเองเลย เรื่องนี้ข้าเป็นต้นเหตุเอง”
ต้วนจืออวี่ส่ายหน้าเบาๆ
“ข้าน้อยรับผิดชอบเรื่องความปลอดภัยของท่าน ดังนั้นต้องทำทุกเรื่องให้ดี!”
เดิมทีเขาก็รออยู่ที่ฝูงชนตลอด แต่เขาคิดไม่ถึงว่าคนอย่างอวี๋หมิ่นหันจะมาหาเรื่องนางได้
นั่นทำให้เขาหมดความอดทนจริงๆ
ฉู่หลิวเยว่หันไปมองใบหน้าที่ซีดขาวของอวี๋หมิ่นหัน
“ความจริงแล้วนี่ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใด ดีที่ท่านนายพลต้วนมาทันเวลา อีกเดี๋ยวข้ายังมีเรื่องที่ต้องทำอีก ดังนั้นขอตัวก่อนนะเจ้าคะ”
ต้วนจืออวี่ถอยหลังให้นางหนึ่งก้าว
“ขอรับ เชิญ…”
ตอนนั้นเองอวี๋หมิ่นหันและคนอื่นๆ ก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกทันที
สามารถให้นายพลของทหารม้าทมิฬมาติดตามดูแลได้ ก็บ่งบอกว่าฉู่หลิวเยว่คนนี้มีที่มาไม่ธรรมดาจริงๆ!
อวี๋หมิ่นหันอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเสียใจภายหลัง
ก่อนหน้านี้เขาน่าจะสืบค้นมาให้ดีเสียก่อน!
ฉู่หลิวเยว่ก้าวไปด้านหน้า
เชียงหว่านโจวก็เดินตามมา
ตอนที่กำลังจะเดินผ่านอวี๋หมิ่นหัน ฉู่หลิวเยว่ก็ชะงักฝีเท้าเล็กน้อย
“หากเจ้ายังอยากจะแย่งเชียงหว่านโจวกลับไปล่ะก็ จะมาเมื่อไหร่ก็ได้นะ”
อวี๋หมิ่นหันตัวสั่นสะท้าน
“ม่ะไม่กล้าแล้วขอรับ! คุณหนูฉู่เชิญขอรับ!”
ฉู่หลิวเยว่เห็นท่าทางแบบนี้จนชินแล้ว จึงเดินจากไปอย่างไม่ใส่ใจ
หลังจากที่พวกเขาทั้งสองคนเดินออกมาจากตรงนั้นแล้ว อวี๋หมิ่นหันก็มองไปที่เชียงหว่านโจวเล็กน้อยอย่างไม่ยินยอม
นั่นมันเป็นต้นกล้าที่ยอดเยี่ยมเลยนะ…คาดไม่ถึงว่าจะโดนฉู่หลิวเยว่แย่งไปเช่นนี้!
“กลุ่มมังกรเขียว?”
ต้วนจืออวี่เดินเข้ามา แล้วพูดเสียงเย็นเยียบ
อวี๋หมิ่นหันถึงเพิ่งนึกได้ว่าที่ข้างกายเขายังมีเทพอีกตนที่ไม่สามารถล่วงเกินได้อยู่ เขาจึงรีบพูดขึ้นมาว่า
“ข้าน้อยผิดไปแล้วๆ!”
สำนักที่อยู่ระดับสูงกับทหารม้าทมิฬถือว่ามีศักดิ์เท่ากัน แต่สำหรับพวกเขาแล้วจะกล้าไปล่วงเกินได้อย่างใด?
เขาไม่อยากให้ภารกิจของเขาแค่คนเดียว ทำลายกลุ่มมังกรเขียวทั้งหมด
“ท่านนายพล ข้าน้อยมีตาหามีแววไม่ ไม่ทราบ…ไม่ทราบว่าคุณหนูฉู่จะมีเบื้องหลังที่ยิ่งใหญ่เช่นท่านด้วย! ข้าน้อยสำนึกผิดแล้ว ท่านอย่าได้เก็บมาใส่ใจเลยนะขอรับ” อวี๋หมิ่นหันโค้งคำนับจนแทบจะคุกเข่าลงไปที่พื้นแล้ว
แต่ตอนนั้นเองต้วนจืออวี่กลับยิ้มขึ้นมา
“เจ้าพูดผิดแล้ว ข้าไม่มีคุณสมบัติเป็นเบื้องหลังให้นางพึ่งพิงหรอก”
“อันใด..อันใดนะ?” อวี๋หมิ่นหันชะงักไปครู่หนึ่ง พร้อมมองไปที่รอยยิ้มของต้วนจืออวี่ ในใจก็ค่อยสงบลง
ต้วนจืออวี่ใช้ปลอกดาบกระแทกไหล่ของอีกฝ่ายเบาๆ
“ครั้งหน้าก่อนที่จะทำอันใด ก็ไปสืบให้ดีก่อน ว่าคนผู้นั้นเจ้าสามารถล่วงเกินได้หรือไม่?”
เมื่อพูดจบต้วนจืออวี่ก็สาวเท้าเดินออกไปทันที จากนั้นก็รีบตามฉู่หลิวเยว่ไปอย่างรวดเร็ว
ทิ้งไว้เพียงอวี๋หมิ่นหันและสหายที่มองหน้ากันไปมา
กลุ่มคนที่อยู่ข้างๆ ก็ถามขึ้นมาอย่างไม่สบายใจว่า
“พี่สี่ พวกเรานี่..คงจะไม่เป็นอันใดใช่หรือไม่?”
สีหน้าของอวี๋หมิ่นหันมืดครึ้ม เขาตบไปที่ผู้ชายคนนั้นอย่างแรง
“จะมีเรื่องหรือไม่มีเรื่องเจ้าดูไม่ออกหรือ? หา? นั่นคือท่านนายพลของกองทหารม้าทมิฬเชียวนะ”
คนระดับนั้น แค่ออกมาให้เห็นหน้าก็ถือว่ายากแล้ว ตอนนี้เขาได้ล่วงเกินคนที่เขากำลังปกป้องอีก
แต่ที่สำคัญไปมากกว่านั้น เห็นได้ชัดว่ามีคนที่อยู่ระดับสูงกว่าเขา สั่งให้เขามาทำเช่นนี้!
คนที่ต้องการจะปกป้องฉู่หลิวเยว่นั้น ต้องอยู่ระดับที่สูงกว่านายพลแน่นอน!
เกรงว่าคนเหล่านั้นจะเป็นคนที่อยู่ในลำดับต้นๆ ของเมืองซีหลิงแห่งนี้
“งั้น…งั้นจะปล่อยให้เชียงหว่านโจวถูกพวกเขาพาตัวไปเช่นนี้เลยหรือ? ชีพจรตี้จิงของเขานั้น…”
ชายอีกคนหนึ่งพูดขึ้นมาอย่างมึนงง อวี๋หมิ่นหันก็ถีบชายคนนั้นออกไปอีกครั้ง
ตอนนี้มันใช่เวลาที่จะมาสนใจสิ่งที่เสียไปที่ไหนกันเล่า?!
เกรงว่าตอนนี้กลุ่มมังกรเขียว กำลังเจอเรื่องยุ่งยากเข้าแล้ว!
“ตอนนี้! ต้องรีบกลับไปที่กลุ่มมังกรเขียวแล้ว!”
…
ฉู่หลิวเยว่พาเชียงหว่านโจวออกมาจากจัตุรัสเสวียนจีแล้ว ต้วนจืออวี่ก็ตามมาทันอย่างรวดเร็ว
หลังจากเดินมาสักพัก คนก็น้อยลงมาก ในที่สุดต้วนจืออวี่ก็พูดขึ้นว่า
“คุณหนูฉู่ ท่านจะพาคุณชายเชียงท่านนี้กลับไปด้วยหรือ?”
ฉู่หลิวเยว่มองเขาอย่างครุ่นคิด
“ข้ามีความคิดเช่นนั้น แต่ไม่รู้ว่าท่านรองแม่ทัพจะเห็นด้วยหรือไม่?”
ในใจของต้วนจืออวี่ก็รู้สึกสงสัยมาก เหตุใดฉู่หลิวเยว่ถึงทำเช่นนี้ แต่เขารู้จักสถานะของตนเองดี เขาไม่มีทางถามคำถามที่ไม่ควรถามแน่นอน
จากนั้นเขาจึงพูดว่า
“การตรวจสอบของจวนรองแม่ทัพนั้นเข้มงวดมาก ไม่มีทางปล่อยคนนอกเข้าไปได้ง่ายๆ เด็ดขาด แต่หากคุณหนูฉู่เป็นคนเอ่ยปากเอง มันต้องต่างออกไปแน่นอน”
ฉู่หลิวเยว่ยิ้มขึ้นมา
ความจริงแล้วมู่ชิงเห่อจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยไม่ใช่เรื่องสำคัญ แย่สุดก็แค่ไปหาโรงเตี๊ยมให้กับเชียงหว่านโจว
“จริงสิ นายพลต้วน ข้าอยากซื้อสมุนไพร ไม่ทราบว่าท่านพาข้าไปหน่อยได้หรือไม่?”
ต้วนจืออวี่รู้สึกตกใจเล็กน้อย แต่เมื่อนึกถึงพลังเพลิงดั้งเดิมของฉู่หลิวเยว่ที่แสดงบนเวทีประลอง นั่นก็หมายความว่านางมีพรสวรรค์เรื่องหมอเทวดาด้วย หากอยากจะไปซื้อสมุนไพรก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติ
“ตามข้ามาขอรับ”
…
หลังจากเดินไปไม่กี่ช่วงถนน ต้วนจืออวี่ก็พาฉู่หลิวเยว่และเชียงหว่านโจวมาถึงร้านขายโอสถที่มีขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง
ฉู่หลิวเยว่เงยหน้าขึ้นไปมอง ป้ายหน้าร้านขนาดใหญ่ มีตัวอักษรสีทองเขียนอยู่สามตัวใหญ่ๆ
“หอร้อยโอสถ”
“คุณหนูฉู่ ร้านนี้เป็นร้านขายสมุนไพรที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในเมืองซีหลิงแล้วขอรับ ไม่ว่าท่านอยากได้อันใด โดยพื้นฐานแล้วที่นี่จะมีทั้งหมด” ต้วนจืออวี่พูดขึ้น
ฉู่หลิวเยว่ก็ลูบจมูกของตนเอง
ที่นางเป็นห่วง ไม่ใช่ว่าที่นี่จะมีของที่นางต้องการหรือไม่ แต่เป็นเพราะ…นางซื้อไม่ได้นี่สิ!
หอร้อยโอสถเป็นหอสมุนไพรที่ใหญ่ที่สุดในเมืองซีหลิง ข้าวของครบครัน คุณภาพดี ราคายิ่งสูง
ผนึกศิลาขาวสิบก้อนของนางนั้นในสายตาคนอื่นอาจจะมีจำนวนมาก แต่สำหรับที่นี่..นับว่านางเป็นคนยากจนข้นแค้นมาก
อีกทั้งนางก็รู้จักหอร้อยโอสถนานมาแล้ว แต่ความจริงแล้วนางไม่เคยมาเลยสักครั้ง
ในราชวงศ์เทียนลิ่งมีสมุนไพรล้ำค่าเป็นจำนวนมาก ในขณะเดียวกันนางก็เคยดูแลสวนสมุนไพรของตนเองด้วย เหมือนว่าจะไม่มีช่วงที่ขาดแคลนสมุนไพรเลย นางจึงไม่เคยมาที่นี่เลย
เดิมทีฉู่หลิวเยว่อยากให้อีกฝ่ายพาเขาไปร้านไหนก็ได้ แต่คิดไม่ถึงว่าเขาจะพามาร้านที่แพงที่สุดเช่นนี้
แต่ในเมื่อก็มาแล้ว จะให้นางหมุนตัวเดินจากไปก็คงไม่ดีนัก
ฉู่หลิวเยว่จึงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วเดินเข้าไปด้านใน
ทันทีที่เดินข้ามธรณีประตูมา ก็มีพนักงานหนุ่มเข้ามาต้อนรับอย่างกระตือรือร้น
“ไม่ทราบว่าคุณหนูท่านนี้กำลังมองหาสิ่งใดอยู่หรือขอรับ?”
ฉู่หลิวเยว่มองไปรอบๆ
ห้องโถงนี้มีลักษณะเป็นโถงสี่เหลี่ยมกว้างขวาง
ตู้ใสเรียงไว้อย่างเป็นระเบียบ ด้านในวางสมุนไพรเอาไว้นานาชนิด
ในตำแหน่งที่ใกล้เคียงกัน ยังแปะชื่อ สรรพคุณ และราคาเอาไว้ด้วย
ฉู่หลิวเยว่เหลือบตามองไปคร่าว หางตาของฉู่หลิวเยว่ก็กระตุกกึกๆ
คาดไม่ถึงว่าเห็ดหลินจือโลหิตอายุร้อยปี จะราคาสามร้อยผนึกศิลาขาว!?
นี่มันต่างจากขูดรีดตรงไหนเนี่ย?
“ข้า…ขอเดินดูก่อนนะ”
สีหน้าของฉู่หลิวเยว่ไม่เปลี่ยนสีแม้แต่น้อย ท่าทางดูสงบและเยือกเย็นอย่างมาก
เด็กหนุ่มคนนั้นก็ขานรับด้วยความเคารพ
“หากท่านดูเสร็จแล้ว ข้าจะมาหาใหม่นะขอรับ”
เมื่อพูดจบ เขาก็ถอยไปด้านหลังอยากรู้กาลเทศะ
ในห้องโถงแห่งนี้ มีคนกำลังเลือกซื้ออยู่ประมาณร้อยคน
อีกทั้งยังมีพนักงานเช่นนี้อยู่จำนวนไม่น้อย กระจายอยู่ทั่ว และมารยาทดีอย่างมาก
ฉู่หลิวเยว่เดินไปตามแถวแรก หลังจากเดินไปไม่กี่ก้าว ก็ต้องหยุดฝีเท้าลง